ต้องเป็นคุณหนูเฉินไม่ผิดแน่! 

 

 

แต่ว่า… 

 

 

ไหนตอนแรกคุณผู้ชายบอกว่าเธอจะรับมือเองไหว ให้เขาไม่ต้องเป็นห่วง? 

 

 

แล้วทำไมตอนนี้ถึง 

 

 

คุณหนูเฉินทางนั้นจะเป็นยังไงบ้างเขาเองก็ไม่มีทางรู้? 

 

 

“คุณผู้ชายครับนี่…” 

 

 

เป็นครั้งแรกที่อวี๋ซงไปไม่ถูกเมื่ออยู่ต่อหน้าหน้าป๋อจิ่งชวน 

 

 

แล้วแบบนี้จะให้เขาตอบยังไง 

 

 

ครั้งแรกที่เขาได้สัมผัสกับคุณผู้ชายตอนที่ได้พบกับสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ‘ผู้หญิง’ 

 

 

เขาเองก็ไม่ต่างอะไรกับผู้หญิงขึ้นเกี้ยวแต่งงานครั้งแรก! 

 

 

ป๋อจิ่งชวนขมวดคิ้วมุ่น 

 

 

อวี๋ซงยิ่งกดตัวลงต่ำอย่างตื่นกลัว 

 

 

“…รอให้การประชุมจบลงก่อนแล้วผมค่อยไปสืบให้?” 

 

 

ป๋อจิ่งชวนกวาดตามองเขาอย่างเย็นชาอีกครั้ง ทำเอาเขาต้องรีบกลับคำ 

 

 

“ผมจะรีบไปสืบให้เดี๋ยวนี้!” 

 

 

“อืม” 

 

 

ป๋อจิ่งชวนขมวดคิ้วตอบรับไปคำนึงแล้วหันกลับมาอ่านเอกสารในมือต่อ 

 

 

อวี๋ซงกระตุกมุมปากขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เขาหมุนตัวเดินตัวปลิวออกจากห้องประชุมไป 

 

 

ผิดเป็นครู! 

 

 

ผ่านเรื่องนี้ไปแล้ว อวี๋ซงสัญญาว่านอกเหนือจากเรื่องคุณหนูเฉินอาบน้ำ ทานข้าว เข้านอนและเข้าห้องน้ำแล้ว เขาจะไม่ละสายตาจากทุกอย่างที่เกี่ยวกับคุณหนูเฉิน! 

 

 

ตอนนี้กลับไปนึกถึงบทสนทนาที่เกี่ยวกับคุณหนูเฉินก่อนจะเข้าประชุม 

 

 

คำพูดที่ว่า ‘ไม่ต้องเป็นห่วง’ นี่เป็นคำพูดที่คุณผู้ชายใช้ปลอบใจตัวเองอยู่งั้นเหรอ? 

 

 

อวี๋ซงอดที่จะหัวเราะ เฮอะๆ สองครั้งในใจไม่ได้ 

 

 

อยากจะถามคุณผู้ชายจริงๆ ว่าเจ็บหน้าบ้างไหม 

 

 

สิบนาทีผ่านไป อวี๋ซงกลับเข้าห้องประชุมมาอีกครั้งด้วยสีหน้าที่ดูไม่ได้เล็กน้อย 

 

 

ความกดอากาศภายในห้องประชุมลดต่ำลงฉับพลัน แค่ก้าวขาเข้าไปก็สัมผัสได้ถึงลมหนาวที่ปะทะใบหน้า 

 

 

เห็นได้ชัดว่าตอนนี้คุณผู้ชายพบปัญหาบางอย่างเข้าอีกแล้ว 

 

 

อวี๋ซงเดินเข้ามาอย่างสงบเยือกเย็น เขาโน้มตัวลงข้างๆ ป๋อจิ่งชวนต่อด้วยกระซิบเบาๆ สองประโยค 

 

 

รายงานเรื่องที่เฉินฝานซิงลาออกมาอย่างเด็ดเดี่ยวให้ป๋อจิ่งชวนฟังคร่าวๆ 

 

 

พออวี๋ซงพูดเสร็จ หว่างคิ้วที่ดูเคร่งขรึมและกลัดกลุ้มก็คลายลงเล็กน้อยจนแทบไม่สังเกตเห็น 

 

 

มองเผินๆ อาจไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงมากนัก แต่แล้วบรรยากาศในห้องประชุมทั้งห้องก็ปลอดโปร่งในชั่วพริบตาราวกับ ดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิแย้มบาน ดวงตะวันสาดแสงแห่งชีวิตใหม่อย่างไรอย่างนั้น 

 

 

ผู้คนมากมายลอบมองอย่างไม่เข้าใจ ถึงแม้ไม่รู้ว้าผู้ช่วยอวี๋พูดอะไรกับท่านประธานป๋อแต่ก็ถือว่าเป็นโอกาสให้พวกเขาได้พักหายใจหายคอ 

 

 

อวี๋ซงก็แอบแปลกใจ ว่าแต่เขาไปได้เคล็ดลับอะไรมา 

 

 

ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยนึกมาก่อน ว่าคนที่จิตใจบริสุทธิ์ไม่หลงสุรานารีอย่างคุณผู้ชาย จู่ๆ จะนึกสนใจผู้หญิงขึ้นมา 

 

 

ป๋อจิ่งชวนนั่งบนเก้าอี้ประจำตำแหน่งมองเอกสารในมืออยู่สักพัก จากที่ทุกคนคิดว่าการประชุมยังคงดำเนินต่อไป ทว่าไม่กี่วินาทีต่อจากนั้นบอสใหญ่ของทุกคนก็ยืนขึ้น และพูดด้วยท่าทีเรียบเฉย “เลิกประชุม” ว่าแล้วก็หมุนตัวเดินจากไป 

 

 

เอ๋? 

 

 

นี่หมายความว่ายังไง! 

 

 

ตั้งแต่ท่านกรรมการป๋อกลับประเทศมา การประชุมครั้งไหนบ้างที่ไม่จัดทั้งเช้าให้พักกินข้าวแค่หนึ่งชั่วโมงแล้วต่อตอนบ่ายเลย 

 

 

การประชุมครั้งนี้ยังไม่ถึงสิบเอ็ดโมงก็เลิกลงอย่างกะทันหันเสียอย่างนั้น? 

 

 

อวี๋ซงไม่ได้ตามป๋อจิ่งชวนออกไปแต่กลับเก็บเอกสารของป๋อจิ่งชวนอยู่ตรงหลังที่นั่ง 

 

 

หลังจากเห็นว่าป๋อจิ่งชวนเดินออกจากห้องประชุมไปแล้วทุกคนก็ขยับเข้ามาใกล้อวี๋ซง 

 

 

“ผู้ช่วยอวี๋ เมื่อกี้คุยกันเรื่องบิลกี่ร้อยล้านเหรอ” 

 

 

“ทำเอาท่านกรรมการป๋อครึ้มอกครึ้มใจขนาดนั้น คงจะหลักหมื่นล้านอัพล่ะสิ?” 

 

 

“เป็นธุรกิจกับบริษัทไหนล่ะ” 

 

 

อวี๋ซงเก็บรวบเอกสารขึ้นมาเคาะลงบนโต๊ะ หลังจากจัดเอกสารให้เข้าที่แล้วเขาก็ยืดตัวขึ้น รอยยิ้มซึ่งหาได้ยากผุดขึ้นบนใบหน้าที่เข้มงวดและเคร่งขรึม 

 

 

พวกนั้นกรูกันเข้ามาใกล้ขึ้นอีกนิด พวกเขาอยากฟังคำตอบจนแทบทนไม่ไหว 

 

 

สุดท้ายอวี๋ซงก็ได้แต่เอ่ยขึ้นอย่างเรียบๆ ว่า 

 

 

“ก็ไม่ถึงกับเรียกว่าบริษัทหรอก ว่าไปตามหลักแล้ว…น่าจะเรียกว่า’ ธุรกิจเอกชน’ ล่ะมั้ง”