คฤหาสน์เสียงดังโหวกเหวกตั้งแต่เช้าตรู่ 

 

เหล่าคนงานต่างก็ขยับตัวเคลื่อนไหวกันอย่างรวดเร็วตั้งแต่เวลาเช้ากว่าทุกวัน หากมองออกไปนอกหน้าต่างจะเห็นรถม้าหลายสิบคันที่บรรดาแขกเหรื่อนั่งมา จอดอยู่บนถนนที่ทอดยาวตั้งแต่ประตูหน้าคฤหาสน์มาจนถึงตัวคฤหาสน์หลัก 

 

เธอกำลังเหม่อมองทัศนียภาพนอกหน้าต่าง แต่แล้วใครบางคนก็เอ่ยเรียกเธอ 

 

“ท่านฟีเรนเทีย” 

 

เครย์ลีบันซึ่งวันนี้สวมใส่ชุดคลุมอย่างเป็นทางการสีน้ำเงินดูหล่อเหลานั่นเอง 

 

“เมื่อครู่ท่านลาลาเน่บอกว่า สำหรับพ่อค้าแล้ว สินทรัพย์ที่มีค่ามากที่สุดคือ ‘คู่ค้าที่สามารถเชื่อถือได้’ ครับ” 

 

“อ่า” 

 

ลืมไปเสียสนิทเลยว่าตอนนี้เธอกำลังอยู่ในคลาสเรียน 

 

วันอย่างวันนี้ก็ยังต้องเรียนโดยไม่มีข้อยกเว้น ช่างสมกับเป็นวิธีการตามแบบฉบับของเครย์ลีบันจริงๆ 

 

“คิดอย่างไรครับ” 

 

พอเห็นเธอเหม่อลอยมองตนเอง เครย์ลีบันก็เอ่ยถามย้ำอีกเป็นครั้งที่สอง 

 

จะให้คิดยังไงอะไรล่ะ 

 

“คิดว่าเป็นคำพูดที่ถูกต้องแล้วค่ะ” 

 

สำหรับพ่อค้าแล้ว คู่ค้าที่สามารถเชื่อถือได้นั้น ถือว่าเป็นเส้นชีวิตเลยทีเดียวและสิ่งนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่จะหาได้ง่ายๆ มันจึงเป็นเหมือนสินทรัพย์ที่สำคัญอย่างแน่นอน 

 

“ถ้าอย่างนั้นท่านฟีเรนเทียเองก็เห็นด้วยกับความคิดเห็นของท่านลาลาเน่หรือครับ ที่ว่าสินทรัพย์ที่มีค่ามากที่สุดสำหรับพ่อค้าคือคู่ค้าที่สามารถเชื่อถือได้” 

 

“อืม ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะคำตอบที่ข้าคิดมาเองก็คล้ายๆ กัน แต่ต่างกันนิดหน่อยค่ะ” 

 

“คราวนี้ถึงตาท่านฟีเรนเทียแล้ว เพราะฉะนั้นมาฟังคำตอบของการบ้านกันเลยดีมั้ยครับ” 

 

เธอเกาแก้มด้วยความกระอักกระอ่วน 

 

คำถามแบบนี้มันไม่มีคำตอบตายตัวเพราะคุณค่าสำหรับแต่ละคนมันแตกต่างกัน 

 

“ข้าคิดว่าสินทรัพย์ที่มีค่ามากที่สุดสำหรับพ่อค้า ก็คือ ‘คน’ ค่ะ” 

 

มันอาจจะเป็นคำพูดซ้ำซากน่าเบื่อ แต่เธอคิดว่านี่คือคำตอบที่ถูกต้อง 

 

“สุดท้ายงานทั้งหมดก็ต้องใช้คนทำนี่คะไม่ว่าจะการตัดสินใจที่สำคัญแบบไหน ไม่ว่าจะเป็นการเลือกที่ยากเย็น ก็เป็นคนทั้งนั้นที่ต้องเป็นคนตัดสินใจไม่ใช่เหรอคะ” 

 

มันเป็นสิ่งที่เธอสัมผัสได้ในระหว่างที่เฝ้ามองท่านพ่อทำงานอยู่ข้างกาย เดิมทีกิจการผ้าทอโคโรอีกิจการนี้ เป็นสิ่งที่สร้างความเสียหายให้กับลอมบาร์เดียอย่างย่ำแย่ 

 

แน่นอนว่าสำหรับลอมบาร์เดียแล้ว ความเสียหายระดับนั้นสามารถฟื้นฟูได้ในแค่พริบตาก็จริง แต่มันยังมีความเสียหายที่ใหญ่หลวงกว่านั้นอยู่อีกเรื่องก็คือความมั่นใจของผู้คนที่ซื้อผ้าทอโคโรอีที่เพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก เพราะเชื่อมั่นในชื่อเสียงของกลุ่มการค้าลอมบาร์เดีย 

 

ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากผ้าทอที่ขายไม่ออก ทำให้ท่านปู่ต้องจ่ายเงินชดเชยด้วยนามของลอมบาร์เดีย และเพราะเหตุนั้นจึงทำให้หลายฝ่ายยิ่งพุ่งเป้าโจมตีมาที่ตระกูล 

 

แต่ครั้งนี้เธอได้เข้ามาแทรกแซง 

 

ฟีเรนเทียเองก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งทอ ดังนั้นจึงลงมือเปลี่ยนแปลงแค่สิ่งเดียวเท่านั้น 

 

เปลี่ยนผู้นำกิจการจากเบเจอร์เป็นท่านพ่อ 

 

จากการเปลี่ยนแปลงเพียงแค่เรื่องเดียว กลับก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ 

 

“และยิ่งคนค้าขายหาเงินได้มากขึ้นเรื่อยๆ ก็ยิ่งไม่สามารถทำงานทั้งหมดได้เพียงคนเดียว เพราะฉะนั้นก็ต้องหาคนที่ไว้ใจได้มารับผิดชอบงานแทน ดังนั้นคนที่ว่านั่นก็ยิ่งมีค่ามากขึ้นไปอีกไม่ใช่เหรอคะ” 

 

ที่จริงไม่ใช่แค่กิจการการค้าเท่านั้น 

 

ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิหรือเจ้าตระกูลเองก็เช่นเดียวกัน 

 

องค์จักรพรรดิน่ะ เพื่อให้ได้มาซึ่งเงินทองที่พระองค์ไม่มี ยังถึงขนาดสร้างอะคาเดมีขึ้นมา และสั่งให้คนในราชวงศ์แต่งงานกับพวกขุนนางชั้นสูงมากอำนาจ 

 

ทั้งหมดนี่ก็เพื่อดึงให้อีกฝ่ายมาเป็นพวกของตน 

 

เหตุผลที่ท่านปู่พยายามรวบรวมคนมีความสามารถเองก็เช่นเดียวกัน 

 

แถมท่านปู่ยังไม่หยุดเพียงแค่พาตัวคนมากความสามารถมายังลอมบาร์เดีย แต่ยังสอนคนที่ดูแล้วพอมีแวว สร้างคนให้มีความสามารถ ถึงขนาดสร้างระบบทุนการศึกษาขึ้นมาอีกด้วย 

 

การลงทุนทั้งหมดนี่ สุดท้ายก็เพื่อชักจูง ‘คน’ มาเป็นพวกทั้งสิ้น 

 

ดังนั้นเธอถึงได้คิดที่จะเดินไปบนเส้นทางที่คล้ายคลึงกันเพียงแต่ระหว่างท่านปู่กับเธอ มันแตกต่างกันในเรื่องของความเป็นไปได้ 

 

ความเป็นไปได้ที่คนมากความสามารถที่ได้รับการสนับสนุนจะไม่สามารถทำหน้าที่ของตนเองได้ และความเป็นไปได้ที่จะพวกเขาจะไม่กลายมาเป็นคนของลอมบาร์เดีย 

 

ระบบทุนการศึกษามันไม่ใช่สัญญาทาส ดังนั้นหลังจากที่จบการศึกษา จึงมีคนมากมายที่เลือกทำงานเพื่อตระกูลอื่น ไม่ใช่ตระกูลลอมบาร์เดีย 

 

ท่านปู่เองก็ไม่ได้พูดอะไรมากเกี่ยวกับประเด็นนั้น แต่ทุกครั้งที่เป็นแบบนั้นท่านก็ยังรู้สึกเสียดแทงใจอยู่ดี 

 

แต่เธอนั้นแตกต่าง 

 

ผู้คนที่ต่อไปเธอจะสร้างความสนิทสนมและลงทุนในตัวพวกเขา ในอนาคตจะเป็นคนที่ได้รับบทบาทอันแสนยิ่งใหญ่ 

 

อีกอย่างเป็นเพราะเธอรู้ดีว่า สิ่งที่คนเหล่านั้นต้องการคืออะไรกันแน่ ทำให้เมื่อถึงเวลาคนพวกนั้นก็จะกลายเป็นคนของเธอเอง 

 

ไม่ใช่คนของลอมบาร์เดีย ไม่ใช่คนของเจ้าชายลำดับที่สอง แต่เป็นคนของเธอ 

 

ใบหน้าของผู้คนที่เธอจะชักชวนให้มาเข้าร่วมกับเธอลอยเด่นชัดอยู่ตรงหน้า 

 

เพราะเธอยังถูกจำกัดพื้นที่ในการลงมือปฏิบัติการ จึงน่าเสียดายนักที่ไม่อาจเข้าหาคนพวกนั้นได้ทั้งหมด 

 

เธอลอบถอนหายใจในใจ มองหน้าคนแรกที่เธอจะต้องดึงมาเป็นคนของเธอ พลางเอ่ยถาม 

 

“คิดยังไงคะ อาจารย์เครย์ลีบัน” 

 

ภายในระยะเวลาแค่ไม่กี่ปี ก็เริ่มต้นสร้างธุรกิจชั้นยอดติดอันดับของอาณาจักรด้วยมือเปล่า อัจฉริยะแห่งการค้า เครย์ลีบัน เพลเลส เธอไม่มีทางปล่อยเขาถูกคนอื่นแย่งชิงไปต่อหน้าได้เด็ดขาด 

 

เธอฉีกยิ้มน่ารักสมวัยดั่งเด็กที่ฉลาดหลักแหลม ซึ่งเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งในการดึงคนให้มาเป็นพวก 

 

“…เป็นความคิดที่ดีครับ” 

 

“แหะๆ ขอบคุณค่ะ” 

 

เด็กที่ทั้งฉลาด ทั้งน่ารัก มีมารยาท ทั้งยังขี้อ้อน จะมีใครกล้าต้านทานไหวและกล้าออกมาบอกว่าไม่น่ารักกันล่ะ 

 

“อะแฮ่ม” 

 

ผิดไปจากที่คิดเสียที่ไหน 

 

มุมปากข้างขวาของเครย์ลีบันที่เขากำมือบังปากเอาไว้ก่อนจะกระแอมไอ คลี่ยิ้มคลายตัวลงเล็กน้อย 

 

เครย์ลีบันหันหลังกลับไปทางกระดาน แสร้งทำเป็นเหมือนกับตั้งใจอยู่กับการเรียนการสอน แล้วจู่ๆ ก็สะบัดมือ ก่อนจะกล่าวแจ้ง 

 

“ถ้าอย่างนั้นวันนี้ก็พอแค่นี้นะครับ วันแบบนี้เราเลิกกันไวหน่อยก็แล้วกันครับ” 

 

“ว้าว! เลิกแล้ว!” 

 

“อิสระ!” 

 

คิลลีวูกับเมโลนลุกขึ้นพรวดจากที่นั่ง ตะโกนโห่ร้องด้วยความดีใจ 

 

พวกนายชอบใจเกินไปหน่อยมั้ยนั่นแต่ไม่รู้ทำไมเครย์ลีบันถึงได้ทำเพียงแค่เก็บหนังสือของตัวเองโดยไม่ได้พูดอะไรมาก 

 

“ถ้าอย่างนั้นอีกสักครู่พบกันที่งานเลี้ยงนะครับ” 

 

ทันทีที่เครย์ลีบันพูดจบ สองแฝดก็คว้าแขนเธอคนละข้าง ก่อนจะดึงลากเธอไป 

 

“เทีย ไปกันเถอะ! รีบไปกัน!” 

 

“ข้าหิวแล้ว! รีบไปก่อนของอร่อยจะหมดเถอะ!” 

 

งานเลี้ยงที่ตระกูลลอมบาร์เดียเป็นเจ้าภาพของกินจะหมดได้ยังไงกันล่ะ 

 

แต่เด็กอายุสิบขวบที่กำลังหิวโหย ก็เหมือนกับวัวกระทิงที่พ่นลมออกทางจมูกอย่างคึกคักพร้อมพุ่งกระโจนเข้าใส่นั่นแหละ 

 

เธอพูดปลอบทั้งสองคนให้สงบเสงี่ยมลง 

 

“เขาไม่เสิร์ฟอาหารจนกว่าตัวเอกอย่างข้าจะไปถึงหรอกนะ” 

 

“อ๊ะ อย่างนั้นเหรอ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องรีบไปสิ!” 

 

“ใช่แล้ว! พวกเราต้องไปกินอาหารอร่อยๆ ให้หมด!” 

 

“เฮ้อ” 

 

สุดท้ายเธอก็ถูกสองคนนี้ลากไปจนต้องกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามไปด้วย 

 

ฟีเรนเทียเริ่มหอบหายใจเหนื่อยอ่อนขึ้นมาทีละน้อย หัวใจเต้นโครมคราม แต่อารมณ์กลับดีขึ้นเรื่อยๆ 

 

พวกเธอวิ่งไปตามโถงทางเดินคฤหาสน์ลอมบาร์เดีย หรือว่าตอนนี้เธอกลายเป็นเด็ก จึงเผลอรู้สึกคาดหวังออกมาเหมือนกันเพราะแบบนี้ฟีเรนเทียเองก็เผลอหลุดหัวเราะออกมาโดยไม่รู้ตัว 

 

เมโลนกับคิลลีวูพูดเสียงดังใส่เธอที่หัวเราะเช่นนั้น 

 

“สุขสันต์วันเกิดนะ เทีย!” 

 

ใช่แล้วละ 

 

วันนี้คือวันเกิดอายุครบแปดขวบของเธอ