“นายคงไม่ได้รออยู่นี่ทั้งวันหรอกนะ?” อยู่ๆเสี่ยวเชี่ยนก็คิดได้ว่าหวางย่าเฟยไม่มีวิธีติดต่อเธอ เขารู้แค่ว่าเธอเป็นนักศึกษาของที่นี่ หรือแม้แต่เธอเรียนสาขาไหนเขาก็ไม่รู้
อีกอย่างตอนนี้ก็มืดค่ำแล้ว
หวางย่าเฟยหลบตาอย่างไม่สบอารมณ์ แล้วพูดอย่างเกร็งๆ “อันที่จริงก็ไม่นานหรอก”
ก็แค่ตั้งแต่บ่ายสี่โมงจนถึงตอนนี้ เดิมทีเขาคิดจะกลับแล้วแต่ไม่นึกว่าจะเห็นเสี่ยวเชี่ยน
“นายไปหาศาสตราจารย์หลิวเพื่อติดต่อฉันก็ได้นี่”
“อ๊า จริงด้วย ลืมได้ไงเนี่ย ผมคิดแค่ว่าคุณเป็นนักศึกษาของที่นี่ ถ้ามาดักรอที่ประตูก็น่าจะได้เจอ…”
นั่นสิ ถ้าเขาไปหาศาสตราจารย์หลิวก็จบแล้ว ทำไมต้องทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยากด้วย
เสี่ยวเชี่ยนเห็นท่าทางอึ้งๆของหวางย่าเฟยแล้วก็แอบขำในใจ
คนฉลาดก็มีตอนที่คิดไม่ทันเหมือนกัน แต่หวางย่าเฟยเป็นแบบนี้ก็สนุกดีนะ น่ารักแบบทึ่มๆ
ก็เหมือนกับที่เสี่ยวเฉียงบอก คนๆนี้มีความสามารถเป็นนักแม่นปืนมาแต่กำเนิด ยืนรออยู่หน้ามหาวิทยาลัยได้นานขนาดนี้ก็แสดงว่ามีความอดทนสูง ไม่เสียทีที่เสี่ยวเฉียงให้ความสำคัญ ไม่เพียงแต่ทำเพื่อเขาเป็นกรณีพิเศษ เมื่อวานยังใช้โอกาสที่แข่งกันสั่งสอนหวางย่าเฟย
“ว่ามาสิว่ามีเรื่องอะไร”
“ผมอยากบอกคุณว่า ขอบคุณมาก ผมเข้าใจแล้ว อาการของผมเป็นแบบนี้เข้าหน่วยรบพิเศษตอนนี้ไม่ได้หรอก เจอปัญหาแล้วมองข้ามไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา ผมจะรับการรักษา พอผมหายแล้วจะไปสอบใหม่”
หลังจากที่ได้แข่งกับอวี๋หมิงหลาง ความอวดดีของหวางย่าเฟยก็เหมือนได้ถูกทำลายลง
หลังกลับไปเขาคิดอยู่นานแล้วก็เข้าใจ
เหนือคนยังมีคน เหนือฟ้ายังมีฟ้า เขาคิดว่าตัวเองเก่ง คิดว่าตัวเองคือที่สุดแล้ว คิดว่าการที่ตัวเองไม่ได้เข้า011เป็นการสูญเสียของพวกเขา แต่พอเห็นอวี๋หมิงหลางเขาถึงได้พบว่า ที่แท้โลกก็ไม่ได้หมุนรอบตัวใครคนใดคนหนึ่ง
ถ้าอวี๋หมิงหลางทำตัวเหมือนเหยียบเขาไว้ บางทีเขาอาจไม่คิดได้แบบนี้ แต่อวี๋หมิงหลางกลับใช้วิธีเก็บซ่อนความสามารถของตัวเอง ไม่ได้ทำอะไรเลยทั้งนั้น แต่กลับทำให้หวางย่าเฟยคิดได้
ที่แท้คนที่เก่งจริงๆเป็นแบบนี้ คนในหน่วยของเขาปากชอบว่าคนของ011 บอกว่าคนพวกนั้นบ้า ชอบดูถูกคนอื่น เห็นทหารเป็นผักเป็นปลาอยากจะมาเลือกก็มา รู้สึกว่าคนพวกนั้นไม่ให้เกียรติคนอื่น
แต่พอได้ประลองฝีมือจริงๆถึงพบว่า คนพวกนั้นไม่ใช่ไม่ให้เกียรติคนอื่น หากมองในสภาวะปกติ จะเห็นได้ว่าเป็นเพราะพวกเขาอยู่ในจุดตีนเขา มองขึ้นไปยังคนที่อยู่บนเขาเลยคิดว่าคนที่อยู่บนนั้นดูถูกตัวเอง แท้ที่จริงแล้วตัวเองนั่นแหละที่รู้สึกต้อยต่ำ
เสี่ยวเชี่ยนได้ยินเขาพูดแบบนั้นก็เหมือนกับได้รับคำปลอบใจ เธอพยักหน้า
“นายคิดได้แล้วดีจัง คนบางคนทั้งชีวิตยังคิดไม่ได้เลยนะ นายใช้เวลาแค่วันเดียว”
น้อยครั้งที่เธอจะประเมินใครสูงแบบนี้ เด็กหนุ่มคนนี้ใช้ได้เลยทีเดียว คนที่ยกตัวเองขึ้นสูงมีไม่น้อย แต่คนที่ยอมรับได้ว่าตัวเองยังดีไม่พอมีไม่มาก รู้จักปรับตัวยอมรับความจริง ตอนหนุ่มยังคิดได้ขนาดนี้ อนาคตจะต้องไปได้ไกลอย่างแน่นอน ไม่เสียทีที่อวี๋หมิงหลางเล็งคนๆนี้ไว้…ถึงแม้อวี๋หมิงหลางจะไม่ยอมรับก็ตาม
แต่เสี่ยวเชี่ยนรู้ว่าผู้ชายของเธอถูกใจทหารคนนี้เข้าแล้ว อวี๋หมิงหลางถูกใจใครคนนั้นก็จะซวย เพราะเขาจะทรมานให้หนักที่สุด
“ผมอยากจะขอโทษคุณด้วยใจจริง แล้วก็อยากจะขอร้องคุณให้เป็นจิตแพทย์ของผมต่อ ช่วยผมกำจัดปีศาจร้ายในใจของผม”
“ศาสตราจารย์หลิวเก่งกว่าฉันไปให้เขารักษาก็เหมือนกัน”
“ไม่ ผมอยากให้คุณรักษา” หวางย่าเฟยพูดอย่างแน่วแน่
เพราะเขาพูดไปว่าเสี่ยวเชี่ยนไม่สมควรเป็นหมอ ในใจจึงรู้สึกผิดมาตลอด เขาไม่อยากเปลี่ยนหมอ อยากให้เสี่ยวเชี่ยนรักษาเขาต่อ
“…ก็ได้ ฉันจะไปพูดกับศาสตราจารย์หลิว”
“อันนี้ให้คุณ…คุณเป็นหมอควรค่าแก่การถูกยอมรับ” หวางย่าเฟยล้วงซองจดหมายออกมาจากกระเป๋าแล้วยัดใส่มือของเสี่ยวเชี่ยนอย่างรวดเร็ว ยัดเสร็จก็ไม่รอดูสีหน้าของเสี่ยวเชี่ยนวิ่งหนีไปทันที ความเร็วขนาดเขาเสี่ยวเชี่ยนตามไม่ทัน
“นี่” เสี่ยวเชี่ยนตะโกนเรียก แต่เขาไม่หยุด
เปิดซองจดหมายออกดู ข้างในมีธนบัตรฉบับใหม่อยู่หลายใบ นี่คือค่ารักษาเหรอ?
นอกจากเงินแล้วยังมีกระดาษโน้ตอยู่หนึ่งใบที่เขียนว่า หมอเฉินคุณเก่งที่สุด
เสี่ยวเชี่ยนหรี่ตา ตาทึ่มเอ๊ย…
เงินจำนวนหลายร้อยนี้สำหรับยุคสมัยนี้เป็นจำนวนเงินไม่น้อย อย่างน้อยๆก็คือเงินเดือนของเขาทั้งเดือน สำหรับเสี่ยวเชี่ยนแล้ว เวลาในการรักษาหนึ่งชั่วโมงของเธอไม่ใช่เป็นเงินแค่นี้ แต่เงินไม่ได้คืออยู่กับว่ามากน้อย ความหมายของมันไม่เหมือนกัน นี่เป็นการแสดงถึงการยอมรับในตัวเธอ การให้เงินหมอเป็นเรื่องปกติที่ควรทำ เงินนี่เธอควรรับไว้
ห่างออกไปไม่ไกล กล้องถ่ายรูปเลนส์ซูมได้บันทึกภาพเหตุการณ์นี้ไว้ คนหนุ่มสวมหมวกแก๊ป ใส่เสื้อยืดแขนยาวกางเกงยีนส์พูดพึมพำกับตัวเอง “หลักฐานนี่น่าจะพอแล้วมั้ง?”
หมวกแก๊ปปกคลุมผมสีทองเอาไว้ ผมจุกเล็กโผล่ลอดออกมา คนที่เดินผ่านไปมาต่างพากันมองด้วยความอยากรู้อยากเห็น ยุคสมัยนี้ไม่ค่อยได้เห็นคนต่างชาติมากนัก พอเจอก็อยากจะมองให้มากหน่อย
คนหนุ่มผมทองดวงตาสีเขียวเอามือตบกล้องถ่ายรูปของตัวเองเบาๆด้วยความภูมิใจ งานนี้จะสำเร็จอีกรอบแล้ว ความรู้สึกที่กำลังจะได้เงินมันดีจริงๆ~
“ประธานเชี่ยน มองอะไรอยู่เหรอ?” สืออวี้ออกมาแล้ว เธอเอามือโบกไปมาข้างหน้าเสี่ยวเชี่ยน
เสี่ยวเชี่ยนจึงละสายตาที่มองตรงไปข้างหน้า เมื่อครู่เธอรู้สึกเหมือนมีคนแอบมองอยู่ แต่พอหันไปก็เห็นเงาเบื้องหลังของคนแค่คนเดียว
“เปล่า ไปกันเถอะ”
วันถัดมาหลังจากเสี่ยวเชี่ยนเลิกเรียน รุ่นพี่ที่มาสอนแทนอาจารย์เรียกเธอไว้ บอกว่าศาสตราจารย์หลิวเรียกหาเธอ ให้ไปหาที่บ้าน เสี่ยวเชี่ยนดูเวลาเห็นใกล้เที่ยงพอดีจึงไปซื้อกับข้าวที่โรงอาหารสองอย่างแล้วค่อยไป
ศาสตราจารย์หลิวทำกับข้าวไว้แล้ว ล้วนเป็นอาหารง่ายๆที่กินกันปกติ ดูก็รู้ว่าไม่ได้เห็นเสี่ยวเชี่ยนเป็นคนนอก
“ทำไมเธอยังซื้อกับข้าวมาอีกล่ะ เป็นนักเรียนอย่าเที่ยวใช้เงินส่งๆ” ศาสตราจารย์หลิวเห็นเสี่ยวเชี่ยนถือกับข้าวเข้ามาก็อดไม่ได้ที่จะพูด
“ไม่เป็นไรค่ะ หนูไม่ขัดสนเรื่องเงิน”
เสี่ยวเชี่ยนยิ้มพลางพูด ตอนนี้เธอไม่เดือดร้อนเรื่องเงินจริงๆ ทุกเดือนมีรายได้จากการเก็บค่าเช่า บ้านที่แม่ยกให้เธอตอนงานหมั้นมีคนมาเช่าแล้ว คอนโดที่แม่สามีตกแต่งให้อย่างดีก็มีคนเช่าแล้ว ทุกเดือนเธอจะมีรายได้ มั่นคงกว่ามนุษย์เงินเดือนเสียอีก
พูดถึงเรื่องเงินเสี่ยวเชี่ยนก็นึกขึ้นมาได้ เธอจึงหยิบซองจดหมายที่เมื่อวานหวางย่าเฟยให้เธอมา เอามาวางบนโต๊ะแล้วเลื่อนให้ศาสตราจารย์หลิว
“นี่มันอะไรกัน ติดสินบน? เธอรู้ใช่ไหมว่าที่ฉันเรียกเธอมาเพราะมีข่าวดี?”
ศาสตราจารย์หลิวคิดว่าเสี่ยวเชี่ยนจะเหมือนครั้งก่อน พอเปิดออกมากลับเป็นวิทยานิพนธ์ จึงพูดแซว
ครั้งนี้ที่เธอเรียกเสี่ยวเชี่ยนมาก็เพราะมีข่าวดีจะบอก
“ข่าวดีเหรอคะ?” เสี่ยวเชี่ยนเอามือกดซองจดหมายไว้
“ใช่ เรื่องยื่นคำร้องขอเรียนจบก่อนของเธอ ฉันกับอาจารย์ที่ปรึกษาเธอไปจัดการมาให้แล้ว ทางฝ่ายกองกิจการนักศึกษาอนุญาตแล้ว แต่เธอต้องคว้าโอกาสไว้ให้ดี อย่าหลงระเริง เดินแต่ละก้าวด้วยความระมัดระวัง ครั้งนี้ถ้าเธอทำพลาด เธอก็จะไม่ได้ใบปริญญา”
“วางใจได้ค่ะ หนูผ่านแน่” เสี่ยวเชี่ยนพูดอย่างมั่นใจ ค่อยๆชักมือเลื่อนซองจดหมายกลับมา
“ทำไม ให้แล้วจะเอาคืนเหรอ?” ศาสตราจารย์หลิวถามด้วยความไม่เข้าใจ