ตอนที่ 49 ย่านเฮ๋อฮวา จวนโจว

ปฏิญญาค่าแค้น

หลังจากมื้อค่ำสิ้นสุดลง หลี่หมิงอวินซึ่งเดินทางมาตลอดทั้งวันจนเหงื่อออกท่วมตัว ให้ความรู้สึกที่ไม่สบายตัวเป็นอย่างมาก จึงไปจัดการชำระล้างร่างกาย 

 

 

เมื่อออกมาก็เห็นว่าหลินหลันไม่ได้อยู่ในห้องเสียแล้ว มีเพียงอวี้หลงที่กำลังบดยาอยู่เท่านั้น 

 

 

“เส้าฟูเหรินล่ะ?” 

 

 

อวี้หลงรีบลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยตอบ “ไปเรือตระกูลเฉียวแล้วเจ้าค่ะ” 

 

 

หลี่หมิงอวินพยักหน้า ก็ควรจะไปอีกสักรอบอยู่หรอก ในเมื่อพรุ่งนี้เรือก็ออกเดินทางต่อแล้ว 

 

 

หลี่หมิงอวินหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวยาวเบาะนุ่ม เตรียมที่จะอ่านหนังสือ และขณะนั้นเองเขากลับเห็นว่าบนหนังสือมีพัดวางอยู่หนึ่งอัน ปลอกใส่พัดเป็นไหมหาง [1] สีฟ้า งานปักลวดลายกิ่งไม้ไผ่และมีสีสันสวยงาม 

 

 

“เส้าเหยีย นั่นคือของที่วันนี้เส้าฟูเหรินไปเดินเล่นแล้วตั้งใจซื้อมาฝากเส้าเหยียเป็นพิเศษเจ้าค่ะ” อวี้หลงเน้นว่า ‘เป็นพิเศษ’ พร้อมกับเผยรอยยิ้มขึ้น ก่อนจะชะงักไปชั่วครู่แล้วเอ่ยต่อ “เส้าฟูเหรินยังได้เขียนตัวอักษรเอาไว้บนนั้นด้วยนะเจ้าคะ” 

 

 

หลี่หมิงอวินขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างไม่รู้ตัว อะไรกันที่นางได้เขียนเอาไว้ เขาหยิบพัดพับขึ้นมาแล้วถอดปลอกและคลี่กางมันออก 

 

 

มีตัวอักษรอยู่ที่ไหนกัน เห็นชัดๆ ว่าเป็นรูปวาดรูปหนึ่ง 

 

 

ไผ่ลำต้นยาวสองสามต้น องค์ประกอบของรูปแม้จะดูเรียบง่ายแต่จัดวางได้อย่างเหมาะ เรียกได้ว่าเป็นระเบียบมากเลยก็ว่าได้! เพียงแต่ฝีปลายพู่กันยังดูไร้เดียงสาไปหน่อย หลี่หมิงอวินเอ่ยถามด้วยร้อยยิ้มบางๆ “รูปนี่…เส้าฟูเหรินวาดด้วยตนเองจริงหรือ” 

 

 

อวี้หลงชะโงกหน้ามาดู “เป็นรูปวาดไปได้อย่างไรกัน เส้าฟูเหรินพูดอยู่ชัดๆ ว่าต้องการจะเขียนตัวอักษรเอาไว้เจ้าค่ะ” 

 

 

หลี่หมิงอวินยกมือขึ้นโบกปัด “เจ้าทำงานของเจ้าต่อไปเถอะ!” 

 

 

อวี้หลงขานรับแล้วหันไปหยิบถ้วยยาทองแดงเพื่อออกไปจัดการต่อด้านนอก จะได้ไม่เป็นการรบกวนเวลาการอ่านหนังสือของผู้เป็นนาย 

 

 

หลี่หมิงอวินจับจ้องไปบนพัดเป็นเวลาเนิ่นนาน…ไม่ยักจะรู้ว่านางสามารถวาดภาพได้ด้วย แม้ว่าจะวาดออกมาได้ไม่สวยหรูนัก แต่ก็ยังเห็นได้ว่านางมีพรสวรรค์ในการวาดภาพไม่น้อยเลยทีเดียว พื้นที่โล่งทางด้านซ้ายและขวาของพัด ทำให้หลี่หมิงอวินครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะก่อนจะหยิบปากกาขึ้นมาแล้วจรดปลายปากกาเขียนกลอนลงไปสองประโยค…มองโลกในแง่บวกโดยคงไว้ซึ่งคุณธรรม เปิดใจให้กว้างและตรงไปตรงมา 

 

 

หลังจากนั้นก็โบกสะบัดพัดไปมาด้วยความพึงพอใจแม้ว่าสภาพอากาศในค่ำคืนนี้จะไม่ได้ร้อนแต่อย่างใดก็ตาม หากแต่สายลมยามค่ำคืนท่ามกลางพื้นผิวน้ำที่พัดผ่านเข้ามาทางช่องหน้าต่างยังให้ความรู้สึกค่อนข้างเย็นอยู่เล็กน้อยด้วยซ้ำไป 

 

 

รูปภาพนี้จากการประเมินของหลี่หมิงอวินยังถือว่าพอไปวัดไปวาได้ แต่ทว่ามันกลับเป็นรูปที่หลินหลันลงแรงกายแรงใจอย่างมากเพื่อวาดมันออก ในเมื่อไม่ควรวาดออกมาน่าเกลียดจนชวนให้อับอายขายหน้า และก็ไม่ควรวาดออกมาให้สวยสดงามงานจนเกินไป สำหรับผู้ที่ผ่านการเรียนวาดภาพด้วยระยะเวลาเพียงสามปีก็สามารถสอบผ่านจิตรกรรมจีนระดับสูงได้แล้วนั้น ต้องแสร้งทำออกมาให้เสมือนนักวาดระดับเด็กมัธยมต้น มันช่างไม่ง่ายดายเอาเสียเลย 

 

 

หลินหลันขึ้นไปบนเรือของตระกูลเฉียวโดยมีแม่ฟางรอให้การต้อนรับและเชื้อเชิญนางเข้าไปด้านในอย่างเป็นกันเอง 

 

 

“เสี่ยวกงจื่อ [2] ของข้าหลังจากได้กินยาที่หลี่ฟูเหรินจ่ายให้ก็อาการดีขึ้นเยอะเลยเจ้าค่ะ และขณะนี้ฮูหยินก็กำลังป้อนอาหารให้เขาอยู่เจ้าค่ะ!” 

 

 

หลินหลันเผยรอยยิ้ม “ไม่มีไข้ขึ้นมาอีกก็เป็นอันวางใจได้แล้ว” 

 

 

ยังไม่ทันผ่านเข้าประตูไปก็ได้ยินเสียงฮูหยินเฉียวซึ่งกำลังรบเร้าบุตรชายของตน “หลงเอ๋อร์ กินสักหน่อยก็ยังดีลูก หากไม่รีบกินเดี๋ยวจะเย็นชืดหมดแล้ว” 

 

 

เด็กน้อยส่งเสียงออดอ้อนอย่างนุ่มนวล “ข้าไม่อยากกิน” 

 

 

“ไม่อยากกินก็ต้องกินจ้ะ! หากไม่กินแล้วจะหายป่วยได้อย่างไรกันล่ะ” ฮูหยินเฉียวโน้มน้าวอย่างใจเย็น 

 

 

“ไม่เอาไม่เอา ก็ข้าไม่อยากกินนี่…” 

 

 

แม่ฟางยิ้มอย่างจนปัญญา แล้วพูดขึ้น “ปกติแล้วเสี่ยวกงจื่อก็ไม่ชอบกินข้าวปลาอาหารเสียเท่าไหร่เจ้าค่ะ ต้องอาศัยทั้งการรบเร้าและโน้มน้าวอย่างหนักเขาถึงจะไม่ยอมกินเข้าไปนิดๆ หน่อยๆ” 

 

 

หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ “เด็กๆ ล้วนเป็นเช่นนี้กันทั้งนั้น” 

 

 

“ฮูหยิน หลี่ฟูเหรินมาแล้วเจ้าค่ะ” แม่ฟางตะโกนบอกกล่าว 

 

 

“เร็วเข้า รีบเชิญเข้ามา” ฮูหยินเฉียวกล่าวขึ้นในทันที 

 

 

หลินหลันย่อตัวลงพร้อมกับโค้งลำตัวเล็กน้อยเพื่อให้การคาราวะแด่ฮูหยินเฉียว หลังจากนั้นก็เดินไปที่หน้าเตียงด้วยรอยยิ้มก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งบนขอบเตียงแล้วดึงมือของหลงเอ๋อร์เข้ามา ขณะที่นางตรวจชีพจรของเด็กน้อยก็กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน “หลงเอ๋อร์ชอบกินยาไหมจ๊ะ” 

 

 

หลงเอ๋อร์เบ้ปากขึ้นทันที “ไม่ชอบ ขมจะตายชัก” 

 

 

“หลงเอ๋อร์เจ้ารู้อะไรไหม บนโลกนี้มีสัตว์ประหลาดจำพวกหนึ่งที่พวกเรามองไม่เห็น สัตว์ประหลาดพวกนี้ชอบเข้าสิงในรางกายของคนแล้วก่อความชั่วร้ายโดยทำให้คนเจ็บป่วย” หลินหลันแสดงสีหน้าท่าทางที่น่ากลัวออกมา 

 

 

หลงเอ๋อร์เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็เผยสีหน้าหวาดกลัวออกมา แล้วเอ่ยถามอย่างเบาๆ “เช่นนั้นที่ข้าไม่สบายก็เป็นเพราะสัตว์ประหลาดเข้าไปในตัวข้าแล้วงั้นหรือ” 

 

 

หลินหลันฉีกยิ้มสดใส “ใช่แล้ว! แต่ว่า หลงเอ๋อร์ไม่ต้องกลัวไปหรอก เพราะความจริงแล้ว ในร่างกายของหลงเอ๋อร์มีผู้พิทักษ์น้อยๆ อยู่ด้วย ผู้พิทักษ์ตัวน้อยนี้จะช่วยเจ้าสู้รบจนเอาชนะสัตว์ประหลาดเหล่านี้” 

 

 

“แต่ว่า ข้าก็ยังป่วยอยู่เลยไม่ใช่หรือ” หลงเอ๋อร์บ่นพึมพำด้วยริมฝีปากน้อยๆ ของเขาอย่างไม่เชื่อ 

 

 

“นั่นเป็นเพราะเจ้าไม่ชอบกินข้าวยังไงล่ะ ผู้พิทักษ์ตัวน้อยก็ต้องหิวเป็นธรรมดาและไม่มีเรี่ยวแรง ดังนั้นก็เลยสู้สัตว์ประหลาดไม่ได้เสียแล้ว” 

 

 

หลงเอ๋อร์ขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิด ก่อนจะกล่าวขึ้นอย่างร่าเริง “ข้ารู้แล้ว ถ้าหากข้ากินข้าวให้เยอะๆ เข้าไว้ ผู้พิทักษ์ตัวน้อยก็จะแข็งแรงกำยำแล้วก็จะสามารถขับไล่สัตว์ประหลาดไปได้แล้ว” 

 

 

หลินหลันสะกิดปลายจมูกน้อยๆ ของเขา และกล่าวชื่นชม “หลงเอ๋อร์ฉลาดจริงๆ หากต้องการให้ผู้พิทักษ์กลับไปแข็งแรงกำยำ ไม่เพียงต้องกินข้าวเยอะๆ เท่านั้น แล้วยังต้องไม่เลือกกินด้วย ผู้พิทักษ์น้อยชอบกินอาหารให้มากมายหลากหลาย ที่นี้หลงเอ๋อร์อยากให้ผู้พิทักษ์น้อยกลับมาแข็งแรงกำยำไวๆ หรือไม่จ๊ะ” 

 

 

หลงเอ๋อร์ส่งเสียงตอบรับซ้ำๆ “อยาก อยาก ข้าต้องการให้ผู้พิทักษ์ตัวน้อยรีบกลับมาแข็งแรงกำยำไวๆ แล้วขับไล่สัตว์ประหลาดออกไป ทีนี้หลงเอ๋อร์ก็จะไม่ต้องกินยาอีกแล้ว” 

 

 

ฮูหยินเฉียวและแม่ฟางต่างหันมองหน้ากันและเผยรอยยิ้มออกมา ยังคงเป็นหลี่ฟูเหรินที่มีหนทางแก้ไขสถานการณ์จนได้ 

 

 

ฮูหยินเฉียวนำชามข้าวส่งให้แม่ฟาง โดยให้แม่ฟางรับหน้าที่ป้อนข้าวหลงเอ๋อร์ต่อไป แล้วตนเองจึงออกมานอกห้องพร้อมกับหลินหลันเพื่อพูดคุยกัน 

 

 

“หลี่ฟูเหริน อาการป่วยของหลงเอ๋อร์ยังจะกำเริบขึ้นมาอีกไหม” ฮูหยินเฉียวมีความกังวลอยู่เล็กน้อย ระยะทางกว่าจะถึงเมืองหลวงยังอีกยาวไกลนัก หากหลงเอ๋อร์เกิดป่วยขึ้นมาอีกครั้งระหว่างการเดินทาง…รู้เช่นนี้แต่แรกนางน่าที่จะพาหมอร่วมทางมาสักคน 

 

 

“ท่านฮูหยินวางใจได้ เมื่อครู่ข้าจับชีพจรให้หลงเอ๋อร์ ชีพจรของเขาเป็นปกติดีและอยู่อาการที่ปลอดภัยแล้ว ขอเพียงแค่อย่าให้เขาร่วงหล่นน้ำไปอีก ก็ไม่น่ามีปัญหาอะไรแล้วเจ้าค่ะ” 

 

 

ฮูหยินเฉียวกล่าวด้วยรอยยิ้มปนความเศร้าสร้อยอยู่เล็กน้อย “มันเป็นความประมาทของข้าเองในฐานะผู้เป็นแม่” 

 

 

หลินหลันหยิบยาเป่าหนิงออกมาหนึ่งขวดแล้วมอบมันให้แก่ฮูหยินเฉียว “นี่เป็นยาที่ข้าผสมขึ้นมาเอง ใช้รักษาอาการปวดท้อง ท้องเสีย ระบบย่อยไม่ดี เป็นหวัด ปวดหัวตัวร้อนอะไรประเภทนี้ล้วนใช้รักษาได้ทั้งนั้น ท่านนำติดตัวเผื่อไว้ใช้ในยามที่จำเป็นนะเจ้าคะ” 

 

 

ฮูหยินเฉียวรับเอามาและกล่าวด้วยความดีใจ “ขอบคุณหลี่หมิงฟูเหรินเป็นอย่างยิ่ง พรุ่งนี้ก็ต้องออกเดินเรือแล้วซึ่งข้าก็กำลังเป็นกังวลอยู่พอดี ตอนนี้มียาวิเศษนี่แล้วข้าเองก็สบายใจขึ้นเยอะ” 

 

 

หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่ไม่ใช่ยาวิเศษอะไรหรอกเจ้าค่ะ เอาไว้ใช้ยามฉุกเฉินแก้ขัดไปก่อนก็พอได้อยู่ แต่หากป่วยขึ้นมาแล้วยังไงก็จำเป็นต้องไปพบหมอเจ้าค่ะ” 

 

 

“ใช่จ้ะ ใช่จ้ะ ว่าแต่ว่าหลี่ฟูเหรินพักอาศัยอยู่ที่ไหนหรือแล้วกำลังจะมุ่งหน้าไปแห่งหนใด โปรดช่วยบอกกล่าวกันที ในวันข้างหน้าเมื่อมีโอกาสก็อยากจะไปเยี่ยมเยียนและขอบคุณถึงที่” 

 

 

“ฮูหยินเฉียวเกรงใจกันเกินไปแล้วเจ้าค่ะ ข้าเป็นหมอดังนั้นการรักษาผู้ป่วยก็คือหน้าที่ของข้า แต่จะว่าไปแล้ว ครั้งนี้พวกเรากำลังมุ่งหน้าเข้าเมืองหลวงเจ้าค่ะ” 

 

 

เฉียวฮูหยินกล่าวอย่างดีอกดีใจ “บังเอิญขนาดนี้เชียวหรือ พวกเราก็กำลังมุ่งหน้าเข้าเมืองหลวงเช่นกัน เช่นนี้แล้ว พวกเราก็สามารถเป็นเพื่อนรวมทางกันไปได้แล้วสินะ” 

 

 

หลินหลันเองก็รู้สึกเกินความคาดหมายอยู่เช่นกัน “เช่นนั้นก็ดีเลยสิเจ้าคะ!” 

 

 

ฮูหยินเฉียวเผยสีหน้าที่ดูมีความสุขยิ่งนัก “ข้าว่าพวกเราช่างมีวาสนาต่อกันจริงๆ ยังเหลือระยะทางอีกหนึ่งเดือนโดยประมาณโดยที่เส้นทางนี้จะไม่โดดเดี่ยวอีกแล้ว” 

 

 

หลินหลันได้ฟังกลับรู้สึกลังเลใจขึ้นมา นางได้ยินหลี่หมิงอวินพูดไว้ว่า กว่าจะถึงเมืองหลวงยังต้องใช้เวลาอีกเดือนครึ่งถึงสองเดือน นางจึงกล่าวขึ้น “ฮูหยินเฉียวต้องรีบไปใช่ไหมเจ้าคะ ด้วยสามีของข้าระหว่างทางล่องเรือยังคงต้องแวะเยี่ยมเยียนสหายเก่าอีกหลายท่าน” 

 

 

ฮูหยินเฉียวกล่าวอย่างผิดหวัง “เช่นนี้เอง…ข้าไปเมืองหลวงด้วยมีธุระเร่งด่วนน่ะ” 

 

 

เรื่องนี้หลินหลันไม่กล้าตัดสินใจตามอำเภอใจได้ ขณะที่ฮูหยินเองก็รู้สึกลำบากใจหากจะให้พวกเขาไม่ต้องแวะเยี่ยมเยียนสหาย ขณะนี้ทั้งสองจึงตกอยู่ในอาการเงียบงันไปชั่วขณะ 

 

 

“ไม่สามารถเดินทางไปพร้อมกันได้ก็ไม่เป็นไรจ้ะ ถึงอย่างไรพวกเราล้วนไปถึงเมืองหลวงอยู่ดี เอาไว้ค่อยพบกันเมื่อถึงเมืองหลวงแล้วก็ได้เหมือนกัน” ฮูหยินกล่าวโดยขณะเดียวกันก็เขียนที่อยู่แล้วส่งให้หลินหลัน 

 

 

หลินหลันมองชื่อที่อยู่ซึ่งเขียนไว้บนนั้น “ย่านเฮ๋อฮวา…จวนโจว…” 

 

 

“นี่เป็นที่อยู่ลูกเขยของข้า หากหลี่ฟูเหรินถึงเมืองหลวงแล้วก็ให้คนช่วยส่งข่าวคราวมาเสียหน่อย ข้าจักต้องไปให้การขอบคุณถึงที่ให้เป็นได้” ฮูหยินเฉียวกล่าวอธิบาย “ไม่แน่ว่าถึงตอนนั้นแล้วอาจยังต้องรบกวนหลี่ฟูเหรินอีกต่างหาก!” 

 

 

หลักจากล่ำลากันเป็นที่เรียบร้อย หลินหลันจึงกลับขึ้นเรือของตนเอง โดยขณะนั้นหลี่หมิงอวินกำลังอ่านหนังสืออยู่ หลินหลันมองเห็นในมือของเขากำลังโบกพัดไปมาและนั่นก็เป็นพัดที่นางมอบให้ 

 

 

หลินหลันดึงอวี้หลงไปยังมุมด้านข้าง กล่าวถามด้วยเสียงกระซิบ “เส้าเหยียหัวเราะข้าบ้างหรือไม่” 

 

 

อวี้หลงส่ายหน้าทันที และกล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ “เส้าเหยียถูกใจมากเจ้าค่ะ” 

 

 

ห้องทั้งห้องพื้นที่เล็กเสียขนาดนี้ ต่อให้หลินหลันพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบายิ่งกว่านี้ คนทางด้านนั้นก็ยังคงได้ยินอย่างชัดเจนอยู่ดี หลี่หมิงอวินกระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อย แล้วแสร้งทำเป็นไม่ได้รับรู้อะไรทั้งสิ้น “กลับมาแล้วหรือ” 

 

 

หลินหลันโบกมือเป็นสัญญาณให้อวี้หลงออกไปก่อน ก่อนจะเข้าไปหย่อนตัวนั่งลงตรงข้ามหลี่หมิงอวินและพูดถึงเรื่องฮูหยินเฉียวอยากร่วมเดินทางไปพร้อมกัน 

 

 

นัยน์ตาของหลี่หมิงอวินเรียบเฉยพลางกล่าวขึ้นอย่างสุขุม “เจ้าไม่ได้ตอบตกลงหรอกใช่ไหม” 

 

 

“จะทำเช่นนั้นได้อย่างไรล่ะ ไม่ได้รับความเห็นชอบจากเจ้าแล้วใยข้าจะไปเที่ยวตอบตกลงตามอำเภอใจได้” หลินหลันกล่าวพลางเหลือบสายตาไปแอบมองยังพัดที่อยู่ในมือเขา จึงเห็นว่าบนหน้าพัดมีตัวอักษรเพิ่มเข้ามาถึงสองบรรทัด 

 

 

หลี่หมิงอวินพยักหน้าอย่างชื่นชน “ตงจึเคยพูดว่า พวกเขามีเรื่องด่วนจึงต้องรีบร้อนเดินทาง ดังนั้นในตอนแรกถึงได้อยากแย่งเรือของพวกเรา อีกอย่างพวกเราเองก็ไม่ได้รีบร้อนเข้าเมืองหลวงขนาดนั้น จึงคงจะดีกว่าหากแยกกันไป” 

 

 

“ข้าเองก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน นี่…นี่คือที่อยู่ซึ่งฮูหยินเฉียวได้ให้ข้าเอาไว้ เป็นบ้านของลูกเขยนาง โดยนางกล่าวว่าหลังจากถึงเมืองหลวงแล้วให้ส่งข่าวคราวไปถึงนางด้วย” หลินหลันนำกระดาษยื่นให้เขาดู 

 

 

หลี่หมิงอวินอ่านด้วยน้ำเสียงเบาๆ “ย่านเฮ๋อฮวา จวนโจว…” 

 

 

ทันใดนั้นนัยน์ตาของเขาก็เปลี่ยนไปทันที 

 

 

หลินหลันสังเกตเห็นท่าทีของเขาที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน จึงเอ่ยถาม “มีอะไรหรือ” 

 

 

หลี่หมิงอวินกล่าว “เจ้ารู้หรือไม่ว่าจวนโจวนั้นคือบ้านของผู้ใด” 

 

 

หลินหลันส่ายหน้า และพูดอยู่ในใจ ข้าไม่เคยไปเมืองหลวงเสียหน่อย อีกทั้งทางเข้าเมืองหลวงไปทิศทางใดยังไม่รู้เลยแล้วจะไปรู้จักจวนโจวได้อย่างไรกัน 

 

 

“นี่คือจิ้งปั๋วโหว [3] ตระกูลโจว ก่อนที่ข้าจะออกจากปักกิ่งได้ยินมาว่าจิ้งปั๋วโหวทำการสู่ขอลูกสาวของตระกูลตงหยางเฉียวเพื่อแต่งงานใหม่อีกครั้ง คาดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นพวกนาง…” 

 

 

หลินหลันตกตะลึง นี่มันจะบังเอิญเกินไปแล้วกระมัง! จู่ๆ ก็ได้พบกับแม่ยายของโหวเยว่ [4] ท่านหนึ่ง? 

 

 

 

 

 

—— 

 

 

[1] ไหมหาง หมายถึง ผ้าไหมที่ผลิตขึ้นจากเมืองหางโจว 

 

 

[2] เสี่ยวจงจื่อ (小公子) 小ในที่นี้หมายถึง ยังเป็นเด็ก เยาว์วัย 公子แปลว่า คุณชาย ซึ่งมักใช้กับบริบทเรียกผู้ชายที่มีพื้นฐานทางครอบครัวที่ร่ำรวยและสูงศักดิ์ 

 

 

[3] ปั๋วโหว (伯侯) เป็นตำแหน่งยศถาบรรดาศักดิ์ในสมัยโบราณ เรียกในภาษาไทยได้ว่า ตำแหน่งเจ้าพระยา (ในสมัยโบราณ) ซึ่งมีอำนาจในการปกครองดูแลชาวบ้าน เทียบเท่าตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดในปัจจุบัน โดยตำแหน่งนี้ได้รับการแต่งตั้งจากฮ่องเต้ 

 

 

[4] โหวเยว่ (侯爷) คำเรียกยศตำแหน่ง ท่านเจ้าพระยา