บทที่ 32 ไตร่ตรองเบื้องลึกของหัวใจ

ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย

สามสิบสอง

ไตร่ตรองเบื้องลึกของหัวใจ

เสวี่ยหยวนจิ้งใช้ผ้าชุบน้ำประคบข้อเท้าให้เสวี่ยเจียเยว่ จนเห็นว่าอาการบวมแดงทุเลาลงแล้วจึงไม่ได้ประคบต่อ

เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมา ก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังหลับตาพริ้ม ทว่าเหมือนอดกลั้นไม่ให้ตนหลับไป เขาจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้านอนพักสักหน่อยเถอะ”

ที่นี่คือห้องพักของเสวี่ยหยวนจิ้ง เตียงนอนที่เขาเคยนอน…

เสวี่ยเจียเยว่ตกใจจนสะดุ้งทันที ก่อนจะรีบเอ่ย “ไม่เป็นไร… ไม่เป็นไร ท่านพี่ ท่านก็นอนเสียที่นี่เถิด ข้าจะกลับไปนอนที่ห้องของแม่นางหลี่เองเจ้าค่ะ”

เธอหยัดกายลุกขึ้น แต่เสวี่ยหยวนจิ้งใช้มือกดเธอให้นั่งลงตามเดิม

“แม่นางหลี่ไม่ได้นอนทั้งคืน ตอนนี้นางเพิ่งหลับไปได้ไม่นาน แต่เจ้าจะไปรบกวน เจ้าอยากทะเลาะกับนางหรือ พวกเราอยู่ที่นี่ในฐานะแขก จะไปรบกวนเจ้าของบ้านได้อย่างไร”

เสวี่ยเจียเยว่รู้ว่าคำพูดของเขานั้นถูกต้องทุกประการ แต่ถ้าเธอนอนบนเตียงหลังนี้ แล้วเขาจะไปนอนที่ไหนเล่า อีกอย่าง… แม้ภายนอกเธอจะเป็นเด็กแปดขวบ แต่ก็ยังรู้สึกละอายอยู่ดี

เสวี่ยหยวนจิ้งรู้ว่าอีกฝ่ายกังวลจนไม่กล้าพูด เขาจึงเอ่ยขึ้น “เจ้านอนบนเตียง ส่วนข้าจะฟุบบนโต๊ะครู่หนึ่ง อีกประเดี๋ยวข้าค่อยไปขอผ้าห่มกับฟูกจากท่านอาจารย์ สองวันนี้ข้าจะนอนบนฟูกที่ปูอยู่บนพื้นนี่แหละ”

เมื่อไม่กี่วันก่อนเขาเห็นเตียงนอนของหลี่หานเซี่ยว และคิดว่าเสวี่ยเจียเยว่กับเจ้าของห้องคงนอนเบียดกัน ยิ่งตอนนี้ข้อเท้าของเสวี่ยเจียเยว่เจ็บอยู่ หากไม่ระวังจนถูกหลี่หานเซี่ยวเตะตอนหลับ อาการบาดเจ็บจะยิ่งหายยากขึ้น ดังนั้นให้แม่นางน้อยนอนในห้องนี้จึงเป็นการดีกว่า

เสวี่ยเจียเยว่เห็นเขายืนยันหนักแน่นเช่นนี้ ก็ไม่ได้เอ่ยว่าอยากจะกลับไปนอนที่ห้องของหลี่หานเซี่ยวอีก และกล่าวขอบคุณเขาอย่างจริงใจ “ขอบคุณท่านพี่เจ้าค่ะ”

ใบหน้าของเสวี่ยหยวนจิ้งมีรอยยิ้มบางๆ ขณะเอ่ย “เจ้าเป็นน้องสาวของข้า ไม่ต้องเกรงใจข้าขนาดนี้ก็ได้”

แม้เสวี่ยเจียเยว่จะรู้สึกว่าจู่ๆ เสวี่ยหยวนจิ้งมาทำดีจนเธอรู้สึกไม่สบายใจ แต่เธอไม่ได้นอนมาทั้งคืน เท้าก็มาเจ็บอีก ตอนนี้เธอจึงง่วงไม่น้อย ในที่สุดเธอก็ยิ้มให้เขาแล้วเอนกายลง ก่อนจะห่มผ้าและหลับตา

เมื่อหัวถึงหมอน เธอก็หลับไปทันที

เสวี่ยหยวนจิ้งได้ยินเสียงหายใจเบาๆ ของแม่นางน้อยดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ก็ถึงกับตะลึงงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเผยรอยยิ้มบางๆ แล้วนำถังไม้ออกไปเทน้ำทิ้งด้านนอก เมื่อกลับมาก็ดึงแขนเสื้อลง รินน้ำถ้วยหนึ่งและดื่มพลางหันไปมองเสวี่ยเจียเยว่ที่กำลังนอนหลับอยู่ จากนั้นเขาก็ฟุบหน้าลงบนโต๊ะ วางศีรษะลงบนแขนแล้วหลับไป

เสวี่ยเจียเยว่ไม่รู้ว่าตนหลับไปนานเท่าไร เมื่อรู้สึกว่าข้อเท้าร้อนผ่าว เธอจึงลืมตาขึ้น และพบเสวี่ยหยวนจิ้งกำลังใช้ผ้าผืนหนึ่งประคบข้อเท้าเธออยู่

“ท่านพี่?” เธอเอ่ยด้วยความงัวเงีย ลืมตาได้เพียงครึ่งเดียว และมองเขาด้วยสายตาพร่ามัวพร้อมกับสีหน้าง่วงงุน “ท่านกำลังทำอะไรเจ้าคะ”

เสวี่ยหยวนจิ้งได้ยินเสียงนั้นจึงเงยหน้าขึ้น พอเห็นท่าทางของอีกฝ่าย ในใจก็รู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด

หลังจากลูบศีรษะแม่นางน้อยเบาๆ แล้ว เขาก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ข้ากำลังใช้ผ้าประคบข้อเท้าให้เจ้า เจ้านอนต่อเถอะ”

เสวี่ยเจียเยว่ขานรับแล้วเอ่ยขอบคุณ จากนั้นก็เป็นดังที่เสวี่ยหยวนจิ้งคาดไว้ เมื่ออีกฝ่ายหลับตาลงก็หลับใหลไปทันที

ขณะที่แม่นางน้อยดูเหมือนกึ่งหลับกึ่งตื่นเช่นนี้ ดูน่ารักน่าทะนุถนอมไม่น้อย เสวี่ยหยวนจิ้งเผยรอยยิ้มอย่างอดมิได้ เมื่อก่อนน้องสาวของเขาไม่ได้ยิ้มน่ารักน่าทะนุถนอมนัก เด็กอายุสามขวบ เมื่อไม่พอใจก็จะทำปากเบ้โดยไม่สนใจผู้ใด ทั้งยังร้องตะโกนว่าตนไม่พอใจ เพื่อให้เขาไปปลอบประโลมนาง

ในเวลานั้นเขาชอบลูบศีรษะน้องสาว แต่ดูเหมือนนางจะไม่ชอบเท่าไรนัก มักจะหลบหลีกทุกครั้งไป ทว่าเมื่อคืนเขาลูบศีรษะเสวี่ยเจียเยว่ อีกฝ่ายกลับไม่มีทีท่าว่าจะหลบเขาแม้แต่น้อย

เมื่อคิดดังนั้นเขาก็รู้สึกดีใจไม่น้อย และก้มหน้ายิ้มให้คนที่กำลังหลับสบาย ก่อนจะนำผ้าที่เย็นชืดไปจุ่มน้ำร้อนในถังไม้อีกครั้ง บิดจนหมาดแล้วนำมาประคบบนข้อเท้าของเสวี่ยเจียเยว่

หลังจากทำเช่นนี้อยู่สองสามรอบ เสวี่ยหยวนจิ้งก็นำยาสลายเลือดคั่งที่ผู้เฒ่าหลี่ให้ มาทาลงบนข้อเท้าของอีกฝ่ายอย่างเบามือ

แม่นางน้อยร่างกายซูบผอม ข้อเท้าจึงดูเล็กมาก เมื่อสัมผัสก็รู้สึกราวกับจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ทำให้เขาอดเห็นใจไม่ได้ และด้วยเท้าโดนแสงแดดน้อยครั้ง จึงขาวเนียนเป็นอย่างมาก แทบจะมองเห็นเส้นเลือดสีแดงอ่อนๆ ใต้ผิวหนังบอบบาง เล็บเท้าก็ตัดสั้นและปลายมน

เสวี่ยหยวนจิ้งมองมือที่วางอยู่ข้างลำตัวของอีกฝ่าย เล็บมือตัดสั้นและปลายมนเช่นเดียวกัน มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นคนรักความสะอาด แม้แต่เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ก็ไม่ปล่อยมันไป

ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้แม่นางน้อยเป็นคนเช่นไร เสวี่ยหยวนจิ้งคิดขณะทายาให้เสวี่ยเจียเยว่อย่างเบามือ อีกฝ่ายดูเป็นคนฉลาด อายุก็น่าจะยังไม่มากเท่าไร แต่เมื่อก่อนเป็นคนเช่นไรนั้นไม่สำคัญ ต่อจากนี้ไปคนตรงหน้าคือเสวี่ยเจียเยว่ น้องสาวของเสวี่ยหยวนจิ้ง เขาย่อมดูแลและปกป้องอย่างดีเหมือนเป็นพี่ชายแท้ๆ ของอีกฝ่าย

เมื่อเสวี่ยเจียเยว่ตื่นขึ้นมา ศีรษะเธออยู่บนหมอนใบหนึ่ง และเห็นว่าท้องฟ้านอกหน้าต่างมืดลงแล้ว ในห้องก็ไม่ได้จุดตะเกียง เธอจึงไม่รู้เลยว่าตอนนี้คือยามใด

แต่ความรู้สึกในตอนนี้ต่างไปจากเดิมมาก เธอไม่รู้ว่าวันนี้คือปีใด และไม่รู้ว่าตนอยู่ที่ไหน

ข้อเท้าของเธอเหมือนจะไม่ปวดเช่นก่อนหน้านี้ เมื่อลองขยับเขยื้อนเบาๆ ก็ไม่เจ็บปวดเลย ดูเหมือนอาการบาดเจ็บจะหายเป็นปลิดทิ้ง

เธอนึกขึ้นมาได้ว่าตอนที่ตนกำลังกึ่งหลับกึ่งตื่น พลันรู้สึกร้อนผ่าวบริเวณข้อเท้า จำได้เลือนรางว่าเสวี่ยหยวนจิ้งกำลังใช้ผ้าร้อนประคบข้อเท้าเธอ เหมือนว่าเธอจะพูดบางอย่างกับเขาด้วย แต่ไม่นานเธอก็หลับไป…

เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกว่าเสวี่ยหยวนจิ้งเริ่มมีท่าทีเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อคืน แต่จะเป็นเพราะอะไรนั้นเธอไม่รู้

เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่…

เธอไม่อยากลุกขึ้นจากเตียง จึงนอนลืมตาจับจ้องผ้าม่านสีเขียวอ่อนที่อยู่เหนือศีรษะ พลางขมวดคิ้วครุ่นคิด

ไม่นานเธอก็ได้ยินเสียง ‘แอ๊ด’ ดังขึ้น จึงหันไปมองประตูโดยอาศัยแสงดาวกับแสงจันทร์ที่สาดส่องผ่านรูโหว่บนหน้าต่าง และเห็นเสวี่ยหยวนจิ้งเดินเข้ามา ในมือเขาถือถ้วยใส่อาหารมาด้วย

“ท่านพี่” ขณะที่เธอเอ่ยเรียกเขานั้น ก็พบว่าเสียงของตนแหบพร่าเล็กน้อย คงเป็นเพราะนอนนานเกินไป

ตอนที่เสวี่ยหยวนจิ้งผลักประตูเข้ามา เขาไม่ได้ยินเสียงอะไร จึงนึกว่าเสวี่ยเจียเยว่ยังไม่ตื่น และคิดจะเดินออกไป แต่เมื่อได้ยินเสวี่ยเจียเยว่เรียกเขาถึงได้รู้ว่าอีกฝ่ายตื่นแล้ว เท้าที่กำลังจะก้าวพ้นธรณีประตูก็ถอยกลับมาอย่างรวดเร็ว

“เจ้าตื่นแล้วหรือ” เขาเดินไปยืนข้างโต๊ะแล้ววางถ้วยในมือลง ก่อนหยิบตะบันไฟขึ้นมาจุดตะเกียงพลางเอ่ยถามเสวี่ยเจียเยว่

แสงเปลวไฟจากตะเกียงไม่สว่างมากนัก แต่ก็ดีกว่าความมืดมิดก่อนหน้านี้ไม่น้อย บนหน้าต่างมีรูโหว่อยู่หลายจุด ลมในยามค่ำคืนจึงพัดผ่านรูเหล่านั้นเข้ามา ทำให้เปลวไฟพลิ้วไหวไม่หยุด

ด้วยแสงสีส้มที่พลิ้วไหวไปมา เสวี่ยเจียเยว่จึงมองเห็นว่าเสวี่ยหยวนจิ้งกำลังถือถ้วยชากับถ้วยอาหารพร้อมตะเกียบเดินมาหาเธอ ราวกับร่างของเขาถูกอาบไล้ด้วยแสงเปลวไฟจากตะเกียงก็มิปาน ทำให้ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขายิ่งโดดเด่นมากกว่าเดิม

เสวี่ยเจียเยว่เข้าใจแล้วว่าเหตุใดนางเอกทั้งสิบสองคนถึงได้ถูกใจและยอมทำทุกอย่างเพื่อเขา เพราะใบหน้าหล่อเหลาของเสวี่ยหยวนจิ้งนั้น คุ้มค่าที่จะจ่ายเงินลงทุนก้อนโต

เธอลุกขึ้นนั่งพร้อมมองเสวี่ยหยวนจิ้ง จากนั้นเขาก็ส่งถ้วยชาในมือซ้ายให้เธอ

“เจ้าเพิ่งตื่น ดื่มชาก่อนเถิด”

ตอนนี้ลำคอของเสวี่ยเจียเยว่แห้งผากอย่างมาก เธอจึงรีบขานรับเสียงหนึ่ง ก่อนจะยื่นมือไปรับถ้วยชา และดื่มจนหมดเพียงไม่กี่อึก

เสวี่ยหยวนจิ้งรับถ้วยชาเปล่ากลับมา และส่งถ้วยอาหารกับตะเกียบในมือขวาให้อีกฝ่าย “กินอาหาร”

ท่ามกลางแสงเปลวไฟอ่อนๆ เสวี่ยเจียเยว่เห็นว่าด้านบนสุดของถ้วยใบนั้นมีหมั่นโถวสีขาวลูกใหญ่ เมื่อหยิบหมั่นโถวขึ้นมา ก็พบว่าด้านล่างมีเนื้อกระต่ายกับเนื้อหมูป่าตากแห้ง

อาหารน่ากินมาก อีกทั้งเสวี่ยเจียเยว่รู้สึกหิวไม่น้อย เธอจึงรีบกล่าวขอบคุณเสวี่ยหยวนจิ้ง แล้วก้มหน้าก้มตากินของเหล่านั้น

แม้ว่าเธอจะหิวขนาดไหน และกินอาหารเร็วเพียงใด แต่คนมองไม่ได้รู้สึกว่าอีกฝ่ายมูมมามเลย กลับสงสารจับใจ

เสวี่ยหยวนจิ้งไม่ได้บอกให้เสวี่ยเจียเยว่กินช้าลงแต่อย่างใด เพราะเขารู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้กินอะไรมาทั้งวัน พอจู่ๆ ได้เห็นอาหารเหล่านี้ เกรงว่าหากพูดอะไรไปแม่นางน้อยคงไม่ฟัง

เขาเดินไปรินน้ำใส่ถ้วยชาที่อีกฝ่ายดื่มหมดไปเมื่อครู่ และนั่งลงข้างๆ อย่างเงียบๆ เมื่อเสวี่ยเจียเยว่กินอาหารเสร็จแล้ว เขาก็ส่งถ้วยน้ำให้โดยไม่เอ่ยคำใด อีกมือก็รับถ้วยใส่อาหารที่ตอนนี้ว่างเปล่าแล้วมาวางบนโต๊ะ

เสวี่ยเจียเยว่หิวมาเป็นเวลานาน เมื่อจู่ๆ ก็ได้กินอิ่ม เธอจึงรู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก ราวกับมีฟองแห่งความสุขล่องลอยอยู่เต็มหัวใจของเธอ

เธอเอื้อมมือไปรับถ้วยน้ำที่เสวี่ยหยวนจิ้งส่งให้ และเอ่ยขอบคุณเขา “ขอบคุณเจ้าค่ะท่านพี่”

“เมื่อก่อนเจ้าไม่เคยเกรงใจข้าเช่นนี้เลย” เสวี่ยหยวนจิ้งเอ่ยขณะรับถ้วยชาเปล่า

เสวี่ยเจียเยว่คิดในใจ ‘เพราะเมื่อก่อนฉันพูดอะไรกับคุณ คุณก็ไม่เคยสนใจอย่างไรเล่า แล้วทำไมฉันต้องเกรงใจด้วย’

เธอได้แต่คิดในใจเท่านั้น ย่อมไม่กล้าพูดออกไปอย่างแน่นอน ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ก็เพราะท่านพี่ดีกับข้ามากอย่างไรล่ะเจ้าคะ”

ความจริงแล้วคำพูดนี้แฝงไปด้วยการหยั่งเชิง เพราะเสวี่ยเจียเยว่อยากจะรู้ให้แน่ชัดว่าเหตุใดเสวี่ยหยวนจิ้งถึงได้ดีกับเธออย่างกะทันหันเช่นนี้ ทั้งที่ไม่กี่วันก่อนเธอไม่ได้ทำอะไรให้เขาซาบซึ้งเลย

หลังจากพูดจบ เธอก็จับจ้องไปยังเสวี่ยหยวนจิ้ง

เขายังก้มหน้าเล็กน้อยอย่างเงียบงัน แสงเปลวไฟจากตะเกียงส่องกระทบร่างสง่างาม สะท้อนเงาของเขาทอดยาวไปถึงผนังห้อง

เวลาผ่านไปไม่นาน ในที่สุดเสวี่ยเจียเยว่ก็ได้ยินคำตอบจากเสวี่ยหยวนจิ้ง

“เจ้าไม่ต้องคิดมากหรอก และไม่ต้องมาหยั่งเชิงถามข้าเช่นนี้ด้วย ความจริงแล้วไม่มีเรื่องอันใดเลย เพียงแต่จู่ๆ ข้าก็คิดจนเข้าใจขึ้นมา มารดาของเจ้าก็คือมารดาของเจ้า ส่วนเจ้าก็คือเจ้า แม้ว่าในใจข้าจะเกลียดมารดาเจ้ามากเพียงใด แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าข้าควรจะเกลียดเจ้าไปด้วย และยิ่งไปกว่านั้น เวลาที่ผ่านมาเจ้าเองก็ทำดีกับข้าจากใจจริง ข้าสัมผัสได้”

เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ เขาเงยหน้าขึ้นมองเสวี่ยเจียเยว่ และเธอก็เห็นความจริงใจบนใบหน้าเขา

“ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะปฏิบัติต่อเจ้าเยี่ยงน้องสาวแท้ๆ ของข้า เจ้าวางใจเถิด ต่อไปข้าจะยิ่งทำดีกับเจ้ามากกว่านี้ เพราะข้าคือท่านพี่ของเจ้า”