เล่มที่ 2 บทที่ 44 ชั่วชีวิตนี้ข้าจะแต่งกับเซียวยวี่เท่านั้น

ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต

เซียวหมิงจูรู้สึกเจ็บ ก่อนเอ่ยเรียกด้วยความตกใจ “ท่านแม่…”

 “เจ้าไปบ้านเซียวยวี่อีกแล้วใช่หรือไม่? ข้าบอกเจ้าแล้วว่าไม่ให้ไปบ้านเขาไม่ใช่หรือ? เซี่ยยวี่หลัวนั่นไม่ได้มาหาเรื่องเจ้า เจ้ากลับไปรนหาที่เสียเอง สตรีแบบนั้น หากหาเรื่องวุ่นวายกับเจ้า ต่อไปเจ้ายังจะมีหน้าออกจากบ้านอีกไหม?” ท่านป้าสี่เอ่ยเตือนด้วยความหวังดี

เซียวหมิงจูบุ้ยปาก ภายในใจก็รู้สึกประหลาดใจ เหตุใดเซี่ยยวี่หลัวถึงไม่หาเรื่องวิวาทกับนาง!

ลายที่ปักบนผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นคือยวนยางเล่นน้ำ ยังบ่งบอกความหมายไม่ชัดเจนอีกหรือ?

ตามนิสัยปกติของนาง ควรก่นด่าไปนานแล้วไม่ใช่หรือ?

ท่านป้าสี่ไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้าผิดปกติของเซียวหมิงจู เอ่ยเตือนต่อ “เซียวยวี่แต่งงานแล้ว เจ้าอย่าได้คิดเหลวไหล เจ้าก็อายุไม่น้อยแล้ว แม่ให้แม่สื่อช่วยดูให้เจ้าอยู่ แม่จะเลือกบุรุษที่ดีกว่าเซียวยวี่นับร้อยพันเท่าให้เจ้าแน่นอน!”

ห้วงความคิดของเซียวหมิงจูแทบระเบิดในทันใด

เซียวหมิงจูลุกขึ้นอย่างฉับพลันจนเกิดเสียงดัง “ตึง” ดวงตากลมประหนึ่งผลซิ่งเบิกตากว้างราวกับกระดิ่งทองแดง ตะคอกใส่ท่านป้าสี่ด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง “ข้าเคยบอกท่านแล้ว ว่าข้าจะไม่แต่งกับใครทั้งสิ้น ข้าจะแต่งกับเซียวยวี่เท่านั้น!”

 “นางเด็กบ้า เจ้าปีกกล้าขาแข็งแล้วใช่หรือไม่ แม้แต่คำพูดของแม่เจ้าก็ไม่เชื่อฟังแล้ว เซียวหมิงจู…”

เซียวหมิงจูพรวดพราดออกจากห้องครัว กลับไปยังห้องของตัวเอง และงับประตูปิดเสียงตำหนิสั่งสอนของท่านป้าสี่ที่ดังไม่ขาดสาย นางหยิบผ้าเช็ดหน้าที่แอบเก็บไว้ขึ้นมา เมื่อเห็นลายยวนยางเล่นน้ำบนผ้าเช็ดหน้า หยาดน้ำตาของเซียวหมิงจูก็ร่วงหล่นราวกับไข่มุกจากสร้อยที่สายเอ็นขาดอย่างไรอย่างนั้น

สุดท้าย เมื่อร่ำไห้จนไม่อาจสะกดกลั้นได้อีก จึงหมอบอยู่บนโต๊ะ กัดฟันร่ำไห้ด้วยความเจ็บปวด

เพียงไม่นานเสียงก่นด่าด้านนอกก็หยุด ส่วนด้านใน สตรีที่หมอบอยู่บนโต๊ะ ไหล่สั่นเทิ้มไม่หยุดด้วยความเสียใจเป็นที่สุด!

อีกด้านหนึ่ง เซียวจื่อเซวียนต้มน้ำตาลทรายแดงให้เซี่ยยวี่หลัวหนึ่งถ้วย ทั้งยังใส่ไข่หนึ่งฟอง ตอนนี้เซี่ยยวี่หลัวไม่ได้รู้สึกไม่สบายตัวเท่าไหร่แล้ว จึงแบ่งให้เซียวจื่อเมิ่งครึ่งหนึ่ง

ในยุคสมัยที่ขาดแคลนวัตถุดิบเช่นนี้ น้ำตาลทรายแดงและไข่ไก่เป็นอาหารบำรุงที่ดีที่สุด

เมื่อเซียวจื่อเซวียนเห็นนางแบ่งให้จื่อเมิ่งครึ่งหนึ่ง ก็ผงะไป

เดิมทีเซียวจื่อเมิ่งไม่อยากกิน แต่โดนเซี่ยยวี่หลัวดุไปเล็กน้อย จึงยอมกินน้ำต้มน้ำตาลทรายแดงครึ่งถ้วยและไข่ไก่ครึ่งฟองอย่างว่าง่าย หลังจากดื่มแล้วใบหน้าเล็กก็ขึ้นสีแดง ทั้งยังรู้สึกได้ถึงความหวานบนริมฝีปาก

 “พี่รอง พี่สะใภ้ใหญ่บอกว่าในบ้านไม่มีข้าวแล้ว ให้ท่านไปซื้อข้าด้วย” กล่าวจบก็มอบเหรียญอิแปะให้เซียวจื่อเซวียนถุงหนึ่ง

เหรียญอิแปะถูกห่อมาในเสื้อ เมื่อเทออกไปก็เกิดเสียง “กริ๊งๆ” น่าฟังเสียยิ่งกว่าอะไร

เซียวจื่อเซวียนผงะไป “ทั้งหมดเท่าไหร่?”

เซียวจื่อเมิ่งส่ายหน้า “พี่สะใภ้ใหญ่ก็ไม่ได้นับ นางหยิบมากำหนึ่ง หยิบเหรียญอิแปะทั้งหมดที่มีให้ท่าน”

เสียง “กริ๊งๆ” ที่ดังขึ้น เกรงว่าจะมีห้าสิบถึงหกสิบเหรียญ

เซี่ยยวี่หลัวเองก็ลำบากใจ ไม่รู้ว่าข้าวสารหนึ่งจินราคาเท่าไหร่ ทั้งยังไม่รู้ว่าต้องไปซื้อข้าวสารที่ไหน ถือว่าประหลาดนัก นางข้ามมิติมา ความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม ไม่หลงเหลือแม้แต่น้อย

เซียวจื่อเซวียนดูเงินเหรียญอิแปะในมือ กัดฟันทีหนึ่ง สุดท้ายก็นำถุงไปยังบ้านของท่านปู่เซียว

เซียวเหลียงบุตรชายของท่านปู่เซียวค้าขายข้าวสารและน้ำมันอยู่ในตัวเมือง ปกติตอนเขากลับบ้านมาเยี่ยมบิดา จะนำเมล็ดพืช น้ำมัน ข้าวสาร และแป้งกลับมาจำนวนหนึ่ง ท่านปู่เซียวอยู่บ้านไม่มีอะไรทำ จึงเปิดร้านขายข้าวสารและน้ำมันขนาดเล็ก หาเงินค่ายาสูบ ถือว่าช่วยอำนวยความสะดวกให้คนในหมู่บ้านด้วย

เมื่อท่านปู่เซียวเห็นเซียวจื่อเซวียนมา ก็ประหลาดใจไปเล็กน้อย “เด็กน้อย เจ้ามาได้อย่างไร?”

 “ท่านปู่เซียว ข้ามาซื้อข้าว” เซียวจื่อเซวียนกล่าว

ท่านปู่เซียวก็ยิ่งประหลาดใจ “ซื้อข้าว? เจ้าซื้อไปทำอะไร?”

เซียวจื่อเซวียนกล่าว “กิน!”

 “กิน?” ท่านปู่เซียวรู้ว่าก่อนเซียวยวี่จะไปได้มอบเงินห้าตำลึงไว้ให้เซียวจื่อเซวียน แต่เขาต้องไปถึงสามเดือนกว่า สองคนต้องใช้เงินห้าตำลึงเพื่อประทังชีวิตถึงสามเดือนกว่า ทั้งยังต้องระมัดระวังไม่ให้ป่วยเพื่อจะได้ไม่ต้องหาหมอในช่วงนี้ ไม่อย่างนั้น เงินห้าตำลึงจะพอได้อย่างไร

เพียงแต่ เด็กๆ มักชอบกิน ท่านปู่เซียวรู้ว่ากินแต่ผักป่าทั้งวัน ในท้องไม่มีน้ำมันหรือเกลือลงไปบ้าง เด็กๆ ก็รู้สึกไม่สบายตัว

เขาพาดกล้องยาสูบไว้ด้านหลังเอว รับถุงจากมือเซียวจื่อเซวียน “จะซื้อเท่าไหร่?”

 “สี่จิน!” เซียวจื่อเซวียนคลำเงินที่เก็บไว้ในอกเสื้อพลางกัดฟันกล่าว

ท่านปู่เซียวมองเซียวจื่อเซวียน เข้าบ้านไปใส่ข้าวให้สี่จินกว่า

เซียวจื่อเซวียนนับเงินยี่สิบอิแปะให้ท่านปู่เซียว ท่านปู่เซียวกล่าว “ข้าวสารนั้นแพงมาก เจ้ากับจื่อเมิ่งต้องกินอย่างประหยัด”

เซียวจื่อเซวียนพยักหน้า แบกถุงข้าวเดินออกไป

เงินเหรียญในอกเสื้อใช้ไปเพียงกึ่งเดียว ยังเหลืออีกเกินกว่าครึ่ง เมื่อเดินจึงเกิดเสียง “กริ๊งๆ” ดังขึ้น จื่อเมิ่งบอกว่า เซี่ยยวี่หลัวต้องการใช้เงินเหล่านี้แลกเป็นข้าวทั้งหมด

เดินไปครู่หนึ่ง เขาหันกลับมา ท่านปู่เซียวมองเขาอยู่ตลอด กล่าวด้วยท่าทีสงสัย “เป็นอะไรไปเด็กน้อย มีอะไรอีกงั้นหรือ?”

เซียวจื่อเซวียนขมวดคิ้วมุ่น เดินกลับมาอีกครั้ง วางถุงข้าวลงกล่าวพึมพำ “ท่านปู่เซียว ท่านขายให้ข้าอีกสักสองสามจินก็แล้วกัน!”

หลังจากใส่เพิ่มอีกหลายจิน เงินเหรียญในอกเสื้อเหลือหกอิแปะ ยังสามารถซื้อได้อีกหนึ่งจิน! เซียวจื่อเซวียนกัดฟันแน่น ไม่ได้ซื้อ แอบเก็บเงินไว้ในอกเสื้อ

ท่านปู่เซียวเห็นว่าเซียวจื่อเซวียนซื้อข้าวครั้งหนึ่งก็เกือบสิบจิน ก็ปวดใจเล็กน้อย “เด็กน้อย พี่ใหญ่ของเจ้าอยากให้พวกเจ้ากินดี ปู่ก็เข้าใจได้ เพียงแต่พี่ใหญ่ของเจ้าพยายามแทบตายมาหลายเดือน ก็หาเงินได้เพียงแค่นั้น บวกกับเงินที่ข้าให้เขายืม ก็มีแค่สิบสองหรือสิบสามตำลึง เจ้าต้องใช้อย่างประหยัด! นี่เพิ่งเดือนสอง พี่ใหญ่ของเจ้าเดือนห้าถึงจะกลับมา!”

เซียวจื่อเซวียนกัดฟันแน่น เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าต้องใช้จ่ายอย่างประหยัด

เงินห้าตำลึงที่พี่ใหญ่มอบให้เขา เขายังไม่ได้ใช้แม้แต่อิแปะเดียว เงินที่ใช้ซื้อข้าว ล้วนเป็นเงินที่เซี่ยยวี่หลัวให้มา

แต่เงินห้าตำลึงของเซี่ยยวี่หลัว…

ก็เป็นเงินที่พี่ใหญ่ให้เหมือนกันไม่ใช่หรือ เงินที่พี่ใหญ่หามาและยืมมา มีเพียงสิบสองตำลึงเศษ มอบให้เขาห้าตำลึง อีกห้าตำลึงให้เซี่ยยวี่หลัว พี่ใหญ่พกไว้แค่สองตำลึงเศษ

เงินสองตำลึงเศษ ยังต้องเดินทางอยู่ข้างนอกสามเดือนกว่า เซียวจื่อเซวียนคิดถึงอาหารการกินทุกวันนี้ ใช้จ่ายแต่ละครั้งก็หลายสิบอิแปะ จึงรู้สึกผิดอยู่ในใจ!

เขาแบกข้าวสารกลับบ้านด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง ภายในบ้านเงียบสงบ มีแต่เครื่องนอนและตำราที่ตากอยู่เต็มพื้นด้านนอก

ลมพัดตำรา เมื่อตำราเปิดออกก็มีเสียงพลิกกระดาษดังน่าฟังและรื่นหู

ตำราไม่ได้ถูกตากไว้บนพื้นโดยตรง แต่มีแผ่นไม้รองไว้

ตอนนำแผ่นไม้ออกมา คนบางคนเช็ดแล้วเช็ดอีก ราวกับกลัวว่าจะทำให้ตำราเลอะ

เซียวจื่อเซวียนตกอยู่ในภวังค์เลื่อนลอย เวลานี้เอง เสียงหัวเราะดังลั่นของเซียวจื่อเมิ่งดังขึ้นจากในห้อง เซียวจื่อเซวียนจึงตื่นจากภวังค์ แม้จะไม่เห็นสภาพการณ์ด้านในอย่างชัดเจน แต่เสียงหัวเราะของน้องสาวกลับปลุกให้เซียวจื่อเซวียนได้สติ

รู้สึกผิดต่อพี่ใหญ่ แต่จะปฏิบัติไม่ดีต่อน้องสาวก็ไม่ได้ ความสับสนและรู้สึกผิดเปรียบเสมือนอสรพิษชั่วร้ายสองตัวที่วนเวียนไปมาอยู่ภายในใจเขา เงินหกอิแปะในอกเสื้อเหมือนเหล็กตีตราที่แนบอยู่กับตัว ลวกจนเซียวจื่อเซวียนรู้สึกร้อนไปถึงหู

หากแอบเก็บเงินหกอิแปะนี้ไว้ เซี่ยยวี่หลัวไม่มีทางรู้ ทว่า…

พี่ใหญ่สอนเขาเสมอ เป็นคนต้องรู้ผิดชอบชั่วดี ของที่ไม่ใช่ของตัวเองก็ห้ามเก็บ ตอนนี้แม้แต่เซียวจื่อเมิ่งยังเข้าใจเหตุผลข้อนี้