ตอนที่ 153 เหยียบเกาะสดับมุกครั้งแรก

พันธกานต์ปราณอัคคี

ที่มั่วชิงเฉินกดตบะไว้ที่ระดับหลอมลมปราณขั้นเก้า ก็เป็นการผ่านการไตร่ตรองมาแล้ว

 

 

ในเมื่อนางหยางบอกว่าที่นี่ไม่ค่อยเห็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน อย่าพูดถึงว่าตนดูแล้วอายุน้อยเพียงนี้ อีกทั้งยังเป็นแม่นาง ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรชายระดับสร้างรากฐานหน้าตาธรรมดามาถึงที่นี่ ในฐานะคนแปลกหน้าก็ต้องเป็นจุดสนใจของคนนับไม่ถ้วน ส่วนระดับหลอมลมปราณก็ไม่สะดุดตากว่ามาก

 

 

ทว่าตบะต่ำเกินไปก็ไม่ได้ แม่นางที่ดูแล้วอายุสิบเจ็ดสิบแปดเช่นนาง เพิ่งมาถึงตามลำพัง หากตบะต่ำต้อย นั่นก็คือการเรียกคราวเคราะห์นะ

 

 

ส่วนระดับหลอมลมปราณขั้นเก้ากำลังดี ลักษณะกำลังก้าวเข้าระดับหลอมลมปราณระยะปลายพอดี

 

 

ระดับหลอมลมปราณระยะปลายกับระดับหลอมลมปราณระยะต้น ระยะกลางนั้นต่างกันมาก นอกจากคาถาแล้วยังสามารถใช้อาวุธเวท เช่นนี้แล้วหากวันหลังมีปัญหา นางก็ไม่ต้องถึงกับกลัวโน่นกลัวนี่จนเกินไป ยิ่งกว่านั้นผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมลมปราณที่เดินทางอยู่ข้างนอก หากไม่เกี่ยวพันถึงผลประโยชน์ก็ไม่ล่วงเกินผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมลมปราณระยะปลายหรอก เช่นนี้ก็ลดความยุ่งยากไปได้มาก

 

 

นางหยางนั่นก็เป็นคนเข้าใจอะไรดี เพียงแต่ชะงักทีหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “แม่นางช่างทำให้ข้าน้อยอายุสั้นจริงๆ” ได้เปลี่ยนจากท่านผู้อาวุโสเป็นแม่นางอย่างไร้ร่องรอยแล้ว

 

 

“ซ้อหยาง ข้าแซ่มั่ว แม้ตบะสูงสักหน่อย ก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจเช่นนี้ เจ้าก็เรียกข้าว่าน้องมั่วก็แล้วกัน หลายวันนี้ไม่แน่ยังต้องรบกวนพวกเจ้าสามีภรรยา” มั่วชิงเฉินยิ้มอย่างอ่อนโยนใจเย็น

 

 

นางหยางพยักหน้าอย่างรู้กาลเทศะ “เช่นนี้ข้าน้อยก็ขอล่วงเกินแล้ว น้องมั่ว สถานที่ที่ข้าและสามีอยู่เรียกว่าเกาะสดับมุก นับว่าเป็นหนึ่งในเกาะใหญ่หลายเกาะนอกเหนือจากเกาะใจศักดิ์สิทธิ์แล้ว จำนวนและคุณภาพของมุกจื่อหวาสงบจิตที่ผลิตใกล้ๆ นี้เป็นของชั้นเลิศ ดังนั้นคนไม่น้อยล้วนยังชีพด้วยการเก็บมุก…”

 

 

มั่วชิงเฉินฟังพลางอมอิ้ม ซ้อหยางด้านหนึ่งเล่าสถานการณ์ของเกาะสดับมุกไปเรื่อยๆ ด้านหนึ่งพายเรือเล็กแล่นไปอย่างคล่องแคล่ว

 

 

ความเร็วของเรือเล็กย่อมเทียบไม่ได้กับอาวุธเวทเหินหาวเป็นธรรมดา ผ่านไปหนึ่งวันเต็มๆ มองไปยังเป็นน้ำทะเลทั่วทั้งผืน ทว่ามั่วชิงเฉินสามารถใช้จิตตระหนักสัมผัสได้ถึงตัวเมืองแล้ว

 

 

ส่วนพี่หยางผู้นั้นในที่สุดก็ฟื้นขึ้นมาแล้ว เห็นบนเรือตนมีสาวน้อยแปลกหน้าเพิ่มมาคนหนึ่ง แม้มีเพียงตบะระดับหลอมลมปราณขั้นเก้า ก็อดตกใจไม่ได้ สีหน้าระแวงขึ้นมา

 

 

ซ้อหยางเห็นท่าจึงต่อว่าว่า “พี่อู่ ท่านทำท่าทางเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร ยังไม่รีบขอบคุณผู้มีพระคุณอีก โชคดีที่น้องมั่วช่วยท่านไว้ มิเช่นนั้น เราสามีภรรยาก็ต้องแยกกันสองภพแล้ว…”

 

 

พูดถึงตรงนี้ก็พูดต่อไปไม่ไหวแล้ว นึกถึงชีวิตการเก็บมุกเรื่องเสี่ยงอันตรายถึงชีวิตเป็นเรื่องปกติ ทั้งนี้ก็เพียงเพื่อสามารถซื้อโอสถวิญญาณกินเป็นครั้งคราว บำเพ็ญเพียรอย่างลำเค็ญเท่านั้น น้ำเสียงจึงสะอื้นขึ้นมา

 

 

เห็นภรรยาน้ำตาตก พี่หยางเกิดลนลานขึ้นมา รีบว่า “น้องหลาน เจ้าอย่าร้องไห้ เพราะข้าไม่เอาไหนแท้ๆ…”

 

 

มั่วชิงเฉินที่อยู่ข้างๆ เห็นท่าทางพวกเขาสองสามีภรรยารักกันลึกซึ้ง ในชั่วเวลาหนึ่งรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ตนยืนอยู่ตรงนี้ ดูเหมือนจะเป็นก้างขวางคอนะ

 

 

ซ้อหยางเป็นคนหัวไว เมื่อระงับอารมณ์ตื่นเต้นที่เห็นสามีเพิ่งฟื้นขึ้นมาได้แล้ว ก็ส่งสัญญาณทางสายตาให้ผู้ชาย

 

 

พี่หยางผู้นี้ก็ไม่ใช่คนโง่ รีบคารวะมั่วชิงเฉินเป็นการใหญ่ทันทีว่า “แม้พูดกันว่าบุญคุณใหญ่หลวงไม่อาจทดแทนด้วยคำขอบคุณได้ ทว่าข้าหยางปี้อู่อย่างไรก็ต้องเอ่ยขอบคุณต่อแม่นางมั่ว บุญคุณที่ช่วยชีวิตจะจดจำมิลืมเลือน”

 

 

มั่วชิงเฉินเอียงตัวหลบแล้วว่า “พี่หยางเกรงใจไปแล้ว น้องเพียงแต่ช่วยโดยความบังเอิญเท่านั้น หลายวันนี้เกรงว่ายังต้องขอรบกวนพวกเจ้าด้วยนะ”

 

 

เห็นสายตาสงสัยเบาๆ ของสามี ซ้อหยางมองไปที่มั่วชิงเฉิน เห็นมั่วชิงเฉินไม่คัดค้าน จึงเล่าความเป็นไปให้หยางปี้อู่ฟังรอบหนึ่ง แน่นอนปิดบังเรื่องตบะที่แท้จริงของมั่วชิงเฉินไม่พูด

 

 

หยางปี้อู่ครุ่นคิดทีหนึ่งว่า “หากแม่นางมั่วไม่รังเกียจ ไม่สู้ก็บอกคนนอกว่าเป็นญาติผู้น้องห่างๆ ของภรรยาข้า ที่ออกมาฝึกตนจากเกาะอื่น”

 

 

มั่วชิงเฉินยิ้มว่า “แล้วแต่พี่หยางจัดการ”

 

 

ในใจแอบคิดว่าสามีภรรยาคู่นี้กลับไม่เหมือนคนเก็บมุกธรรมดา แต่คิดอีกทีหนึ่ง ไม่ว่าตบะสูงหรือต่ำ สองคนนี้อย่างไรเสียก็มีรากวิญญาณ หากอยู่ในหมู่คนธรรมดา ก็นับเป็นหนึ่งในหมื่น กลับรู้สึกว่าตนคิดมากเกินไปอีก

 

 

เป็นเช่นนี้เดินทางอีกสองวันเต็มๆ ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็เห็นเงาของแผ่นดินแล้ว

 

 

เห็นเพียงขอบฝั่ง มีเรือประมงจอดอยู่ไม่กี่ลำอย่างหงอยเหงา ลักษณะไม่ต่างกับเรือเล็กของสามีภรรยาหยางสักเท่าไร

 

 

มองลึกเข้าไปอีก ก็คือห้องหับติดๆ กัน เพียงแต่ห้องนั้นต่างกับที่มั่วชิงเฉินเคยเห็นเมื่อก่อน ไม่คิดเลยว่าจะสร้างขึ้นจากก้อนหินหลากสี ดูแล้วสวยงามยิ่งนัก

 

 

“น้องหยาง พวกเจ้าสองสามีภรรยากลับมาแล้วหรือ เป็นเช่นไร ผลเก็บเกี่ยวไม่เลวสินะ?” คนบนเรือเล็กลำหนึ่งตะโกนว่า

 

 

คนคนนั้นดูแล้วอายุสี่สิบกว่าปี ตบะระดับหลอมลมปราณขั้นสี่ คำพูดที่ถามแม้เป็นมิตร แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดมั่วชิงเฉินกลับรู้สึกได้ว่าในน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยการเยาะเย้ย

 

 

จากนั้นก็ได้ยินคนคนนั้นร้องอย่างตกใจเสียงหนึ่ง “อ้าว แม่นางผู้นี้คือ?” พูดพลางตาคู่หนึ่งจ้องมั่วชิงเฉินอย่างหลุกหลิก

 

 

มั่วชิงเฉินมองไปอย่างเย็นชา พลานุภาพของระดับหลอมลมปราณระยะปลายทำให้คนคนนั้นสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย หดไหล่อย่างไม่รู้ตัว

 

 

“พี่หวังพูดเล่นแล้ว มีผลเก็บเกี่ยวอะไรที่ไหน นี่คือญาติผู้น้องของภรรยาข้าออกมาฝึกตน พอดีมาถึงใกล้ๆ เกาะสดับมุก เราสองสามีภรรยาจึงไปรับเท่านั้น” หยางปี้อู่เอ่ยนิ่งเรียบ จากนั้นพาพวกมั่วชิงเฉินสองคนเดินผ่านไป

 

 

ไกลออกไป ได้ยินเสียงที่แฝงด้วยความสงสัยของคนคนนั้นลอยมา “ญาติผู้น้อง? เหตุใดข้าไม่รู้ว่าภรรยาเขามีญาติผู้น้องเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร?”

 

 

คนมีอายุอีกคนหนึ่งหัวเราะว่า “พี่หวังนี่เจ้าก็พูดเกินไปแล้ว นางหยางนั่นเดิมทีก็ไม่ใช่คนพื้นเมืองอยู่แล้ว มีญาติที่เราไม่รู้จักบ้างจะมีอะไรน่าแปลก?

 

 

“น้องมั่ว เจ้าอย่าใส่ใจ คนคนนั้นอาศัยที่ตนเป็นญาติห่างๆ ที่แทบไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลหวัง ปากพล่อยยิ่งนัก ต่อไปหลบให้ห่างๆ ก็แล้วกัน” นางหยางเอ่ยต่ำๆ

 

 

มั่วชิงเฉินขมวดคิ้ว แม้ว่ากันว่ามังกรแกร่งไม่กดขี่งูเจ้าถิ่น[1] ทว่าอย่างไรเสียตนก็ตบะสูงกว่าคนผู้นั้นมาก เหตุใดเขาจึงไม่ยำเกรงเลยแม้แต่น้อย

 

 

ทันใดนั้นรู้สึกว่าสถานที่ไม่คุ้นเคยนี้ยิ่งแปลกแล้ว มักทำให้นางรู้สึกทะแม่งๆ ทว่าก็พูดอะไรไม่ออก จึงถามตามอำเภอใจว่า “ได้ยินพี่สาวบอกว่าคนส่วนใหญ่ที่นี่ต่างเพิ่งการเก็บมุกเลี้ยงชีพ เหตุใดดูริมฝั่ง มีเรือประมงเพียงไม่กี่ลำ?”

 

 

นางหยางตอบว่า “น้องสาวมาได้ไม่ถูกเวลา เดือนสองเดือนนี้เป็นช่วงเวลาที่หนาวที่สุดของเรา บนทะเลลอยเต็มไปด้วยน้ำแข็ง มีไม่กี่คนที่ทนไหว ผ่านไปอีกระยะ เกรงว่าเรือริมฝั่งจะมากจนเราหาที่ลงไม่ได้แล้ว”

 

 

“เช่นนั้นเหตุใดพวกเจ้ายัง?” มั่วชิงเฉินถามอย่างแปลกใจ

 

 

นางหยางกัดริมฝีปาก ถอนใจเสียงต่ำว่า “ก็เพราะเขาคิดจะหาหินวิญญาณให้มากสักหน่อยซื้อโอสถสองสามเม็ด คิดจะทะลวงระดับหลอมลมปราณขั้นห้าน่ะสิ ไม่ปิดน้องสาว ผู้บำเพ็ญเพียรของเราที่นี่หากถึงระดับหลอมลมปราณขั้นห้า ชีวิตก็จะดีกว่ายามนี้มากเลย”

 

 

“เอ่อ?” มั่วชิงเฉินเบิกตา

 

 

นางหยางเหลือบหยางปี้อู่ปราดหนึ่งเบาๆ เอ่ยเสียงเบาว่า “ถึงระดับหลอมลมปราณขั้นห้าแล้ว ก็จะมีคุณสมบัติไปเป็นบ่าวรับใช้ตระกูลหวังแล้ว เช่นนั้นทุกเดือนก็จะมีหินวิญญาณเป็นค่าจ้าง ชีวิตดีกว่าเราเสี่ยงชีวิตเช่นนี้มาก น่าเสียดายครั้งนี้ไม่เพียงแต่ไม่มีผลเก็บเกี่ยว ยังเกือบจะต้องเอาชีวิตไปทิ้งแล้ว…”

 

 

ความลำเค็ญของผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนัก ปีนั้นที่เมืองเทียนเหยามั่วชิงเฉินก็เคยประจักษ์มาแล้ว และในสถานที่ที่มีอำนาจผูกขาดเพียงตระกูลเดียว เกรงว่าผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักจะลำบากยิ่งกว่าลำบาก

 

 

ฟังที่นางหยางพูดแล้ว มั่วชิงเฉินเข้าใจสถานการณ์ของตระกูลหวังขึ้นอีกขั้นหนึ่งแล้ว

 

 

ที่แท้นอกจากคนในตระกูล ผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักในทะเลขนาบใจแทบจะทั้งหมดล้วนพึ่งพาตระกูลหวังถึงอยู่รอดได้

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมลมปราณไม่มีความสามารถข้ามทะเลได้ จึงไม่อาจนำผลผลิตของทะเลขนาบใจออกไปแลกเป็นหินวิญญาณได้

 

 

และเนื่องจากได้รับการจำกัดจากตำแหน่งทางภูมิศาสตร์โดยธรรมชาติ ทรัพยากรในการบำเพ็ญเพียรบางอย่างที่มิอาจขาดได้สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรไม่มีที่ทะเลขนาบใจนี้ จึงจำเป็นต้องซื้อจากภายนอกทั้งหมด

 

 

ของเหล่านี้ย่อมควบคุมอยู่ในมือตระกูลหวังเป็นธรรมดา ผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านั้นเพื่อแลกกับของที่จำเป็นต้องใช้ในการบำเพ็ญเพียร จึงไม่อาจไม่ไปทำงานต่างๆ เพื่อแลกหินวิญญาณ

 

 

อีกทั้งตระกูลหวังได้ตั้งกฎไว้ ของเพียงเป็นผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักระดับหลอมลมปราณขั้นห้าก็มีคุณสมบัติกลายเป็นบ่าวรับใช้ตระกูลหวัง ถึงระดับหลอมลมปราณขั้นเก้าก็สามารถกลายเป็นนักสู้ประจำตระกูล เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วก็ให้ความหวังแก่ผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักเหล่านั้นอีก ไม่ได้บีบจนพวกเขาไม่มีความหวังเลยเสียทีเดียว แล้วเกิดโกรธแค้นต่อต้าน

 

 

แน่นอน นี่ไม่ใช่คำพูดแต่เดิมของนางหยาง หากแต่เป็นสิ่งที่มั่วชิงเฉินสรุปออกมาตามคำพูดของนาง

 

 

มั่วชิงเฉินพิจารณาช้าๆ พบว่าเกาะนี้ใหญ่มาก หากเดินอยู่ภายในโดยไม่รู้ความก็จะไม่มีทางพบเลยว่านี่เป็นเกาะเกาะหนึ่ง ประหนึ่งไม่ต่างอะไรกับการเดินอยู่บนดินแดนเทียนหยวน

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรที่เดินทางไปมาก็มากมาย ตบะส่วนใหญ่อยู่ระดับหลอมลมปราณระยะแรกระยะกลาง ระยะปลายก็ไม่นับว่าน้อย เพียงแต่ดูเหมือนหญิงสาวมีไม่มาก ดังนั้นมั่วชิงเฉินยังคงได้รับสายตาพิจารณาไม่น้อย

 

 

รอเดินไปอีกระยะหนึ่ง เลี้ยวเข้าถนนที่แคบสักหน่อยเส้นหนึ่ง พบเจอผู้คนอีก ก็มีคนส่งเสียงทักทายไม่น้อยแล้ว สองสามีภรรยาแซ่หยางแนะนำมั่วชิงเฉินตามที่ได้ปรึกษากันไว้แล้วเช่นกัน

 

 

ในที่สุดทั้งสามคนก็หยุดอยู่หน้าเรือนพักทรุดโทรมหลังหนึ่ง นางหยางหยิบกุญแจเปิดประตูลานบ้านออก พูดกับมั่วชิงเฉินว่า “น้องสาวเชิญเข้ามาเร็ว ในบ้านเรียบง่ายหยาบโลนไปสักหน่อย ขออย่ารังเกียจ”

 

 

มั่วชิงเฉินยิ้ม แล้วยกเท้าเดินเข้าไป พบว่าข้างในแม้ทรุดโทรม กลับเก็บกวาดได้อย่างสะอาด โดยเฉพาะในลานบ้านเล็กๆ ยังปลูกต้นเหมยไว้ต้นหนึ่ง ส่งกลิ่นหอมจางๆ ในฤดหนาวอันหนาวเหน็บนี้

 

 

“ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านกลับมาแล้ว” เด็กชายอายุเจ็ดแปดขวบคนหนึ่งผลักประตูบ้านออกแล้ววิ่งออกมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความดีใจ เมื่อเห็นมั่วชิงเฉินที่อยู่ข้างๆ จึงชะงักอยู่ตรงนั้น แล้วไปแอบหลังนางหยาง

 

 

นางหยางลากเด็กชายออกมาว่า “เสี่ยวไห่ เรียกท่านน้า”

 

 

เด็กชายใบหน้าหมดจด ตาคู่หนึ่งดูแล้วทั้งโตทั้งเป็นประกาย มองมั่วชิงเฉินพลางเรียกท่านน้าเบาๆ มีความอ่อนนุ่มตามแบบฉบับเฉพาะของเด็กๆ

 

 

มั่วชิงเฉินทักทายเด็กชายอย่างอ่อนโยน คิดจะมอบของเล่นให้เป็นของขวัญพบหน้า กลับพบว่ายามนี้สิ่งที่ตนเองมีล้วนเป็นสิ่งที่เอาออกมาไม่ได้ จึงอดเคอะเขินเล็กน้อยไม่ได้ ทันใดนั้นนึกถึงมุกกันน้ำที่ได้มาใหม่ จึงเอาออกมาเม็ดหนึ่งยื่นไปว่า “เสี่ยวไห่ อันนี้เจ้าเอาไปเล่นเถอะ”

 

 

มองดูมุกสีฟ้าอ่อนพร้อมด้วยลายน้ำสีขาวในมือมั่วชิงเฉิน หยางปี้อู่สีหน้าเปลี่ยนทันที รีบว่า “แม่นางมั่วหามิได้ นี่ล้ำค่าเกินไปแล้ว”

 

 

มั่วชิงเฉินตบะสูงกว่าสองสามีภรรยานี้มากนัก จากการตั้งใจดูย่อมดูออกว่าสีหน้าของพวกเขาไม่เหมือนแกล้งทำ จึงยิ้มว่า “เป็นเพียงของเล่นที่มอบให้เด็กๆ พวกเจ้าก็อย่าเกี่ยงเลย หากรู้สึกเกรงใจ ก็ให้ข้าลองชิมฝีมือของพี่สาว เปิดหูเปิดตากับของจำเพาะของที่นี่สักหน่อยก็แล้วกัน”

 

 

เห็นมั่วชิงเฉินไม่วางมาดแม้แต่น้อย หยางปี้อู่โล่งใจ แล้วสั่งให้นางหยางไปทำอาหาร

 

 

มั่วชิงเฉินย่อมไม่ยินยอมพูดมากกับผู้ชายที่ไม่นับว่ารู้จักคนหนึ่ง จึงหยอกเล่นอยู่กับเสี่ยวไห่ ใช้หางตาเหลือบเห็นหยางปี้อู่แอบหนีไปห้องครัวเงียบๆ

 

 

จึงยิ้มขึ้นทันที จิตตระหนักแผ่ออกมาเงียบๆ

 

 

 

 

——

 

 

[1] มังกรแกร่งไม่กดขี่งูเจ้าถิ่น หมายถึง แม้จะเป็นบุคคลที่มีอำนาจหรือกำลัง ก็จะไม่ไปกดขี่หรือยุ่งเกี่ยวกับอันธพาลเจ้าถิ่น เพราะอาจทำให้เพลี่ยงพล้ำหรือพ่ายแพ้ได้