หมอหลวงเฉิงเป็นหมอหลวงฝีมือดีที่สุดในสถาบันแพทย์หลวง ปกติจะรักษาเพียงฮ่องเต้และเหล่านางสนมในวังหลังเท่านั้น แน่นอนว่าหากเป็นคำสั่งของพญายม เขาก็ไม่ถามให้มากความรีบหยิบหีบยามาทันที
อันที่จริงแล้วพญายมเป็นใคร!?
เขาไม่เพียงเป็นพระอนุชาพระองค์เดียวของฮ่องเต้ ยังมีวรยุทธสูงส่ง ฝีมือไม่ธรรมดา หน้าตางดงามไร้ที่ติ เป็นสายเลือดมังกร ทั่วแคว้นไม่เป็นสองรองใคร!
แม้เขาล่วงเกินใคร ไม่มีกล้าล่วงเกินพญายมเช่นเขา
ดังนั้นหลังหมอหลวงเฉิงได้รับคำเชิญจากคนของหัวหน้าขันทีลี่ รีบฝ่าพายุลมพายุฝนมาทันที
เวลานี้ชายชุดหมอหลวงสีแดงเข้มของหมอหลวงเฉิงยังเปียกชุ่มด้วยน้ำฝนไม่น้อย แต่เขากลับไม่สนใจ ก้มหน้าเก็บสายตา เอ่ยกับเหลิ่งจวิ้นอวี๋อย่างนอบน้อมอย่างมีมารยาท
“ถวายบังคมท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม ลุกขึ้นเถิด”
สำหรับคำพูดหมอหลวงเฉิงที่อยู่ด้านหลัง เหลิ่งจวิ้นอวี๋ไม่หันกลับไปมอง น้ำเสียงเย็นยะเยือก ทำให้คนที่ฟังราวจู่ๆ มีลมหนาวในเดือนสิบสองพัดผ่านมา กลิ่นอายกดดันเย็นชาพวกนั้น แม้ต่อห้าพระพักตร์ฮ่องเต้ หมอเฉิงก็ไม่เคยเจอมาก่อน
ในใจรู้สึกหวาดหวั่น ต่อหน้าเหลิ่งจวิ้นอวี๋หมอเฉิงต้องรวบรวบสติอย่างเต็มที่ เตรียมพร้อมรับมือ
“ท่านอ๋องไม่สบายที่ใดหรือพ่ะย่ะค่ะ เชิญท่านอ๋องประทับให้ข้าน้อยจับชีพจรเถอะพ่ะย่ะค่ะ!”
“ผู้ใดบอกเจ้าว่าข้าป่วย?!”
เมื่อได้ยินหมอหลวงเฉิงพูด เหลิ่งจวิ้นอวี๋เดิมทีที่หันหลันให้ทุกคนหันข้างมากเล็กน้อย เผยให้เห็นด้านข้างของใบหน้างดงามนั้น
ดวงตาเย็นชาคู่หนึ่งแฝงด้วยความเย็นขา กวาดมองไปที่หมอหลวงเฉิงแวบหนึ่ง
“คือ…”
หมอหลวงเฉิงพูดไม่ออก ไม่รู้ควรจะพูดเช่นไรดี ทำได้เพียงส่งสายตาไปที่หัวหน้าขันทีลี่ที่อยู่ด้านข้าง
อันที่จริงหัวหน้าขันทีลี่ส่งคนไปรับเขามา ทว่าคนที่มาไม่เอ่ยใดๆ กับเขา ดังนั้นเขาจึงคิดว่าท่านอ๋องเจ็บป่วย หรือว่าจะไม่ใช่!?
เมื่อเห็นสายตาสงสัยของหมอหลวงเฉิง สายตาของหัวหน้าขันทีลี่หมุนไปยังทิศทางหนึ่งเพื่อบอกความหมาย
หมอหลวงเห็นเช่นนั้น มองตามสายตาหัวหน้าขันทีลี่ไป เมื่อเห็นขันทีน้อยนอนไม่ได้สติอยู่ด้านข้าง อดยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยไม่ได้ ก่อนพลันพูดอะไรไม่ออก
รู้สึกเวลาเที่ยงคืนท่ามกลางพายุฝน ท่านอ๋องสั่งให้คนไปรับเขามาที่นี่ เมื่อให้เขารักษาให้กับขันทีน้อยผู้นี้!?
สำหรับเรื่องนี้ ในใจหมอหลวงเฉิงรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย
อันที่จริงจะพูดเช่นไรเขาเป็นถึงหมอหลวงฝีมือดีแห่งสถาบันแพทย์หลวง
จากนั้นขณะที่หมอหลวงเฉิงคิดในใจเช่นนั้น ทางด้านเหลิ่งจวิ้นอวี๋ กวาดสายตาเย็นชาแวบหนึ่ง คล้ายคาดเดาความคิดในใจของหมอหลวงเฉิงได้ อดขมวดคิ้วแน่นไม่ได้ ก่อนเผยอริมฝีปากเอ่ยออกมาอย่างหนาวเหน็บ
“หากช่วยชีวิตเขาไม่ได้ ท่านก็ลงหลุมฝังไปพร้อมกับเขาเถอะ!”
น้ำเสียงเหลิ่งจวิ้นอวี๋น้ำเสียงทุ้มต่ำเนิบทุ้ม แต่ประโยคเดียวของเขา กลับทำให้หมอหลวงเฉิงพลันเต้นแรงขึ้น
ความดูถูกไม่พอใจที่มีในใจสลายไปอย่างรวดเร็ว
อันที่จริงเขาอยู่สถาบันแพทย์หลวงมาเป็นเวลานาน ได้ยินเรื่องประหลาดของท่านอ๋องมาไม่น้อย
แม้ท่านอ๋องผู้นี้จะวรยุทธสูงส่ง เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ แต่นิสัยนั้นเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย โหดเหี้ยมไร้ปราณี หากทำให้เขาไม่พอใจ เกรงว่าแม้ฮ่องเต้จะขอร้องด้วยพระองค์เอง ไม่อาจรับประกันชีวิตน้อยๆ ของเขาเอาไว้ได้
หลังนึกถึงเรื่องนี้ หมอหลวงเฉิงไม่กล้าเอ่ยให้มากความ และรวบรวมสติ จับชีพจรของเล่อเหยาเหยาอย่างจริงจัง
แม้หมอหลวงจะมีนิสัยหยิ่งยโส แต่ฝีมือการรักษาค่อนข้างดีทีเดียว
หลังจับชีพจรของเล่อเหยาเหยา รีบฝังเข็มให้เธอทันที ผ่านไปไม่นานใบหน้าแดงก่ำผิดปกติของเล่อเหยาเหยา ค่อยๆ กลับมาเป็นปกติ คิ้วที่ขมวดแน่นคลายลงอย่างช้าๆ
เห็นเช่นนั้น แม้เหลิ่งจวิ้นอวี๋จะไม่แสดงสีหน้าออกมา แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอกยิ่งนัก
นอกจากนี้หมอหลวงเฉิงเขียนเทียบยาให้เล่อเหยาเหยา หลังกำชับเรื่องที่ให้ระมัดระวังอีกครั้ง ขอตัวลากลับไป
หัวหน้าขันทีลี่จึงออกไปส่งเขาด้วยตัวเอง ดังั้นภายในห้องจึงเหลือเพียงเหลิ่งจวิ้นอวี๋และเล่อเหยาเหยาสองคนอีกครั้ง
แม้เมื่อครู่หมอหลวงเฉิงจะบอกว่าไข้เล่อเหยาเหยาจะลดลงแล้ว แต่อีกหลายชั่วยามกว่าจะฟื้นขึ้นมา
ดังนั้นเวลานี้เหลิ่งจวิ้นอวี๋จึงสำรวจคนร่างเล็กอยู่บนเตียงได้อย่างไรกังวล
เห็นเพียงสีหน้าคนเตียงไม่ได้แดงก่ำเช่นเมื่อครู่ แต่สีแดงเบาบางที่เหลืออยู่ ดูคล้ายดอกท้อที่กำลังเบ่งบานอยู่บนต้นในเดือนสามที่งดงามอย่างยิ่ง
งดงามจนทำให้คนใจเต้น
ในใจราวถูกแมวน้อยแสนน่ารักตัวหนึ่งข่วนไปมา เขารู้อยู่ชัดๆ ว่าไม่ควร แต่เขาอดกลั้นไม่ได้เช่นเคย ยกมือขึ้นอย่างช้าๆ ยืนนิ้วออกไปลูบที่แก้มนิ่มนั้นช้าๆ
เมื่อนิ้วของเหลิ่งจวิ้นอวี๋สัมผัสกับผิวของคนด้านล่างพลันรู้สึกราวถูกกระแสไฟฟ้าอันวาบหวาบวิ่งเข้าสู่ปลายนิ้วของเขาอย่างรวดเร็ว จากนั้นไหลเวียนไปทั่วร่างกาย
ความวาบหวามนี้ ทำให้เหลิ่งจวิ้นอวี๋รู้สึกประหลาดใจ
ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจมากที่สุดคือ ผิวแก้มของคนด้านล่างนั้น ช่างนุ่มและลื่นยิ่งนัก
นุ่มนวล อ่อนนิ่ม อบอุ่น
ลูบแล้วรู้สึกไม่เลวจริงๆ
ทันใดนั้นทำให้เหลิ่งจวิ้นอวี๋เกิดความรู้สึกที่หักห้ามใจไม่ได้
ในใจประหลาดใจกับผิวที่ดีของเขา นอกจากนี้อวัยวะทั้งหน้าบนใบหน้าประณีตงดงามอย่างยิ่ง
น่าเสียดายที่เขาเกิดมาในครอบครัวที่ยากจนลำบาก ทั้งยังต้องกลายเป็นขันที มิฉะนั้นรูปลักษณ์ของเขาต้องไม่มีผู้ใดเทียบได้แน่!
นอกจากนี้เขารูปร่างเล็ก หรือจะเป็นปัญหาด้านอายุ ทำให้ไม่เจริญเติบโต ถึงมีรูปร่างเล็กขนาดนี้!?
แม้จะเป็นขันที ไม่สามาถตบแต่งภรรยาได้ แต่ร่างกายเล็กราวปลิวไปตามลมเช่นนี้ จะเป็นไปได้เช่นไร!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เหลิ่งจวิ้นอวี๋อดขมวดคิ้วเล็กน้อยไม่ได้
ทันใดนั้นมือที่ลูบไล้อยู่บนแก้ม เลื่อนไปจับที่มือเล็กของคนด้านล่างโดยไม่รู้ตัว
ความจริงมือเล็กคู่นี้ เขาอยากจะลูบคลำมานาน
เพราะเขาอยากจะลองดูว่ามือของผู้ชาย เพราะเหตุใดจึงเล็กราวกับมือของผู้หญิงเช่นนี้
เพียงยื่นมือใหญ่ออกไปกุมมือเล็กข้างหนึ่ง รู้สึกว่ามือเล็กในมือของตนสามารถบีบแน่นได้
นอกจากนี้เมื่อดูอีกครั้ง ตรงกลางฝ่ามือของเขาไม่มีรอยรังไหมเลยสักนิด
อมชมพู เรียบเนียนอ่อนนุ่มยิ่งนัก
เมื่อเทียบกับมือของเขาอีกครั้ง
จากหลังมือจนถึงข้อมือดูเรียวยาว แต่หากกางมืออกจะเห็นรอยรังไหมที่กลางฝ่ามือที่ทั้งหนาและแข็ง จนไม่มีผู้ใดกล้าชื่นชม
ขณะที่เหลิ่งจวิ้นอวี๋ลูบไล้มือเล็กอันประณีตของเล่อเหยาเหยาอยู่ เล่อเหยาเหยาที่หมดสติ พึมพำออกมาเบาๆ
เพราะหลังไข้ลดจึงรู้สึกสบายตัวขึ้น เดิมทีเล่อเหยาเหยาที่กำลังหลับสนิท พลันรู้สึกคันที่แก้มขึ้นมาราวมีบางอย่างกำลังลากผ่านแก้มของเธอไป
จนในที่สุดมือเล็กถูกมือหนาขนาดใหญ่กุมเอาไว้
มือของคนผู้นั้น ช่างใหญ่ยิ่งนัก ด้านบนยังมีของแข็งบางอย่างลูบไล้ฝ่ามือของเธอ
ลูบไล้จนเธอคันยุกยิกที่มือ แต่รความรู้สึกอบอุ่นเช่นนี้ ช่างคุ้นเคยยิ่งนัก ราวกับว่า…
เหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่ลูบไล้มือเล็กของเล่อเหยาเหยา สังเกตเห็นว่าริมฝีปากเล่อเหยาเหยาเอ่ยพึมพำขึ้นมา ท่าทางนั้นราวแมวน้อยแสนน่ารักตัวหนึ่ง
อกจากนี้คิ้วของเขาคลายลง มุมปากปรากฎรอยยิ้มบางเบา คล้ายกำลังนึกถึงบางอย่าง หรือฝันหวานถึงอะไรบางอย่าง เขาที่ได้เห็นจึงอดยกยิ้มที่มุมปากไม่ได้
โดยเฉพาะเมื่อเขาเห็นริมฝีปากคนด้านล่างขยับ ราวกำลังพูดอยู่ในความฝัน ทำให้อดที่จะอยากรู้ขึ้นมาไม่ได้ ดังนั้นจึงก้มตัวลงหาคนที่อยู่ด้านล่าง
แต่เมื่อได้ยินคำพูดของคนด้านล่าง รอยยิ้มบนมุมปากของเหลิ่งจวิ้นอวี๋พลันชะงักทันที เพราะ…
“พ่อ”
……………………………………..