Chaotic Sword God ตอนที่ 30 รองอาจารย์ใหญ่ไป่เอิน
“พลั่ก !”
เถี่ยต้าและเฉิงหมิงเซียงปะทะหมัดกัน นำมาซึ่งเสียงระเบิดอันดังก้อง คลื่นพลังอันร้ายกาจระเบิดออกมาขณะที่ทั้งคู่ต่างเซถอยหลังไป
เมื่อรับรู้ถึงความแข็งแกร่งของเถี่ยต้าด้วยหมัดของเขา เฉิงหมิงเซียงฉายแววไม่มั่นใจ ก่อนจะกลายเป็นประหลาดใจ แม้ว่าความแข็งแกร่งของเถี่ยต้าจะไม่ได้อยู่ในระดับเซียน แต่หมัดของเถี่ยต้านั้นมีบางสิ่งที่แม้ว่าเซียนยังปล่อยมันออกมาไม่ได้ ถ้าไม่เพราะความเป็นจริงที่ว่าเฉิงหมิงเซียงแข็งแกร่งและแข็งแกร่งกว่าเถี่ยต้ามากนัก แต่ทว่าเขากลับต้องได้รับเจ็บปวดอย่างหนักหลังจากการเผชิญหน้ากับเถี่ยต้า และถึงแม้บริเวณที่เขาโดนชกจะไม่ได้อันตรายนัก แต่ไหล่ของเฉิงหมิงเซียงก็เริ่มที่จะทั้งเจ็บและปวด
ยืดไหล่ขวาของเขาคราหนึ่ง เฉิงหมิงเซียงมองเถี่ยต้าด้วยแววตาที่เปลี่ยนไปจากเดิม ศิษย์ส่วนตัวของอาจารย์ใหญ่ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง พลังหมัดนั้นช่างน่ากลัวและมีอำนาจเหนือกว่าหมัดของข้ายิ่งนัก ถ้าเขาเป็นเซียนแล้วละก็ หมัดของเขาจะะต้องสร้างความเสียหายอย่างมากเป็นแน่” .
ความแข็งแกร่งของเถี่ยต้านั้นช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก พลังทั้งหมดไม่มีใครเปรียบเทียบได้กับเขา ความแข็งแกร่งของเขามากกว่า แม้แต่เจี้ยนเฉินยังอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ กับคู่แข่งที่แข็งแกร่งเช่นนั้น เถี่ยต้านั้นก็ไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย
เถี่ยต้าหัวเราะลั่นอย่างมีความสุขและกล่าวว่า ลองอีกครั้ง ข้าชักเริ่มที่จะสนุกแล้วสิ เขาเหวี่ยงหมัดของเขาอยู่ในตำแหน่งที่พร้อม ในขณะที่เขาเผชิญหน้ากับเฉิงหมิงเซียง
มองไปที่เถี่ยต้า คิ้วของเฉิงหมิงเซียงขมวดเข้าหากัน ขณะที่เขาหันมองลั่วเจี้ยนที่อยู่ถัดไป “ข้าจะถ่วงเวลาเถี่ยต้า เจ้าไปสอนบทเรียนให้กับเจี้ยนเฉินซะ” เขาพุ่งเข้าหาเถี่ยต้าและทั้งสองก็เริ่มที่จะสู้กันอีกครั้งโดยไม่หยุดหย่อน
ต้องขอบใจเถี่ยต้าที่มีสถานะพิเศษภายในสำนักนี้ เฉิงหมิงเซียงจึงไม่กล้าใช้อาวุธเซียนของเขาและเลือกที่จะใช้หมัดในการต่อสู้แทน แต่หลังจากแลกหมัดกันไม่กี่รอบ เฉิงหมิงเซียงเริ่มที่จะพึมพำเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของเถี่ยต้าที่มันออกจะเหลือเชื่อเกินไป ไม่เพียงแค่นั้น ร่างกายของเถี่ยต้าแข็งราวกับเหล็ก ดังนั้นเขาไม่มีทางที่จะสามารถเอาชนะเถี่ยต้าโดยไม่ใช้อาวุธเซียน หากจะเอาชนะเถี่ยต้า เขาต้องทุ่มพลังทั้งหมดของเขาแต่ก็น้อยมากที่จะทำสำเร็จ อย่างเช่นว่าจะผลักให้เถี่ยต้าถอยหลัง นอกจากนี้เขายังไม่กล้าที่จะต่อสู้กับเถี่ยต้าเป็นระยะเวลานาน
ลูกศิษย์ทุกคนจ้องดูเฉิงหมิงเซียงต่อสู้กับเถี่ยต้าที่แข็งแกร่งอย่างเหลือเชื่อด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง พวกเขามองดูการต่อสู้อย่างเลื่อมใส แม้ว่าลูกศิษย์หลายคนจะไม่เคยเห็นเถี่ยต้ามาก่อน ทุกคนรู้จักเขาเพียงแค่ชื่อ หลังจากที่เขาเป็นผู้ชนะอันดับ 2 จากการแข่งขันเด็กหน้าใหม่ และทำให้ชื่อเสียงของเขาได้แพร่กระจายไปทั่วสำนัก ยังคงมีอีกหลายคนที่ยากจะเชื่อได้ว่าบางคนสามารถต่อสู้กับเซียนเช่นเฉิงหมิงเซียงซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นอัจฉริยะที่เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์
ข่าวที่ว่าผู้คุมกฎจากการแข่งขันเด็กหน้าใหม่ เจียงหยางเซียงเทียนสามารถที่จะเอาชนะเซียนกาดิหยุนได้ มันสร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วสำนัก และในขณะเดียว มันไม่สามารถยอมรับความจริงที่ว่าเถี่ยต้า ผู้ซึ่งไม่เป็นแม้กระทั่งเซียนแต่กลับมีความแข็งแกร่งในระดับเซียน มากพอที่จะหยุดเฉิงหมิงเซียงลงได้
ขณะที่เฉิงหมิงเซียงกำลังต่อสู้กับเถี่ยต้า ลั่วเจี้ยนก็ไม่รอช้า เขาพุ่งเข้าหาเจี้ยนเฉิน ลั่วเจี้ยนไม่คิดจะใช้อาวุธเซียน เขานั้นเป็นถึงเซียนขั้นกลาง เขาจะไม่ใช้มันอย่างเปล่าประโยชน์กับใครบางคนที่ไม่ใช่แม้กระทั่งเซียน
ลั่วเจี้ยนวิ่งตรงไปหาเจี้ยนเฉินก่อนที่เขาจะได้ทันเตรียมตัวและใช้ขาขวาเตะไปที่เจี้ยนเฉิน ขาของเขาพุ่งตรงไปที่ท้องของเจี้ยนเฉินอย่างรวดเร็วราวกับลมอันเย็นเฉียบพัดผ่าน ลูกเตะนั้นทั้งเร็วและรุนแรง เพราะเขาคือเจี้ยนเฉิน หลัวเจี้ยนถึงไม่คิดที่จะยั้งมือ
แม้ว่าลูกเตะของลั่วเจี้ยนนั้นจะรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง เมื่อดูปฏิกิริยาและความเร็วในการหลบหลีกของเจี้ยนเฉินเพื่อประเมิน ขณะที่ลั่วเจี้ยนครุ่นคิดเกี่ยวกับการเตะ เจี้ยนเฉินหลบได้อย่างหวุดหวิดไปทางด้านข้างและขาของลั่วเจี้ยนก็สะกิดเพียงเสื้อผ้าของเขาไป มองดูเจี้ยนเฉิน ที่แม้ว่าเขาจะหลบมันได้อย่างหวุดหวิด แต่กระนั้น ท่าทีตื่นกลัวก็ไม่ได้เกิดขึ้นบนใบหน้าเขาแม้แต่น้อย มีเพียงแต่ใบหน้าที่ผ่อนคลายเท่านั้น
เมื่อเห็นว่าการโจมตีของเขาพลาด ตาของลั่วเจี้ยนมีประกายแห่งความตระหนก อย่างไรก็ตาม ทันใดนั้น แสงสีเขียวปรากฏ ทันใดนั้นอาวุธเซียนปรากฏขึ้นจากภายในร่างกายเขา ขณะที่มันเริ่มปรากฏตัว สายลมปริศนาก็เริ่มล้อมรอบตัวเขา
ทันใดนั้นความรู้สึกที่รุนแรงจากลูกเตะของลั่วเจี้ยน เจี้ยนเฉินเผยท่าทีประหลาดใจ จากหนังสือที่เขาได้อ่านก่อนหน้านี้ การโจมตีประเภทนี้เป็นของเซียนธาตุลม
เซียนที่มีธาตุ โดยทั่วไปแข็งแกร่งกว่าเซียนทั่วไปหนึ่งก้าว ไม่เพียงแต่ผู้ที่มีพลังธาตุที่จะเสริมความแข็งแกร่งของเขาได้ ผู้ที่มีธาตุลมนั้นแน่นอนความเร็วของพวกเขาจะเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว และเมื่ออยู่ในระดับที่สูงขึ้นไป ใครก็ไม่อาจสู้กับเซียนที่มีพลังธาตุลมในเรื่องความเร็วได้อย่างแน่นอน
พลังเซียนสีฟ้าอมน้ำเงินเริ่มที่จะไหลออกมาปกคลุมมือขวาของลั่วเจี้ยนอย่างสมบูรณ์ มันพุ่งตรงอย่างรวดเร็วไปหาเจี้ยนเฉินและโจมตีเขา หมัดนี้เร็วนักราวกับมันเป็นภาพลวงตา ชนิดที่ว่าตาเปล่าไม่อาจมองเห็นหมัดนั้นได้ทั้งหมด
ใบหน้าของเจี้ยนเฉินแข็งกระด้างขึ้น เขาเอียงศีรษะไปด้านข้างและหลบกำปั้นของลั่วเจี้ยนอีกครั้ง ทันใดนั้นเขาก็ตวัดขาขวาของเขาไปยังลั่วเจี้ยนด้วยความเร็วที่ไม่น้อยกว่าหมัดแรก
ตาของลั่วเจี้ยนเป็นประกายอันตราย ในขณะที่เขาตระหนักถึงความเร็วของเจี้ยนเฉินว่าไม่ได้ช้าไปกว่าเขาสักนิด เพราะการเตะที่รวดเร็วนั้น ลั่วเจี้ยนไม่มีเวลาที่จะหลบมัน โดยไม่มีทางเลือก พลังเซียนธาตุลมเริ่มที่จะเข้มข้นขึ้นในมือซ้ายของเขา ในขณะที่เขาทุ่มมันลงไปบนขาของเจี้ยนเฉิน
พลังเซียนธาตุลมของลั่วเจี้ยนที่อยู่ในหมัดนั้นปะทะกับขาของเจี้ยนเฉิน เป็นเหตุให้เจี้ยนเฉินที่อ่อนแอกว่าต้องกระเด็นถอยหลังไป.
ร่างกายเจี้ยนเฉินถูกโยนกลับมาด้วยความเร็ว แต่ทั้งสองขาของเขาลากกับพื้นดิน โดยใช้แรงเสียดทานในการชะลอตัวของเขาซึ่งทิ้งรอยไว้บนพื้นอย่างชัดเจน เจี้ยนเฉินคาดเดาไว้แล้วว่าหากต่อสู้กันเขาจะถูกทำให้ถอยหลังไปกว่าสิบเมตร
ลั่วเจี้ยนหักข้อนิ้วของเขาและเริ่มที่จะจ้องมองใบหน้าของเจี้ยนเฉินด้วยท่าทีเคร่งขรึม ในการเผชิญหน้ากันอย่างสั้น ๆ ลั่วเจี้ยนตระหนักว่าเขาไม่สามารถดูเบาเจี้ยนเฉินได้ แม้ว่าความแข็งแกร่งของเขาจะไม่ใช่ระดับเซียน แต่การต่อสู้ของเขาก็เทียบเท่าได้เลย
ตาของลั่วเจี้ยนเริ่มมีประกายความลังเลใจเล็ก ๆ ก่อนที่เขาจะสรุปออกมาว่า ในสถานการณ์เช่นนี้ถ้าเขาต้องการที่จะเอาชนะเจี้ยนเฉินโดยเร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้แล้วเขาจะต้องใช้อาวุธเซียน แม้ว่านี่จะเป็นการยากที่จะหลีกเลี่ยงคำครหาของทุกคน แต่เขารู้ว่าถ้าเขาไม่ได้ใช้อาวุธเซียนของเขา เขาจะไม่สามารถที่จะเอาชนะเจี้ยนเฉินในระยะเวลาสั้น ๆ ได้ ถ้าเขาใช้เวลานานในการประลองกับเด็กใหม่ที่ยังไม่ถึงระดับเซียน มันจะต้องกระทบกับชื่อเสียงของเขาอย่างใหญ่หลวงนัก
เมื่อเขาคิดเกี่ยวกับการที่เขาเป็นเซียนขั้นกลางแต่ไม่สามารถที่จะเอาชนะผู้ที่ยังก้าวไม่ถึงระดับเซียนด้วยซ้ำ และแม้ว่าลั่วเจี้ยนจะใช้อาวุธเซียนด้วยก็ตาม ช่วยไม่ได้ที่เขาจะรู้สึกขุ่นเคือง มันทำให้ความเกลียดชังที่เขาต่อเจี้ยนเฉินนั้นลึกล้ำยิ่งขึ้น การต่อสู้ในวันนี้ไม่ว่าใครจะชนะ คนที่ต้องสูญเสียก็ต้องเป็นเขาอยู่ดี ในขณะที่เจี้ยนเฉินนั้น ชื่อเสียงของเขามีแต่จะเพิ่มขึ้นจากการต่อสู้ในวันนี้และชื่อเสียงของเขาจะโด่งดังไปทั่วสำนักคากัตอีกครั้ง
ตาของลั่วเจี้ยนทอประกายเย็นเยียบแบบที่สามารถทำให้คนขนลุก และไม่มีใครกล้าที่จะมองหน้าเขาตรง ๆ ในดวงตาและฝ่ามือประกอบไปด้วยพลังสีเขียวอมน้ำเงินซึ่งค่อย ๆ กลั่นตัวเป็นกระบี่ใหญ่สีฟ้า มันยาวประมาณ 5 ฟุตและกว้าง 3 นิ้ว และกระบี่ทั้งหมดถูกปกคลุมแสงสีฟ้าอ่อน ๆ ใบมีดคมที่เปล่งแสงเจิดจ้าเมื่อสะท้อนกับแสงแดด และเพียงแค่เห็นมันก็ทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัวได้ไม่ยาก
เจี้ยนเฉินรู้สึกว่ากระบี่ใหญ่สีฟ้าที่อยู่ในมือของลั่วเจี้ยนเปล่งประกายที่ทรงพลังนัก และใบหน้าของเขาค่อย ๆกลายเย็นชามากขึ้นเรื่อย ๆ การใช้อาวุธเซียนทำให้ความแข็งแกร่งของลั่วเจี้ยนเพิ่มมากขึ้นเป็นทวีคูณ มากเกินกว่าที่เคยเป็น ถ้าลั่วเจี้ยนไม่ได้ใช้อาวุธของเขาแล้ว เจี้ยนเฉินก็ยังสามารถที่จะต่อสู้ได้แม้จะมีปัญหาบางอย่าง แต่อย่างไรก็ตามเมื่ออาวุธเซียนปรากฏขึ้น เจี้ยนเฉินเต็มไปด้วยความรู้สึกท้าทาย จากประสบการณ์ในโลกก่อนของเขา ซึ่งเขาเคยต่อสู้เฉียดตายมาอย่างนับไม่ถ้วน บางทีมันก็อาจจะไกลเกินกว่าที่จะโจมตี แต่อย่างไรก็ตาม มันก็ยากนักที่จะเอาชนะ
ด้วยอาวุธในมือของลั่วเจี้ยน ความแข็งแกร่งของเขาได้เพิ่มมากขึ้น สายตาของเจี้ยนเฉินจ้องมองอย่างไม่ละสายตา เจียงหยางเซียงเทียน วันนี้ข้าจะกำจัดเจ้า ลั่วเจี้ยนยกกระบี่ใหญ่สีฟ้าขึ้นสูงในอากาศและมันเรืองแสงสีฟ้าเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ สร้างความตื่นตระหนกให้กับบรรดาลูกศิษย์ที่สังเกตการต่อสู้จากภายในห้องสมุด
อา! ลั่วเจี้ยนคำราม ในขณะที่เขาตวัดกระบี่ใหญ่สีฟ้าลงมาจากเหนือหัวเขา ออกจากวิถีฟ้าที่งดงามที่อยู่เบื้องหลังมัน ขณะที่มันเคลื่อนไหว สิ่งเดียวที่อาจจะเห็นเป็นสีฟ้าเบา ๆ อย่างรวดเร็ว ปราณกระบี่นั้นพุ่งตรงเข้าไปหาเจี้ยนเฉิน
รับรู้ถึงปราณกระบี่ที่ทรงพลังเป็นอย่างมาก ทันใดนั้นใบหน้าของเจี้ยนเฉินก็เคร่งเครียด มันแน่นอนว่าความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขาไม่อาจทนมันได้ ประกายแสงของปราณกระบี่ตรงเข้าไปที่เจี้ยนเฉินอย่างรวดเร็ว เจี้ยนเฉินไม่ได้มีเวลาที่จะพิจารณาการกระทำของเขา เขารวบรวมพลังทั้งหมดของเขาเข้าไปในขาของเขา เตรียมหลบอย่างสุดกำลัง
ทันใดนั้น ร่างสีขาว ปรากฏตัวมาอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าซึ่งเร็วกว่าปราณกระบี่ และและยืนอยู่ตรงหน้าของเจี้ยนเฉินราวกับโล่
เมื่อปราณกระบี่สีฟ้าพุ่งตรงไปหาร่างสีขาวนั้น มันก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่มีแม้แต่ประกายแสงเหลือให้มองเห็น
ร่างสีขาวนั้นอาจกล่าวได้ว่าเป็นชายวัยกลางคนอายุราว ๆ 40 ปี ชายคนนั้นสวมชุดสีขาวและใบหน้าเต็มไปด้วยความเคร่งขรึม ดวงตาของเขาแตกต่างไปจากดวงตาของคนทั่วไปและมันเต็มไปด้วยความโกรธ
เมื่อลั่วเจี้ยนเห็นชายวัยกลางคนที่สวมชุดสีขาว ท่าทีของเขาเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดและใบหน้าของเขาก็ซีดเผือด กระบี่ใหญ่สีฟ้าในมือเขาหายวับไปในทันทีและทันใดนั้นเขาก็โค้งคำนับทักทายด้วยความเคารพ รองอาจารย์ใหญ่! เพียงแค่สองคำนี้ มันก็ไม่อาจซ่อนความกลัวในน้ำเสียงของลั่วเจี้ยนไว้ได้เลยแม้แต่น้อย
เมื่อได้ยินลั่วเจี้ยนเรียกชายวัยกลางคนคนนั้น เจี้ยนเฉินชะงัก สายตาของเขามองไปยังร่างตรงหน้าที่เขาเห็นเพียงด้านหลังเล็กน้อย ใจของเขาตระหนักได้ทันทีว่าชายตรงหน้าเป็นใคร เขามีท่าทีผ่อนคลายลง ในสำนักนี้เขาเป็นรองเพียงแค่อาจารย์ใหญ่เท่านั้น ชายคนนี้คือไป่เอิน