ตอนที่ 154 หว่านแหในที่มืด

พันธกานต์ปราณอัคคี

“น้องหลาน แม่นางมั่วผู้นั้นเหตุใดจึงปรากฏตัวที่นี่ได้?” ได้โอกาส ในที่สุดหยางปี้อู่ก็ทนไม่ไหวถามออกมา

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมลมปราณทั่วไปไปมาระหว่างเกาะทั้งหลายล้วนนั่งเรือรับส่งแขกโดยเฉพาะ ส่วนมั่วชิงเฉินกลับปรากฏขึ้นตามลำพังในน่านน้ำที่ไม่มีเส้นทางการเดินเรือ ช่างทำให้คนแปลกใจเสียจริงๆ

 

 

นางหยางตู้เหลือบมองหยางปี้อู่ปราดหนึ่งว่า “แม่นางมั่วมียันต์เหินหาว”

 

 

มั่วชิงเฉินที่ใช้จิตตระหนักคอยสังเกตความเคลื่อนไหวทางนี้ตลอดแอบพยักหน้า นางหยางตู้คนนี้สุดท้ายก็เป็นคนรักษาสัจจะ ได้รับการกำชับจากนาง ต่อให้เป็นสามีที่สนิทสนมที่สุดก็ไม่เปิดเผยแม้แต่น้อย จึงเกิดความรู้สึกดีขึ้นมาทันที

 

 

หยางปี้อู่ตกใจว่า “ไม่นึกเลยว่าจะมียันต์เหินหาว เช่นนี้แล้ว แม่นางมั่วต้องความเป็นมาดีมากเป็นแน่ มิน่าล่ะ นางอายุยังน้อยก็มีตบะระดับหลอมลมปราณขั้นเก้า เทียบกับพวกเราแล้วต้องเก่งกว่ามากเลย”

 

 

นางหยางตู้เหล่หยางปี้อู่ปราดหนึ่ง “เจ้าคิดมากเพียงนั้นทำอะไร ไม่ว่าแม่นางมั่วมีความเป็นมาเช่นไร มีบุญคุณช่วยชีวิตท่านก็เป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน อีกทั้งยังมอบของขวัญพบหน้าล้ำค่าเช่นนั้นให้เสี่ยวไห่อีก”

 

 

หยางปี้อู่ยิ้มอย่างเอาใจว่า “น้องหลาน เจ้าอย่าโกรธ มีพวกเจ้าแม่ลูกสองคน ข้าไม่รอบคอบไม่ได้ แม่นางมั่วตบะล้ำลึก บุญคุณใหญ่หลวงของนางเกรงว่าพวกเราคงไม่มีโอกาสตอบแทน หลายวันนี้เจ้าก็ใส่ใจมากสักหน่อย ต้อนรับนางอย่างดีสักครา หวังเพียงนางเดินทางอยู่ข้างนอกเพียงลำพัง ได้อย่างปลอดภัยก็พอแล้ว”

 

 

“นี่ยังต้องให้ท่านบอกหรือ รีบกลับห้องไปพักเถอะ ข้ารู้ว่าอาการบาดเจ็บของท่านยังไม่หายดีนะ” ในน้ำเสียงต่อว่าของนางหยางตู้กลับแฝงไว้ด้วยความหวานชื่นสายหนึ่ง

 

 

หยางปี้อู่จับมือของนางไว้ทันที เอ่ยเสียงเบาว่า “ข้าไม่ไป ข้าอยากดูเจ้า…”

 

 

มั่วชิงเฉินเก็บจิตตระหนักกลับมาอย่างกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ตัดสินใจว่ารอคุ้นเคยกับสภาพการณ์ก็จะจากไป

 

 

รอถึงเวลาอาหาร มั่วชิงเฉินได้กินอาหารรสเลิศที่ไม่เคยเห็นมาก่อนตามคาด โดยเฉพาะกุ้งสีเหลืองทองชนิดหนึ่ง เข้าปากแล้วทั้งสดทั้งหอมเนื้อก็ลื่น รสชาติมิอาจลืมเลือน

 

 

สองสามีภรรยาแซ่หยางดันกับข้าวให้ตลอดเวลา แทบจะดันกุ้งจานนั้นไปในชามของนางจนหมด มั่วชิงเฉินกลับพบว่าเสี่ยวไห่แอบมองกุ้งใหญ่สีทองนั่นแล้วกลืนน้ำลาย จึงเข้าใจขึ้นมาทันที ครอบครัวนี้ปกติเกรงว่าจะไม่ได้มีเหลือเฟือ

 

 

คืนนั้นมั่วชิงเฉินพักในห้องชั้นดีที่นางหยางตู้เก็บกวาดจนสะอาด ไม่ได้บำเพ็ญเพียร หากแต่นอนหลับอย่างสบายตื่นหนึ่ง

 

 

วันที่สอง รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าตามคาด มั่วชิงเฉินตัดสินใจออกไปดูหน่อย จึงบอกกล่าวสองสามีภรรยาแซ่หยาง แล้วเดินไปบนถนน

 

 

บนถนนผู้คนคับคั่งครึกครื้นยิ่งนัก กระทั่งยังมีคนขายพุทราเชื่อม คนขายตุ๊กตาดินถูกเด็กน้อยน้ำมูกไหลกลุ่มหนึ่งล้อมไว้

 

 

มั่วชิงเฉินพบว่าคนธรรมดาที่นี่และผู้บำเพ็ญเพียรไม่ได้แยกแยะกันอย่างชัดเจนนัก นางเห็นกับตาว่าคนขายของหาบเร่ที่มีตบะระดับหลอมลมปราณขั้นสองคนหนึ่ง เพิ่งเอาของละลานตาออกมา ก็มีคนล้อมเข้าไปไม่น้อย มีทั้งคนธรรมดาและผู้บำเพ็ญเพียร

 

 

มั่วชิงเฉินรู้สึกสนใจขึ้นมาทันที จึงเขยิบเข้าไปดูว่าคนขายของนี้ขายอะไรด้วย

 

 

“ทุกคนเร่เข้ามา สร้อยข้อมือไข่มุกชั้นดี สร้อยคอหอยหลิงหลง ราคายุติธรรม ไม่หลอกลวงทั้งเด็กและคนชรา” คนขายของตะโกนบอก

 

 

มั่วชิงเฉินดูจนงงเป็นไก่ตาแตก คนคนนี้แม้อยู่แค่ระดับหลอมลมปราณขั้นสอง ทว่าอย่างไรเสียก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียร ไม่คิดว่าจะทำการค้าเช่นนี้ได้ ส่วนหญิงสาวที่ล้อมเข้ามาบางส่วน ต่อรองราคากันขึ้นมาอย่างไม่เกรงกลัว ซึ่งเป็นสิ่งที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน

 

 

ทั้งหมดนี้กระทบมโนคติที่เกิดขึ้นตั้งแต่เก่าก่อนของมั่วชิงเฉิน แต่กลับมีความรู้สึกเหมือนได้เปิดหูเปิดตาอีก มิน่าถึงว่าผู้บำเพ็ญเพียรกักตนบำเพ็ญเพียรเพียงอย่างเดียวไม่ได้ หากแต่ต้องท่องเที่ยวไปทั่วหล้า สัมผัสขนบธรรมเนียมประเพณีที่ต่างออกไป

 

 

มีเพียงโลกทัศน์เปิดกว้างแล้ว จึงจะค่อยๆ เข้าใจว่าตนเหมาะจะเดินทางสายใดที่สุด สุดท้ายหาเต๋าของตนจนพบ

 

 

ในเวลาที่นางเหม่อลอยนี่เอง คนขายของเผยให้เห็นฟันขาวเต็มปากยิ้มให้นางว่า “แม่นาง เจ้าดูสร้อยข้อมือปะการังสีแดงเส้นนี้เป็นเช่นไร นี่แดงอย่างสะดุดตากระจ่างใส เข้ากับสีผิวของเจ้าไม่มีอะไรเหมาะสมไปกว่านี้แล้ว”

 

 

เมื่อมั่วชิงเฉินมองดู สร้อยข้อมือเส้นนั้นร้อยขึ้นจากเม็ดปะการังสีแดงสิบเม็ดที่ขัดเรียบเป็นเงา มีแสงวิญญาณเคลื่อนไหวรางๆ ยิ่งขับจนเม็ดมุกนี้กระจ่างใส หากใส่บนข้อมือของแม่นางอายุน้อยย่อมงดงามไม่ธรรมดา จึงแอบคิดว่าคนคนนี้กลับรู้จักทำการค้า คิดว่าสร้อยมุกที่มีปราณวิญญาณ หญิงสาวธรรมดาพวกนั้นคงซื้อไม่ไหว นี่ถึงได้คิดวางแผนขายมาถึงตัวนาง

 

 

นึกถึงมั่วหลีลั่วชอบใส่ชุดแดง มั่วชิงเฉินรู้สึกทันทีว่าสร้อยข้อมือนี้หากนางได้เห็นแล้วต้องชอบแน่ เพียงแต่ไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นเช่นไรบ้างแล้ว ได้ออกจากหุบเขานั่นหรือไม่

 

 

“แม่นาง?” คนขายของตะโกนเสียงหนึ่ง

 

 

มั่วชิงเฉินได้สติกลับมา จงใจต่อรองราคารอบหนึ่ง เลือกของที่สวยงามน่าสนใจซื้อไว้สองสามชิ้นแล้วก็จากไป

 

 

มั่วชิงเฉินยังไม่ได้ไปไกล ก็มีคนคนหนึ่งพูดกับผู้ชายหนวดเฟิ้มอีกคนหนึ่งว่า “ท่านดูแม่นางคนนั้นเป็นเช่นไร?”

 

 

หากนางหันกลับไป ต้องจำได้ว่าคนที่พูดก็คือชายวัยกลางคนที่ชวนสองสามีภรรยาแซ่หยางคุยที่ท่าเรือเมื่อวานเป็นแน่

 

 

“ไม่เลวทีเดียว ไม่คิดว่าจะมีตบะระดับหลอมลมปราณขั้นเก้า ดูท่าทาง ต้องยังเป็นสาวพรหมจรรย์แน่…” ผู้ชายหนวดเฟิ้มเอ่ย

 

 

ชายวัยกลางคนนั่นได้ใจขึ้นมาทันที หัวเราะว่า “พี่เฉา ข้าไม่ได้หลอกท่านใช่ไหมล่ะ หากมอบนางขึ้นไป ท่านก็จะ…”

 

 

ผู้ชายหนวดเฟิ้มเบิ่งตาใส่เขาปราดหนึ่งว่า “หวังเสี่ยวลิ่ว เจ้าสืบความเป็นมาของนางแล้วหรือยัง?”

 

 

หวังเสี่ยวลิ่วพยักหน้าว่า “สืบเรียบร้อยแล้ว นางเป็นญาติผู้น้องห่างๆ ของสะใภ้หยางปี้อู่”

 

 

“หยางปี้อู่?”

 

 

หวังเสี่ยวลิ่วรีบว่า “คนไม่สำคัญ ท่านต้องไม่รู้จักแน่ ทว่าเจ้าหนุ่มนั่นกลับมีฝีมือดีในการเก็บมุก มีชื่อเสียงอยู่บ้างในหมู่คนเก็บมุก วางใจได้ พ่อแม่ของเจ้าหนุ่มนั่นตายเร็ว และก็ไม่มีคนในตระกูล ภรรยาเขาก็เป็นคนมาจากข้างนอก ไม่มีภัยตามมาหรอก แหะๆ เมื่อวานข้าเห็นแม่นางนั่นปุ๊บ ก็รู้สึกว่าคนที่ท่านตามหาได้เรื่องแล้ว ข้าจ้องไว้ตาไม่กะพริบเลยนะ”

 

 

“นางตบะสูงกว่าเจ้า เจ้าอย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น!” ผู้ชายหนวดเฟิ้มพูดอย่างไม่พอใจ

 

 

หวังเสี่ยวลิ่วเอาใจว่า “ที่ไหนกัน ฝีมือข้าท่านยังไม่รู้อีกหรือ อีกอย่างท่านดูถนนใหญ่นี่คนไปมาขวักไขว่ ข้าปนเข้าไปข้างในปุ๊บ ต่อให้นางเป็นเจ้าแม่หวังหมู่ก็ไม่สังเกตเห็น”

 

 

ผู้ชายหนวดเฟิ้มมองทิศทางที่มั่วชิงเฉินจากไปแล้วยิ้ม ส่งสัญญาณทางสายตาให้หวังเสี่ยวลิ่ว

 

 

มั่วชิงเฉินไปร้านเสื้อสำเร็จรูปก่อนซื้อเสื้อผ้ารองเท้าถุงเท้าสองสามชุด แล้วไปร้านอีกหลายร้านซื้อของชิ้นเล็กชิ้นน้อยบางส่วนที่อาจได้ใช้ แล้วเริ่มเตร็ดเตร่เดินซื้อของเล่นขึ้นมา

 

 

การเดินซื้อของอาจเป็นนิสัยโดยธรรมชาติของหญิงสาว นางที่กระปรี้กระเปร่าเดินเสร็จร้านแล้วร้านเล่า เห็นของแปลกใหม่น่าสนใจก็ซื้อไว้ บางทีออกมาสองมือว่างเปล่าก็มี รอจนในที่สุดนางหยุดอยู่หน้าร้านที่แขวนป้ายว่าร้านขายของสารพัด สองคนที่สะกดรอยอยู่ข้างหลังก็ตามจนขาจะสั่นแล้ว

 

 

มั่วชิงเฉินกระดกมุมปาก กวาดสายตาผ่านป้ายชื่อร้านที่แผ่แสงวิญญาณห้าสีปราดหนึ่ง แล้วจึงเดินเข้าไป

 

 

ร้านที่สำหรับขายผู้บำเพ็ญเพียรโดยเฉพาะล้วนพิถีพิถัน หากอยู่ในตลาดเฉพาะทางก็ช่างเถอะ หากเหมือนที่นี่เซียนและคนสามัญผสมปนเปอยู่ด้วยกัน เช่นนั้นป้ายชื่อร้านของร้านรวงประเภทนี้ก็จะผนึกปราณวิญญาณไว้ ใช้ในการเตือนผู้บำเพ็ญเพียร

 

 

“ท่านเซียนรีบเชิญ ไม่ทราบต้องการสิ่งใดบ้าง?” ลูกจ้างเพิ่งเข้าสู่ระดับหลอมลมปราณคนหนึ่งเดินเข้ามา

 

 

มั่วชิงเฉินกวาดสายตาผ่านชั้นวางสินค้าที่ละลานตาปราดหนึ่ง ยิ้มแผ่วเบาว่า “ไม่รู้ว่าพวกเจ้าที่นี่มีสิ่งใดบ้าง?”

 

 

ลูกจ้างแสยะมุมปาก พูดน้ำไหลฟังดับว่า “ของที่มีมีมากมายขอรับ ยันต์ โอสถ สมุนไพรทิพย์ ชาทิพย์ วัตถุดิบต่างๆ กระทั่งอาวุธเวท ที่นี่ก็มี ขอเพียงท่านเซียนอยากซื้อ หากที่เรานี่หาไม่ได้ เกรงว่าก็คงมีเพียงไปร้านที่เกาะใจศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นแล้ว”

 

 

มั่วชิงเฉินแอบหัวเราะว่าช่างเป็นร้านขายของสารพัดจริงๆ มีไปเสียทุกอย่างจริงๆ ปากพูดว่า “เอ่อ? ครบครันถึงเพียงนี้เชียว?” ท่าทางไม่ค่อยเชื่อ

 

 

ลูกจ้างรีบว่า “แน่นอนขอรับ ร้านของเราเป็นร้านขายของสารพัดที่ใหญ่ที่สุดในเกาะสดับมุกเลยนะ”

 

 

“เช่นนั้น…มีเตาโอสถหรือไม่?” มั่วชิงเฉินดูเหมือนถามโดยไม่ตั้งใจ

 

 

“เตาโอสถ?” ลูกจ้างมองมั่วชิงเฉินปราดหนึ่งอย่างประหลาดใจยิ่งนัก ทันได้นั้นได้สติคืนมาว่า “ไม่คิดเลยว่าท่านเซียนหลอมโอสถได้?”

 

 

มั่วชิงเฉินสีหน้าเย็นชาลงมา เอ่ยนิ่งเรียบว่า “เป็นอะไร พวกเจ้าขายของยังต้องถามคนซื้อให้รู้เรื่องว่าจะซื้อไปทำอะไรด้วยหรือ?”

 

 

ลูกจ้างรีบโบกมือว่า “ท่านเซียนอย่าเข้าใจผิด เพียงแต่ข้าน้อยอยู่ในร้านมาหลายปี ท่านเป็นคนแรกที่ถามถึงเตาโอสถจริงๆ”

 

 

“เพราะเหตุใด?” มั่วชิงเฉินถือโอกาสถาม

 

 

ลูกจ้างหัวเราะแหะๆ ว่า “อาจารย์เซียนที่หลอมโอสถเป็น มีเพียงในตระกูลหวัง ทั้งหมดไม่เกินหนึ่งร้อยคน นั่นช่างไม่ต้องห่วงเรื่องกินอยู่เลยจริงๆ!” สีหน้าเต็มไปด้วยความอิจฉา

 

 

นักหลอมโอสถหนึ่งร้อยคนฟังแล้วมากมายนัก ทว่าเมื่อนึกถึงผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักทั้งทะเลขนาบใจล้วนต้องพึ่งพาตระกูลหวังในการบำเพ็ญเพียร ส่วนโอสถที่หลอมโดยนักหลอมโอสถหนึ่งร้อยคนนี้ ผู้บำเพ็ญเพียรมากมายเพียงนี้เกรงว่าแม้ยัดซอกฟันก็ไม่พอ มั่วชิงเฉินจึงเข้าใจคุณค่าของนักหลอมโอสถที่นี่แล้ว

 

 

“ตกลงมีหรือไม่?” มั่วชิงเฉินมองลูกจ้างปราดหนึ่งเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม

 

 

ลูกจ้างที่เพิ่งคุยโวถูกสายตาของมั่วชิงเฉินมองจนหน้าแดง รีบเอ่ยว่า “ท่านเซียนท่านรอก่อน ข้าไปถามเถ้าแก่ดู” พูดจบก็วิ่งเข้าไปในประตูเล็กๆ บานหนึ่งหลังชั้นคิดเงิน

 

 

มั่วชิงเฉินก็ไม่รีบร้อน พิจารณาชั้นวางของพวกนั้นตามสบาย เห็นชั้นวางของอันหนึ่งวางขวดหยกแบบต่างๆ แปะชื่อโอสถไว้ ทว่าเป็นพวกโอสถธรรมดา กลับเป็นอาวุธเวทบนชั้นวางของอีกอันหนึ่ง ไม่คิดว่ามีสินค้าชั้นสูงด้วย

 

 

ดูที่อื่นอีก วัตถุดิบมากมายคาดว่าคงได้มาจากในทะเล ไม่คิดว่ามั่วชิงเฉินจะไม่รู้จักเป็นส่วนใหญ่ แอบคิดว่าวัตถุดิบพวกนี้กลับสามารถซื้อไว้สักหน่อยได้

 

 

กำลังครุ่นคิดอยู่ ลูกจ้างก็กลับมาแล้ว บอกกับมั่วชิงเฉินว่า “ท่านเซียน โชคของท่านช่างไม่เลวจริงๆ ที่เรานี่มีเตาโอสถอันหนึ่งพอดี ทว่าเตาโอสถนั่นคุณภาพชั้นเลิศ ไม่สะดวกเอามาที่นี่ เถ้าแก่บอกว่าหากท่านอยากได้อย่างจริงใจ ก็เข้าข้างในคุยกันสักครา”

 

 

“เจ้านำทางเถอะ” มั่วชิงเฉินเอ่ยนิ่งเรียบ

 

 

ลูกจ้างโค้งตัว นำมั่วชิงเฉินเข้าไปอย่างนอบน้อม ทะลุผ่านระเบียงแห่งหนึ่งมาถึงหน้าประตูบานหนึ่งว่า “ท่านเซียน เถ้าแก่ของเราก็อยู่ข้างในนี้แหละ”

 

 

มั่วชิงเฉินเหลือบมองลูกจ้างปราดหนึ่งอย่างเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม ยื่นมือผลักประตูแล้วเดินเข้าไป

 

 

มั่วชิงเฉินที่เพิ่งก้าวเข้าไปก็เห็นแหใหญ่ปากหนึ่งโถมเข้ามาตรงหน้า นางมุมปากอมยิ้มเย็นชาพลางถอยไปด้านหลัง ซัดก้อนอิฐในมือออกไปด้วยพละกำลังมหาศาล

 

 

คนในห้องเห็นดังนั้นเผยรอยยิ้มมั่นใจว่าต้องชนะ กลับต้องตกตะลึงที่พบว่าก้อนอิฐนั้นแม้ไม่ได้ทะลุแหออกมา แต่กลับพาแหใหญ่บินมุ่งมาพร้อมกันทางที่เขาอยู่

 

 

คนคนนั้นเสกคาถานิ้ว แหใหญ่เปล่งแสงวิญญาณขึ้น เหมือนสิ่งมีชีวิตก็ไม่ปานหดรัดก้อนอิฐไว้แน่นกักไว้ข้างใน ก้อนอิฐชนทางซ้ายแหกวงล้อมทางขวากลับไม่อาจหลุดออกมาได้ แล้วเริ่มหมุนไปๆ มาๆ อยู่ในแห

 

 

“ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ!” มั่วชิงเฉินฮึเสียงเย็นเสียงหนึ่ง พลังวิญญาณที่บังคับก้อนอิฐเพิ่มขึ้นอีกสองส่วน ก้อนอิฐที่กระโดดขึ้นในบัดดลซัดเข้าหน้าของคนคนนั้นด้วยความเร็วปานฟ้าผ่า แล้วก็ได้ยินเสียงปึงเสียงหนึ่งตามมาติดๆ รอยยิ้มที่มุมปากของคนคนนั้นยังไม่ทันได้เก็บไป ก็ถูกอิฐซัดจนกองไปกับพื้น

 

 

มองหวังเสี่ยวลิ่วที่ตกใจจนตัวสั่นงันงก มั่วชิงเฉินหัวเราะเย้ยว่า “ช่างบังเอิญ พบหน้ากันอีกแล้ว”