หลินหลันซึ่งไม่รู้เลยว่าแม่โจวและกุ้ยซ่าวเพิ่งจะช่วยนางขจัดปัญหาอันใหญ่หลวงออกไปให้ ทั้งสามคนอ้อมไปซื้อขนมอบก่อนที่จะมุ่งหน้ากลับไปขึ้นเรือ เมื่อกลับมาถึงเรือก็เป็นเวลาเย็นแล้ว ขณะที่ทางด้านหลี่หมิงอวินยังคงไม่กลับมาจากการเยี่ยมเยียนสหาย
หลินหลันให้หยินหลิวนำของขวัญไปแจกจ่าย รวมถึงขนมต่างๆ ก็ให้นำไปแบ่งคนละนิดละหน่อยให้แก่ทุกคน ส่วนตนเองก็อยู่ภายในห้องและกำลังครุ่นคิดว่าควรจะเขียนอะไรลงไปบนพัดสีขาวนี้ดี หลังจากคิดไปคิดมา หลินหลันก็รู้สึกว่าตนเองคิดผิดมหันต์ สิ่งที่หลี่หมิงอวินเชี่ยวชาญมากที่สุดก็คือตัวอักษร แล้วนางยังคิดที่จะเขียนตัวอักษรมอบให้เข้าอีก นั่นเท่ากับเป็นการอวดเก่งต่อหน้าผู้ซึ่งมีทักษะความเชี่ยวชาญเป็นเลิศยิ่งกว่า เป็นการหาเรื่องขายขี้หน้าใส่ตัวเองชัดๆ
อวี้หลงมองดูเส้าฟูเหรินซึ่งกำลังจ้องมองพัดพับสีขาวด้วยใบหน้าลำบากใจพร้อมกับเสียงถอนหายใจ จึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวพร้อมกับรอยยิ้มออกมา “ในเมื่อเป็นของที่จะมอบให้แก่เส้าเหยีย ไม่ว่าเส้าฟูเหรินจะเขียนอะไรลงไปก็ดีทั้งนั้นเจ้าค่ะ เพราะถึงอย่างไรก็เป็นน้ำจิตน้ำใจอย่างหนึ่งอยู่ดีหนิเจ้าคะ”
หลินหลันนิ่งเงียบ น้ำจิตน้ำใจอะไรกัน! นางเพียงแค่เห็นว่าทุกคนล้วนได้รับของขวัญกันถ้วนหน้า หากจะมีแต่เขาผู้เดียวที่ไม่ได้รับก็อดที่จะรู้สึกละอายแก่ใจไม่ได้ก็เท่านั้นเอง และยิ่งไปกว่านั้นก็ยังใช้เงินของเขาจับจ่ายไปด้วย แต่ถึงอย่างไรที่อวี้หลงพูดก็สมเหตุสมผลอยู่เช่นกัน หากเขายังกล้าที่จะดูถูกนางก็ไม่ต้องให้เขาแล้วเป็นอันสิ้นเรื่อง
หยินหลิ่วเข้าไปถึงห้องพักของแม่โจว “แม่โจว นี่คือจี้หยกซึ่งเส้าฟูเหรินเป็นผู้เลือกซื้อมาฝากท่าน กุ้ยซ่าว ป๋ายอวี้เกา [1] ตลับนี้เป็นของท่าน แล้วยังมีขนมปังชาเขียวอบอีกสองกล่องซึ่งเป็นของขึ้นชื่อแห่งเมืองซูโจวโดยเส้าฟูเหรินซื้อมาเยอะพอตัว จึงให้นำมาแบ่งๆ กันเจ้าค่ะ”
แม่โจวมองดูจี้หยกซึ่งมีงานสลักลายกิ่งไม้ไว้บนพื้นผิวลวดลายหินอ่อน การแกะสลักประณีตงดงามสมกับที่เป็นงานฝีมือประจำท้องถิ่นซูโจว นางรู้สึกถูกใจยิ่งนัก
กุ้ยซ่าวคาดไม่ถึงว่านางก็จะได้รับของขวัญด้วยเช่นกัน เอื้อมมือออกไปรับป๋ายอวี้เกามาไว้ทั้งความประหลาดใจ “นี่…นี่เป็นของที่ให้ข้าหรือ”
หยินหลิ่วกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ใช่เลยเจ้าค่ะ! เส้าฟูเหรินกล่าวว่าท่านยุ่งเข้าๆ ออกๆ อยู่แต่ในครัวตลอดทั้งวัน จึงจำเป็นต้องบำรุงมือทั้งสองข้างนี้เอาไว้ให้มากๆ ”
กุ้ยซ่าวรู้สึกประทับใจอยู่เล็กน้อย เดิมทีนางคอยให้การปรนนิบัติรับใช้ข้างกายคุณหญิงสาม และหลังจากคุณหญิงสามแต่งงานออกเรือนไป นางจึงคอยให้การปรนนิบัติเหล่าฟูเหรินมาแล้วหลายปีจนได้รับการแต่งตั้งจากเหล่าฟูเหรินให้เป็นแม่ผู้ดูแลของจวนเยี่ย ตอนนี้เมื่ออยู่บนเรือก็กลายเป็นผู้แลด้านข้าวปลาอาหารชั่วคราว ในทุกๆ วันก็จะอยู่แต่ในครัวจับนู้นทำนี่ จนมือคู่นี้ของนางมันเยิ้มเหนียวเหนอะหนะ และหลังจากทำความสะอาดจนแห้งแล้วก็จะแห้งกรานเป็นอย่างมาก โดยนางก็เป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่พอดี เส้าฟูเหรินช่างรู้จักใส่ใจเสียจริง ขนาดที่ว่านึกถึงเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาได้ กุ้ยซ่าวจึงกล่าวออกไปด้วยความซาบซึ้ง “เส้าฟูเหรินช่างมีน้ำใจ ช่วยไปขอบคุณเส้าฟูเหรินแทนข้าด้วย”
แม่โจวมองไปยังกุ้ยซ่าวและเห็นว่าภายใต้ดวงตาของนางกำลังเปี่ยมล้นไปด้วยรอยยิ้มอย่างมีความสุขอยู่ภายในใจของตนเอง อีกทั้งสีหน้ายังดูมีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น โดยปกติแล้วแม้จะได้รับเงินรางวัลตอบแทนมากเพียงใดก็ไม่เคยเห็นนางเผยท่าทีเช่นนี้ออกมาเลย จึงอดไม่ได้ที่จะยกความดีความชอบนี้ให้หลินหลัน เหล่าฟูเหรินมองคนไม่ผิดเลยจริงๆ หลินหลันเป็นผู้ที่ฉลาดหลักแหลมคนหนึ่งเลยทีเดียว
การมอบสิ่งของให้แก่ผู้อื่นก็ถือเป็นศาสตร์แห่งการเรียนรู้อย่างหนึ่ง การส่งมอบของขวัญต้องดูที่ผู้รับ ไม่สำคัญว่าสิ่งของมีราคามากเพียงใดแต่สำคัญที่ว่าสิ่งของที่เลือกมานั้นถูกต้องตรงใจผู้รับหรือไม่ หากเลือกได้ถูกต้อง แม้จะเป็นเพียงป๋ายอวี้เกาตลับเดียวก็สามารถซื้อใจคนได้ แต่หากเลือกไม่ถูกต้อง ต่อให้เป็นปิ่นทองประดับทับทิมก็ไร้ซึ่งประโยชน์อันใด…
แม่โจวกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าว่าแล้วเชียว! ตระกูลเฉียวนำวัตถุดิบยามาส่งไว้ให้ตั้งแต่หัววันแล้ว ทว่าจนผ่านไปครึ่งวันแล้วก็ยังไม่เห็นพวกเจ้ากลับมาเสียที ที่แท้ก็พากันไปเดินเลือกซื้อของนี่เอง และเมื่อตอนที่พวกเจ้ากลับมา เหมือนว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่หลวงที่ส่งพวกเจ้ากลับมา ไปก่อเรื่องอะไรไว้หรือเปล่า”
หยินหลิ่วพูดขึ้นอย่างตื่นเต้น “เป็นเช่นนี้เจ้าค่ะ เส้าฟูเหรินเห็นประกาศตามหาหมอรักษาภรรยาของท่านเจ้าเมืองที่ติดเอาไว้ ก็เลยเข้าไปทำการรักษาอาการป่วยให้ภรรยาของท่านเจ้าเมืองเจ้าค่ะ”
แม่โจวกล่าวด้วยความสงสัย “แล้วผลเป็นอย่างไรรึ”
“ในส่วนที่ว่าเส้าฟูเหรินให้การรักษาอย่างไรนั้นข้าน้อยไม่เห็นหรอกเจ้าค่ะ เห็นก็แต่ท่านเจ้าเมืองเดินออกมาส่งเส้าฟูเหรินด้วยตัวของท่านเองด้วยท่าทีเกรงอกเกรงใจเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังให้เงินค่ารักษาเป็นจำนวนห้าสิบทองด้วยเจ้าค่ะ” หยินหลิ่วเผยสีหน้าท่าทีอย่างภูมิอกภูมิใจ และยังดูมีความสุขเสียยิ่งกว่ายามที่ตนเองได้รับรางวัลเสียอีก
แม่โจวและกุ้ยซ่าวสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ด้วยความตระหนกตกใจไปชั่วขณะ แล้วเอ่ยออกมาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย “ห้าสิบทอง? มากขนาดนี้เชียวหรือ”
หลินหลิ่วพยักหน้าหงึกหงัก
แม่โจวนิ่งเงียบ หากมิใช่ว่าอาการป่วยของภรรยาท่านเจ้าเมืองหนักหนาสาหัสเป็นอย่างยิ่งและยากต่อการรักษา ก็คงไม่ยื่นเสนอเงินรางวัลในการรักษาสูงมากขนาดนี้ นับได้ว่าทักษะการแพทย์ของหลินหลันไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
หลี่หมิงอวินตั้งใจกลับมาช่วงเวลามื้ออาหารพอดิบพอดี ทันทีที่ถึงท่าเรือ ก็มองเห็นเจ้าหน้าที่หลวงสองสามคนกำลังพูดคุยอยู่กับเหวินซาน ทำให้คิดไปว่าเกิดเรื่องวุ่นวายอะไรบนเรือขึ้นแล้วหรือไม่จึงรีบร้อนเดินเข้าไป
“เหวินซาน นี่คือ…”
เหวินซานซึ่งเห็นเส้าเหยียกลับมาแล้ว จึงกล่าวขึ้นด้วยความดีใจ “เส้าเหยีย พี่ชายท่านนี้คือเจ้าหน้าที่หลวงของท่านเจ้าเมือง ซึ่งได้รับคำสั่งให้นำของขวัญมามอบให้เส้าฟูเหรินขอรับ”
หลี่หมิงอวินงุนงง เหตุใดท่านเจ้าเมืองซูโจวถึงต้องมอบของขวัญให้แก่หลินหลันด้วย เกิดอะไรขึ้นกันแน่ในวันนี้ที่เขาไม่อยู่
เจ้าหน้าที่หลวงยกมือทั้งสองประสานกันในระดับหน้าอกเพื่อแสดงความเคารพอย่างนอบน้อมให้แก่หลี่หมิงอวิน “หลี่กงจื่อ ฮูหยินของพวกเรายังต้องขอรบกวนให้หลี่ฟูเหรินช่วยนำจดหมายหนึ่งฉบับเข้าไปยังเมืองหลวงด้วยขอรับ” ขณะพูด เจ้าหน้าที่หลวงก็ล้วงเอาจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากอ้อมแขนก่อนจะยื่นไปเบื้องหน้าด้วยสองมือ
หลี่หมิงอวินรับเอามาแล้วก็เห็นว่าบนหน้าซองจนหมายนั้นเขียน จวนแม่ทัพฮวายฮั้ว เฝิงซูหมิ่นผู้รับ หลี่หมิงอวินไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับแม่ทัพฮวายฮั้วท่านนี้เท่าไหร่นัก รู้เพียงแค่ท่านคือหัวหน้าแม่ทัพที่กล้าหาญและเก่งกาญในการสู้รบผู้หนึ่ง
สีหน้าที่เผยให้เห็นถึงความสงสัยของหลี่หมิงอวิน เจ้าหน้าที่หลวงจึงกล่าวอธิบายขึ้น “ภรรยาของท่านแม่ทัพฮวายฮั้วเป็นน้องสาวร่วมสายเลือดของท่านฮูหยินของพวกเราขอรับ”
หลี่หมิงอวินพยักหน้าแล้วกล่าวออกไป “ช่วยกลับไปบอกท่านฮูหยินของเจ้าด้วยว่า จดหมายฉบับนี้ พวกเราจะนำไปให้ถึงปลายทางผู้รับเป็นแน่”
“ขอบคุณกงจื่อเป็นอย่างยิ่งขอรับ” เจ้าหน้าที่หลวงให้การคาราวะพร้อมกับกล่าวลา
รอจนกระทั่งเจ้าหน้าที่หลวงเดินห่างไปไกลแล้วหลี่หมิงอวินถึงได้เอ่ยปากถามเหวินซาน “สรุปแล้วนี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ”
เหวินซานนำเรื่องราวที่เส้าฟูเหรินให้การรักษาภรรยาของท่านเจ้าเมืองบอกเล่าออกไปอย่างคร่าวๆ แล้วส่งมอบกล่องขนาดเล็กลวดลายนกฟีนิกซ์ซึ่งเคลือบไว้ด้วยสีทองแดง “ท่านเจ้าเมืองได้ให้รางวัลค่าตอบแทนในการรักษาเป็นจำนวนห้าสิบทองมาก่อนหน้าแล้ว และเมื่อครู่ก็ส่งของขวัญชิ้นนี้มาให้อีกขอรับ”
หลี่หมิงอวินใช้เพียงมือเดียวรับกล่องนั้นเอามาไว้ ขณะที่มืออีกข้างถือจดหมายเอาไว้ เขายืนมึนๆ งงๆ อยู่สักพักแล้วจึงขึ้นเรือไป
ตงจึและเหวินซานเดินตามอยู่ด้านหลัง ตงจึสะกิดเหวินซานด้วยข้อศอกของเขาก่อนจะกล่าวขึ้นอย่างอิจฉาด้วยเสียงกระซิบเบา “เหวินซาน หากข้ารู้แต่แรกว่าวันนี้ของพวกเจ้าจะมีสีสันเช่นนี้ ข้าก็คงไปกับพวกเจ้าแล้วล่ะ ติดตามเส้าเหยียไป ได้แต่ดื่มน้ำชาเต็มท้องจนอิ่มจะแย่แล้ว”
เหวินซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม “มื้อกลางวันในวันนี้พวกข้าไปฝากท้องไว้กับที่ทำการเจ้าเมือง ล้วนมีแต่อาหารและเครื่องดื่มชั้นเลิศทั้งนั้น”
ตงจึเมื่อได้ฟังเช่นนั้นก็ถอดถอนหายใจออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า
“เส้าเหยียกลับมาแล้ว…” อวี้หลงรีบร้อนไปเตรียมน้ำมาให้เส้าเหยียล้างหน้าล้างมือให้สะอาด ขณะที่หยินหลิวรับหน้าที่ไปชงชา
หลินหลันกล่าวโดยไม่ได้หันมามอง “ไฉนเพิ่งจะกลับมา กำลังรอเจ้าให้มากินข้าวด้วยกันอยู่น่ะ!”
หลี่หมิงอวินนำกล่องขนาดเล็กและจดหมายวางลงเบื้องหน้านาง
“นี่คืออะไรรึ เป็นของขวัญที่เจ้านำมาให้ข้า?” หลินหลันรู้สึกเกินความคาดหมาย
“นี่เป็นของที่ภรรยาท่านเจ้าเมืองส่งมาให้เจ้า และจดหมายฉบับนี้รบกวนให้เจ้าช่วยนำติดตัวเข้าไปเมืองหลวงเพื่อส่งไปยังจวนแม่ทัพฮวายฮั้ว” เมื่อกล่าวจบหลี่หมิงอวินก็ไปจัดการล้างไม้ล้างมือ
เอ่อ! ท่านฮูหยินจะเกรงอกเกรงใจอะไรกันขนาดนี้ แล้วยังส่งของขวัญมาให้อีก
ทันทีที่หลินหลันเปิดกล่องดู ก็พบว่าด้านในมีกำไลข้อมือทัวร์มาลีนอยู่สามเส้น เส้นหนึ่งสีชมพู เส้นหนึ่งสีสีเขียวครามและอีกเส้นหนึ่งสีเขียวเข้ม ซึ่งมีสีสันสดใสและแต่ละเม็ดมีความสว่างใสอยู่ในตัว ทั้งหมดล้วนเป็นอัญมณีทัวร์มาลีนชั้นยอดเยี่ยม
หลี่หมิงอวินกลับมาจากการล้างทำความสะอาดมือ เมื่อมองเห็นกำไลข้อมือทัวร์มาลีน จึงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียบางเบา “วันนี้เจ้าได้มาไม่น้อยเชียวนะ”
หลินหลันรู้สึกละอายใจ นางเพียงแค่ทำในสิ่งที่ควรกระทำก็เท่านั้น และนี่มันก็เป็นค่าตอบแทนซึ่งมากเกินไปกว่าที่นางควรจะได้รับ ในตอนยังได้รับของขวัญล้ำค่าเช่นนี้อีก นั่นทำให้นางรู้สึกราวกับติดค้างหนี้พวกเขาเสียแล้ว
เดิมทีหลี่หมิงอวินคิดว่าดวงตาของนางทั้งสองข้างคงกำลังเปล่งประกายและมีความสุข แต่คาดไม่ถึงเลยว่านางกลับกำลังขมวดคิ้วภายใต้สีหน้าท่าทางที่ดูไม่สบายใจเอาเสียมากๆ
“อาการป่วยของภรรยาท่านเจ้าเมือง…ไม่มีอะไรร้ายแรงแล้วจริงๆ หรือ” สิ่งแรงที่หลี่หมิงอวินกังวลใจก็คือ เหตุผลที่หลินหลันไม่สบายใจนั้น เป็นเพราะนางไม่แน่ใจว่าอาการป่วยของภรรยาท่านเจ้าเมืองจะหายขาดแล้วหรือไม่
“น่าจะไม่เป็นอะไรร้ายแรงแล้วล่ะ! ตราบใดที่นางสามารถคิดกระจ่างชัดได้” หลินหลันปิดกล่องลง ขณะที่นัยน์ตายังคงเผยให้เห็นถึงความกังวล สิ่งที่ควรจะพูดนางก็ล้วนพูดไปหมดแล้ว ในส่วนที่ว่าจะสามารถแก้ปมในจิตใจได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับตัวของท่านฮูหยินเองแล้ว
หลี่หมิงอวินพยักหน้าเล็กน้อย เห็นทีว่าภรรยาของท่านเจ้าเมืองป่วยนั้นจะเป็นอาการป่วยทางหัวใจ แล้วเขาก็เลิกคิ้วขึ้นโดยมองไปยังหลินหลัน คนใจร้ายผู้นี้รู้จักการรักษาโรคทางใจกับเขาด้วยงั้นหรือ
“บางทีนี่อาจจะเป็นของตอบแทนที่รบกวนให้เจ้าช่วยนำจดหมายไปส่งให้ก็ได้!” หลี่หมิงอวินกล่าวปลอบใจ
หลินหลันอดไม่ได้ที่จะอมยิ้มขึ้นมา “ก็ยังแพงเกินไปอยู่ดีสำหรับจดหมายฉบับนี้ เรียกให้เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ไปส่ง ยังจะประหยัดเสียกว่า!”
หลินหลันถือจดหมายเอาไว้พลางมองตัวอักษรบนซองและอ่านออกมา “จวนแม่ทัพฮวายฮั้ว…เฝิงซูหมิ่น”
“เป็นภรรยาของแม่ทัพฮวายฮั้ว อีกทั้งยังเป็นน้องสาวแท้ๆ ของภรรยาท่านเจ้าเมือง” หลี่หมิงอวินพูดขึ้นขณะเอื้อมมือออกไปรับชาที่หยินหลิ่วส่งให้ แล้วใช้ฝาถ้วยชาเขี่ยใบชาอ่อนที่ลอยขึ้นมา แต่เมื่อนึกถึงวันนี้ตนเองได้ดื่มชาไปนับไม่ถ้วนแล้ว จึงปิดฝาแล้ววางมันลง
ภรรยาท่านเจ้าเมืองคงไม่ได้เพียงแค่ให้นางไปส่งจดหมายโดยที่ไม่มีอะไรซับซ้อนไปมากกว่านี้หรอกมั้ง! หรือว่าอยากแนะนำนางให้กับน้องสาวของนางได้รู้จักกันนะ ไม่ว่าอย่างไร การได้รู้จักกับภรรยาของแม่ทัพฮวายฮั้วก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีไม่น้อยเลย
“หมิงอวิน เจ้าช่วยข้าเขียนตัวอักษรหน่อยจะได้หรือไม่” หลินหลันเอ่ยถามอย่างจริงจัง
หลี่หมิงอวินมองไปที่นางอย่างสงบ “ใช้ทำอันใดหรือ”
“ข้าอยากส่งอักษรไม่กี่คำไปให้ภรรยาท่านเจ้าเมือง ทว่าไม่ใช่เพราะว่าตัวอักษรของเจ้ามีมูลค่าราคาหรอกนะ แต่เป็นเพราะว่า…” หลินหลันฉีกยิ้มอย่างประจบประแจง “แน่นอนว่าตัวอักษรฝีมือเจ้าก็มีมูลค่าราคาอย่างมากเช่นกัน แต่ประเด็นสำคัญคือ ข้าคิดว่ามีเพียงเจ้าเท่านั้นที่สามารถเขียนออกมาได้ชนิดที่ว่าให้อารมณ์อย่างสงบและเป็นธรรมชาติ”
หลี่หมิงอวินเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย “เจ้านำหมึกมาสิ”
หลินหลันดีอกดีใจ “ไม่มีปัญหา”
หลี่หมิงอวินจุ่มปากกาลงในหมึกแล้วเอ่ยถาม “เขียนคำว่าอะไรหรือ”
หลินหลันครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวขึ้นอย่างนุ่มนวล “เขียนว่า…ความรักที่ลึกซึ้งจะกลายเป็นความเกลียดชัง ความรักที่เบาบางจะไม่ทำให้เจ็บปวด แต่กลับเป็นเรื่องที่ดีเสียด้วยซ้ำไป”
เมื่อหลี่หมิงอวินได้ฟังจนเวลาล่วงเลยไปนานพอตัวเขาก็ยังไม่จรดปากกาลงไป ความรักที่ลึกซึ้งจะกลายเป็นความเกลียดชัง…ตอนนั้นท่านแม่ที่ปล่อยวางไม่ได้ ก็เป็นเพราะความรักที่มีมากเกินไปเช่นนั้นหรือ
“เป็นอะไรไป เจ้ารู้สึกว่าคำพวกนี้ไม่ถูกต้องงั้นหรือ” หลินหลันเอ่ยถามอย่างหวาดระแวง
หลี่หมิงอวินส่ายหน้าเบาๆ “เปล่า ดีมากต่างหากล่ะ” ขณะที่พูดก็ถือปากกาสะบัดเคลื่อนไหวราวกับสายน้ำ เพียงชั่วพริบตาก็เป็นอันเสร็จสิ้น
หลินหลันมองดูอักษรที่เขาเขียน ลายเส้นไม่ตรงจนดูแข็งกร้าวเกินไป ปลายอักษรสะบัดพลิ้วไปมาอย่างดูเป็นธรรมชาติ ราวกับแอบซ่อนจิตวิญญาณที่สมบูรณ์เอาไว้ภายใน เผยให้เห็นทัศนคติที่ใจเย็นและงดงามโดดเด่นเป็นธรรมชาติตั้งแต่ต้นจนจบ หลินหลันรู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อย ตัวอักษรของเขาช่างน่าทึ่งและที่น่าทึ่งยิ่งไปกว่านั้นก็คือ3การเขียนตัวอักษรของเขา…
กุ้ยซ่าวเข้ามาเอ่ยถาม “เส้าเหยีย เส้าฟูเหริน ให้จัดเตรียมอาหารได้เลยไหมเจ้าคะ”
เสมือนหลินหลันตื่นขึ้นจากความฝัน นางวางแท่งหมึกลงแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “จัดวางอาหารเถอะ! นี่ก็ค่ำมากแล้วด้วย”
อวี้หลงและหยินหลิ่วไปให้การช่วยเหลือ ขณะนั้นหลินหลันก็ได้ยินกุ้ยซ่าวเอ่ยกระซิบถามหยินหลิ่ว “เส้าฟูเหรินชอบกินอาหารประเภทไหนหรือ”
หยินหลิ่วฉีกยิ้มเล็กน้อย “ไว้กลับไปข้าจะลองถามดูนะเจ้าคะ”
หลินหลันเผยรอยยิ้มอย่างรู้เท่าทัน แล้วตะโกนเรียกออกไป “หยินหลิ่ว เจ้าช่วยไปเรียกเหวินซานให้มาหาข้าทีสิ”
[1] ป๋ายอวี้เกา (白玉膏) เป็นยาสมุนไพรเนื้อครีมชนิดหนึ่ง ซึ่งในยุคสมัยโบราณถือเป็นยาที่มีสรรพคุณในการทำให้โลหิตไหลเวียน ลดอาการบวมและขจัดรอยแผลอักเสบ