บทที่ 33 ทั้งสองฝ่ายต่างเงียบงัน

ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย

สามสิบสาม

ทั้งสองฝ่ายต่างเงียบงัน

เสวี่ยเจียเยว่ได้ฟังเสวี่ยหยวนจิ้งเอ่ยจบ ความสุขก็ท่วมท้นจนไม่อยากจะเชื่อ คิดในใจว่าเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าคือมนุษย์หรือปีศาจกันแน่ เธอเพียงเอ่ยหยั่งเชิงเท่านั้น คาดไม่ถึงว่าเขาจะเข้าใจความคิดของเธอได้ในปราดเดียว หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เธอจะกล้าโกหกต่อหน้าเขาได้อย่างไร

เสวี่ยหยวนจิ้งจ้องหน้าเสวี่ยเจียเยว่อย่างรอคอยถ้อยคำโต้ตอบ ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่มีทีท่าว่าจะพูดอะไรแม้แต่น้อย

เธอมองรอยปะบนผ้าม่าน ตะเกียงบนโต๊ะ และพระจันทร์ด้านนอก แต่ไม่ยอมสบตาเขา

ในที่สุดเสวี่ยเจียเยว่ก็รู้สึกว่าทำเช่นนี้ช่างน่าอึดอัด จึงหันไปมองเสวี่ยหยวนจิ้ง และเอ่ยถามเขาด้วยท่าทางไร้เดียงสา

“ตอนนี้ยามใดแล้วเจ้าคะ และข้านอนไปนานเท่าไร”

เสวี่ยหยวนจิ้งนิ่งเงียบ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาได้รู้จักอาการที่เรียกว่าพูดไม่ออก

ครู่หนึ่งเขาก็เอ่ยตอบ “ตอนนี้ยามฮายเจิ้ง[1] หนึ่งเค่อ[2] แล้ว เจ้าหลับไปหนึ่งวันเต็ม”

เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกว่าตนหลับไปนานจริงๆ

เธอไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ จึงเบนสายตาไปมองรอยปะบนผ้าม่าน ตะเกียงบนโต๊ะ และพระจันทร์ที่ลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้าอีกครั้ง

เสวี่ยหยวนจิ้งมองสีหน้าจริงจังของแม่นางน้อย ขนตางอนยาวพลิ้วไหว เห็นได้ชัดว่าหัวใจของอีกฝ่ายคงเต้นระรัว ด้วยเหตุนี้มุมปากของเขาจึงโค้งขึ้นเล็กน้อย

ตอนนี้ในใจของแม่นางน้อยย่อมสับสนเป็นอย่างมาก เนื่องจากเมื่อก่อนเขาเย็นชา แต่จู่ๆ ก็พูดเช่นนี้ คืนนี้เสวี่ยเจียเยว่คงข่มตาหลับไม่ลง กระนั้นก็ไม่สำคัญอันใด ต่อจากนี้ไปยังมีเวลาอีกนาน

เขามิได้เอื้อนเอ่ยคำใดออกมา เพราะเกรงว่าจะทำให้เสวี่ยเจียเยว่สับสนมากขึ้น

เสวี่ยหยวนจิ้งนำถ้วยใส่อาหารที่ว่างเปล่ากับตะเกียบไปเก็บในครัว ก่อนจะกลับเข้ามาในห้อง และนำฟูกกับผ้าห่มมาปูบนพื้นข้างเตียงนอน จากนั้นก็เอ่ยกับเสวี่ยเจียเยว่

“ดึกแล้ว นอนเถอะ”

“อ้อ” เสวี่ยเจียเยว่ตอบกลับไปเพียงเท่านั้น ก่อนจะเอนกายลงนอน แต่สายตาเธอยังคงแอบจับจ้องเด็กหนุ่มอยู่

เสวี่ยหยวนจิ้งหยิบกาน้ำชามารินใส่ถ้วยเดิมให้เสวี่ยเจียเยว่ดื่ม จากนั้นเขาก็รินดื่มเองอีกถ้วย ก่อนดับตะเกียงโดยเป่าหนึ่งครั้ง และเอนกายลงนอนบนฟูกที่เพิ่งปูเสร็จ

เสวี่ยเจียเยว่ถอนสายตากลับมา ก่อนจะพลิกตัวหันหลังให้เสวี่ยหยวนจิ้ง ดวงตาที่เบิกกว้างค่อยๆ เหม่อลอย

เสวี่ยหยวนจิ้งบอกว่าจะปฏิบัติกับเธอเหมือนน้องสาวแท้ๆ อย่างนั้นหรือ ทั้งยังพูดอีกว่าต่อไปจะยิ่งดีกับเธอมากกว่านี้ เป็นเพราะเขาไม่สามารถปกป้องน้องสาวของตนได้จนถูกซุนซิ่งฮวาขายไป ในใจเขาจึงรู้สึกผิดและอยากจะชดเชยใช่หรือไม่ แต่เขาไม่รู้เลยว่าน้องสาวอยู่ที่ไหนจึงอยากจะดูแลเธอ ให้เธอเป็นตัวแทนของน้องสาวเขาสินะ เพราะเวลาที่ผ่านมาเธอก็เรียกเขาว่าท่านพี่ ทำดีต่อเขาอย่างจริงใจมาโดยตลอด

ความจริงเรื่องนี้ก็ดูจะเป็นไปได้ไม่น้อย…

สำหรับเสวี่ยเจียเยว่แล้ว หากมีใครสักคนต้องการดูแลเธอเหมือนน้องสาว และพี่ชายในอนาคตจะได้เป็นขุนนาง แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องดี แต่เธอกลับรู้สึกว่าตนหวังใช้ประโยชน์จากการเป็นน้องของเสวี่ยหยวนจิ้ง จึงรู้สึกละอายใจยิ่งนัก

เสวี่ยเจียเยว่ครุ่นคิดเรื่องต่างๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เดิมทีเธอคิดว่าตนหลับไปนานแล้ว คืนนี้จะต้องนอนไม่หลับอย่างแน่นอน แต่คิดไม่ถึงเลยว่าระหว่างทบทวนเรื่องต่างๆ ไปเรื่อยๆ เธอก็ไม่รู้ว่าหลับไปตั้งแต่เมื่อไร พอตื่นขึ้นมาก็เห็นว่าด้านนอกฟ้าสว่างแล้ว แสงอาทิตย์ในยามเช้าตรู่สาดส่องเข้ามาในห้องจนสว่างเช่นกัน

เสวี่ยหยวนจิ้งไม่อยู่ที่พื้นแล้ว ผ้าห่มที่เดิมทีอยู่บนฟูกถูกพับซ้อนกัน และวางไว้บนหลังตู้เตี้ยอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย

ซุนซิ่งฮวาเป็นคนขี้เกียจ ไม่ชอบตื่นเช้า ตั้งแต่เสวี่ยเจียเยว่ข้ามภพมา อาหารเช้าล้วนเป็นเธอที่ต้องทำ ดังนั้นเธอจึงต้องลุกจากเตียงตั้งแต่เช้า หากตื่นช้าเพียงนิดเดียว ซุนซิ่งฮวารู้เข้าก็จะด่าไม่หยุด และถ้าตื่นสายเช่นในวันนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องดี

เสวี่ยเจียเยว่ยื่นมือออกไปและบิดเอว จากนั้นก็ลุกขึ้นนั่ง

ทันใดนั้นเธอได้ยินเสียงพูดคุยนอกห้อง เมื่อคิดครู่หนึ่งก็ลงจากเตียง แล้วเดินโขยกเขยกไปที่หน้าต่าง ก่อนจะยื่นศีรษะออกไปมองด้านนอกอย่างระมัดระวัง

เธอเห็นเสวี่ยหยวนจิ้งกับหลี่หานเซี่ยวกำลังฝึกวรยุทธ์อยู่บนลาน โดยมีผู้เฒ่าหลี่เอามือไพล่หลังยืนดูอยู่ใกล้ๆ

เมื่อก่อนเสวี่ยเจียเยว่เคยเห็นการออกกระบวนท่าเช่นนี้ในโทรทัศน์ คิดไม่ถึงว่าจะมีวันที่ได้มาเห็นฉากแบบนี้กับตาตัวเอง เธอจึงรู้สึกตื่นตาตื่นใจไม่น้อย

แม้จะไม่เคยศึกษาเรื่องเหล่านี้มาก่อน แต่เธอคิดว่าเสวี่ยหยวนจิ้งออกกระบวนท่าได้คล่องแคล่วว่องไวดุจเมฆเหินน้ำไหลก็มิปาน ส่วนหลี่หานเซี่ยวนั้นแย่กว่ามากอย่างเห็นได้ชัด เด็กสาวหยุดออกกระบวนท่าและเอ่ยถามผู้เฒ่าหลี่อยู่หลายครั้ง จากนั้นยังต้องให้ชายชราอธิบายอย่างละเอียดอีกหลายรอบถึงจะเข้าใจ ทว่าเสวี่ยหยวนจิ้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นกระบวนท่าใด ขอเพียงผู้เฒ่าหลี่อธิบายครั้งเดียว เขาก็สามารถทำได้ในครั้งเดียวเช่นกัน

เห็นได้ชัดว่าผู้เฒ่าหลี่พอใจในตัวเสวี่ยหยวนจิ้งเป็นอย่างมาก เขาจึงพยักหน้าอยู่บ่อยครั้ง กระนั้นก็ยังต้องให้คำแนะนำแก่เด็กหนุ่ม

“เจ้ามีความสามารถในการทำความเข้าใจเป็นอย่างมาก แต่กระบวนท่าของเจ้าดุดันรุนแรงเกินไป ต้องผ่อนแรงลงให้ถึงจุดที่เหมาะสมกว่านี้”

เสวี่ยเจียเยว่ไม่เข้าใจประโยคนั้นสักเท่าไร ถ้าต่อสู้กับใครก็ต้องการเอาชนะเท่านั้นมิใช่หรือ หากออกกระบวนท่าไม่ดุดัน ไม่รุนแรง จะให้ยอมอ่อนข้อและปล่อยให้คู่ต่อสู้ไล่ตีหรืออย่างไร

หลังจากฝึกกระบวนท่าชุดหนึ่งเสร็จแล้ว ผู้เฒ่าหลี่ก็สั่งให้หลี่หานเซี่ยวไปหยิบธนูมาสองคัน และสอนพวกเขายิงธนู

เสวี่ยเจียเยว่ไม่คิดว่าธนูเป็นของแปลกประหลาดแต่อย่างใด ตอนยังเด็กเธอซุกซนไปเล่นยิงธนูกับลูกของเพื่อนบ้านหลายคน ในสายตาของเธอธนูเป็นเพียงของเล่นในวัยเด็กเท่านั้น ทว่าในยามนี้ เมื่อเห็นเสวี่ยหยวนจิ้งกับหลี่หานเซี่ยวฝึกยิงธนู ลูกธนูพุ่งทะยานไปบนท้องฟ้า จากนั้นก็มีนกร่วงลงมาที่พื้นทันที เธอก็ตะลึงงันในชั่วพริบตา ที่แท้ของเล่นชิ้นนี้สามารถใช้เป็นอาวุธได้

จู่ๆ เธอก็รู้สึกว่าการเรียนยิงธนูนั้นไม่เลวทีเดียว ต่อไปถ้าเธออยากจะกินเนื้อ ก็สามารถเข้าไปในป่าแล้วยิงกระต่ายหรือนกมากินแก้หิวได้

ทว่าตอนนี้เธอยังยืนด้วยขาข้างเดียวอยู่ แม้เพียงครู่เดียวก็รู้สึกเมื่อยล้าไม่น้อย จึงขยับไปนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่ด้านข้าง พลางรินชาใส่ถ้วยแล้วยกขึ้นดื่ม

เมื่อเธอดื่มชาหมดไปหนึ่งถ้วย ก็นึกขึ้นมาได้ว่าถ้วยชาใบนี้เหมือนจะเป็นใบเดียวกับที่เสวี่ยหยวนจิ้งใช้ดื่มไปเมื่อคืน

เนื่องจากบนโต๊ะเดิมทีมีเพียงกาน้ำชากับถ้วยชาสองใบ เมื่อคืนเสวี่ยหยวนจิ้งรินชาให้เธอถ้วยหนึ่ง หลังจากเธอดื่มเสร็จก็วางถ้วยชาใบนั้นไว้บนโต๊ะข้างเตียงนอน และถ้วยชาที่อยู่บนโต๊ะใบนี้ เมื่อคืนเธอก็เห็นกับตาว่าเขายกขึ้นดื่ม…

เสวี่ยเจียเยว่มองหลังคาเรือนอย่างเงียบงัน จากนั้นจึงปลอบใจตัวเองว่า เสวี่ยหยวนจิ้งเป็นคนรักความสะอาด ถ้วยชาใบนี้เขาอาจจะล้างตอนที่เธอไม่รู้ก็เป็นได้ และต้องล้างจนสะอาดสะอ้านเป็นอย่างมาก

หลังจากคิดเช่นนี้ ในใจของเธอก็ผ่อนคลายลงไม่น้อย

ทันใดนั้นเธอได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินมาทางนี้ เมื่อหันไปมองก็เห็นเสวี่ยหยวนจิ้งเดินเข้ามาในห้อง

แม้เด็กหนุ่มผู้นี้จะซูบผอม ทว่าเขากลับสง่างามและแข็งแรง เมื่อเขาเดินเข้ามา เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกว่าแสงสว่างในห้องพลันน้อยลง

เมื่อครู่เขาเพิ่งฝึกวรยุทธ์และฝึกยิงธนู แม้ว่าตอนนี้จะเป็นปลายฤดูใบไม้ร่วงและใกล้เข้าสู่ฤดูหนาว ทว่าบนหน้าผากของเขากลับมีเหงื่อผุดซึมบางๆ เขาถอดเสื้อตัวนอกออกแล้ว เหลือเพียงเสื้อตัวในที่พอดีตัว นั่นยิ่งเผยให้เห็นรูปร่างของเขาชัดเจนยิ่งขึ้น

พอเห็นเสวี่ยเจียเยว่จ้องเขม็งตาไม่กะพริบ เสวี่ยหยวนจิ้งก็เดินเข้าไปใกล้อีกฝ่ายพลางเอ่ยถาม “ยังปวดข้อเท้าอยู่หรือไม่”

“ดีขึ้นแล้วเจ้าค่ะ ไม่ปวดเหมือนตอนแรกแล้ว” เสวี่ยเจียเยว่เอ่ยตอบเขา จากนั้นเธอก็ไม่รู้ว่าควรกล่าวอะไรต่อดี

เมื่อก่อนเธอมักจะรู้สึกว่าเสวี่ยหยวนจิ้งเป็นราชาแห่งความเย็นชา เขาเอ่ยปากทีไรก็เยือกเย็นจนเธอไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ทว่าตอนนี้เธอกลับรู้สึกว่าตัวเองคือราชินีแห่งความเย็นชาเสียเอง

แต่จะทำอย่างไรได้ เธอยังไม่ชินกับท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันของเขา

ยังดีที่เสวี่ยหยวนจิ้งไม่ได้เอ่ยถามอะไรต่อ แต่คุกเข่าลงตรงหน้าเธอ และดูอาการบาดเจ็บที่ข้อเท้า

เป็นเพราะข้อเท้าเธอยังบวมเป่ง ไม่เหมาะที่จะสวมถุงเท้า จึงสวมเพียงรองเท้าเท่านั้น ทำให้เสวี่ยหยวนจิ้งดูข้อเท้าของเธอได้สะดวก เพียงแค่พับขากางเกงขึ้นเล็กน้อยก็พอแล้ว

เสวี่ยเจียเยว่ยังรู้สึกเกรงใจมากจึงคิดจะชักเท้ากลับ ทว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจับเอาไว้อย่างรวดเร็ว

“อย่าขยับ” เขาเอ่ยเสียงต่ำพลางขมวดคิ้วแน่น

แม้เมื่อคืนนี้ข้อเท้าของเสวี่ยเจียเยว่จะหายบวมไปมากแล้ว ทว่าตอนนี้ยังมีรอยแดงปรากฏให้เห็น

เท้าของเธอขาวเนียน ดังนั้นบริเวณที่บวมแดงจึงยิ่งเด่นชัด จนคนมองรู้สึกตกใจไม่น้อย

เสวี่ยหยวนจิ้งไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา เขาลุกขึ้นเดินไปหยิบยาสลายเลือดคั่งที่วางอยู่บนหัวเตียง จากนั้นก็ทายาและนวดบริเวณที่บวมแดงบนข้อเท้าของเสวี่ยเจียเยว่อย่างเบามือ

แม้เสวี่ยเจียเยว่จะเจ็บปวด ทว่าเธอก็อดทนและไม่ร้องออกมาแม้แต่แอะเดียว

เสวี่ยหยวนจิ้งเงยหน้ามองอีกฝ่าย พลางคิดว่าการนวดเบาๆ ยังไม่พอ หากไม่ใช้แรง ยาจะไม่ได้ผล

เมื่อนวดไปได้พักหนึ่ง ข้อเท้าของเสวี่ยเจียเยว่ก็เริ่มร้อนผ่าว ยาน่าจะออกฤทธิ์แล้ว เสวี่ยหยวนจิ้งจึงปล่อยมือ ก่อนจะเดินไปที่ชั้นวางอ่างล้างหน้าแล้วล้างมือให้สะอาด

หางตาของเสวี่ยเจียเยว่เหลือบเห็นตอนที่เขาล้างมือเสร็จก็สะบัดเบาๆ แล้วหยิบผ้าที่แขวนอยู่บนชั้นมาเช็ดมือ

เช็ดทุกนิ้วอย่างละเมียดละไม แม้แต่น้ำหยดเดียวก็ไม่มีให้เห็น

เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกว่าเสวี่ยหยวนจิ้งเหมาะจะเป็นหมอมากกว่า อีกทั้งเขายังมีความรู้ด้านวิชาแพทย์ หากเขาสวมเสื้อคลุมสีขาวตัวใหญ่ พอล้างมือเสร็จและเช็ดทุกนิ้วอย่างละเมียดละไมด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกเช่นนี้ ต้องทำให้คนที่ได้มองหลงเสน่ห์และปรารถนาในตัวเขาไม่น้อย

เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งเช็ดมือเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็นำผ้ากลับไปแขวนเอาไว้บนชั้นดังเดิม และดึงมุมผ้าให้อยู่ในระดับเดียวกัน

“อาการบาดเจ็บที่ข้อเท้าของเจ้ายังไม่หายดี สองวันนี้อย่าเดินโขยกเขยกมายืนนานๆ อีก” สีหน้าของเสวี่ยหยวนจิ้งราบเรียบ “อีกอย่าง… นี่เป็นแค่กระบวนท่าส่วนหนึ่งเท่านั้น หากเจ้าอยากดู ต่อไปข้าฝึกให้เจ้าดูก็ได้”

ไม่ต้องเอ่ยคำแก้ตัวใดๆ อีก เสวี่ยหยวนจิ้งรู้เรื่องที่เธอแอบยืนมองเขาอยู่ข้างหน้าต่างเมื่อครู่นี้แล้ว

ฉลาดเป็นกรดอะไรเช่นนี้…

เสวี่ยเจียเยว่ยังคงไม่เอ่ยคำใด จู่ๆ เธอก็รู้สึกว่าตนไม่เคยปิดบังเสวี่ยหยวนจิ้งได้แม้แต่เรื่องเดียว

[1] ยามฮายเจิ้ง คือช่วงเวลาตั้งแต่ 21.00 น. – 22.59 น.

[2] 1 เค่อ เทียบเท่าเวลาประมาณสิบห้านาที