ตอนที่ 53 ที่ดินสิบไร่

แม่สาวเข็มเงิน

ตอนที่ 53 ที่ดินสิบไร่

ฉวนหลี่เจิ้งอดไม่ได้ที่จะหันไปมองท่านปู่เจียงเล็กน้อย

เมื่อสักครู่เขาก็รู้สึกว่าคำพูดคำจาของท่านปู่เจียงเปลี่ยนไป ก่อนหน้านี้ยังบอกให้พวกผู้อาวุโสในตระกูลช่วยเป็นผู้ตัดสินใจอยู่เลย มาตอนนี้กลับเปลี่ยนเป็นให้พวกผู้อาวุโสในตระกูลมา ‘เป็นพยาน’ เสียอย่างนั้น

“เจียงหยุนชานกับเจียงป่าวชิงผู้เป็นทายาทของพี่ชายข้า ในวันนี้พวกเขาตั้งใจจะออกไปจากบ้านข้าเพื่อไปอยู่โดยลำพัง” ท่านปู่เจียงทำสีหน้าจงเกลียดจงชังก่อนจะพูดต่ออีกว่า “การทำอะไรก็ตามที่เงื่อนไขไม่สมบูรณ์พร้อม ผลลัพธ์ที่ได้ก็จะไม่ดี และข้าก็ไม่สามารถให้เด็กสองคนนี้อยู่ที่บ้านข้าไปตลอดได้ ไม่มีอะไรให้พูดแล้ว เช่นนั้นก็เอาตามนี้เถอะ…”

เจียงหยุนชานรู้สึกดีใจในใจ เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าคนในตระกูลเจียงไม่ได้ตั้งใจที่จะทำให้พวกเขาลำบากใจเลย

เจียงป่าวชิงเหลือบมองท่านปู่เจียงเล็กน้อย ราวกับว่านางมองทะลุความคิดที่อยู่ในใจเขาได้อย่างไรอย่างนั้น จากนั้นนางก็หัวเราะอย่างเย็นชาในใจ

มีผู้อาวุโสในตระกูลคนหนึ่งมีท่าทีไม่พอใจเล็กน้อย “ประเดี๋ยวนะ! ปีนี้เด็กสองคนนี้อายุเท่าไหร่กันแล้ว ข้าจำได้ว่าแค่สิบสองสิบสามขวบเองมิใช่รึ ? หากว่าแยกออกไปแล้วจะไปอยู่ที่ไหนล่ะ ?”

เจียงหยุนชานพูดขึ้น “ท่านผู้อาวุโสในตระกูลไม่ต้องห่วงเลยขอรับ ข้าซ่อมแซมบ้านเดิมที่เคยอยู่นิดหน่อยก็สามารถอาศัยได้แล้ว”

ผู้อาวุโสในตระกูลอีกคนก็ไม่ค่อยเห็นด้วยเช่นกัน “ถ้าพวกเจ้าสองคนแยกออกไปแล้วจะดำรงชีวิตด้วยอะไรล่ะ ? คงไม่ใช่อิ่มทิพย์เหมือนพวกเทพหรอกใช่ไหม ?”

เจียงป่าวชิงกะพริบตาปริบ ๆ  นางปรบมืออย่างไร้เดียงสาและพูดขึ้นยิ้ม ๆ “ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้บ้านข้ายังมีที่ดินสิบไร่หรอกหรือเจ้าคะ ?”

ภายในห้องเกิดความเงียบขึ้นทันที

ท่านปู่เจียงในเวลานี้นั้น เขาไม่คิดเลยว่าเจียงป่าวชิงหรือไอ้หมาป่าตาขาวที่ใจดำอำมหิตคนนี้จะมีความคิดเกี่ยวกับที่ดิน เขาจึงโกรธเลือดขึ้นหน้า

‘เจ้าอย่าแม้แต่จะคิด!’ เสียงคำรามของท่านปู่เจียงดังก้องอยู่ภายในห้อง

ท่าทางที่จะกินคนของท่านปู่เจียงทำให้ในใจของเจียงหยุนชานเหมือนมีอะไรมากระทบกัน เขารู้สึกเหมือนตัวเองจะอ่อนแอลงเล็กน้อย “เดิมทีนั่นเป็นที่ดินบ้านข้านะขอรับ…”

แตะต้องอะไรก็ได้แต่อย่ามาแตะต้องที่ดินในบ้าน!  ใครแตะต้องที่ดินของเขา ก็เท่ากับว่ากำลังแตะต้องชีวิตของเขาเช่นกัน

ท่านปู่เจียงโกรธจนทำจมูกฟุดฟิด ตาของเขาแดงก่ำ เขาจ้องเจียงหยุนชานด้วยความโกรธแค้น “ตอนที่รับเลี้ยงกระต่ายน้อยอย่างพวกเจ้าในปีนั้น ในเอกสารหลักฐานก็บอกไว้แล้วว่าที่ดินบ้านเจ้าจะต้องมาเป็นของพวกข้า”

เจียงหยุนชานไม่เคยเห็นท่าทางเช่นนี้ของท่านปู่เจียงมาก่อน ราวกับในอึดใจต่อมา ท่านปู่เจียงจะหยิบมีดและพุ่งเข้ามาต่อสู้กับเขาทำนองนั้น

อันที่จริงเจียงป่าวชิงรู้ว่าพี่ชายของนางมีนิสัยสุภาพอ่อนโยน นางจึงดึงเขาให้มาอยู่ข้างตัว จากนั้นก็มองท่านปู่เจียงอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ “ท่านปู่สองเจ้าคะ ท่านจะตะโกนเสียงดังไปใย ? ดีที่ท่านยังรู้ว่าที่ดินตรงนั้นเป็นของพวกข้าสองพี่น้อง ถ้าหากว่าไม่รู้ ข้ายังคิดว่าเรากำลังวางแผนเพื่อจะยึดที่ดินบ้านท่านเสียอีกนะเจ้าคะ”

ท่านปู่เจียงถูกเจียงป่าวชิงทำให้โมโหจนเขาแทบจะเป็นลมเสียตรงนั้น  ในใจเขา… ที่ดินตรงนั้นเป็นของบ้านเขา

ยังไม่รอให้ท่านปู่เจียงได้พูดอะไร เจียงป่าวชิงกลับชิงพูดขึ้นมาก่อน “หรือว่าท่านปู่สองใจแข็งพอที่จะให้เราสองพี่น้องออกไปอดตาย ? ก็เห็นอยู่ว่าท่านยอมให้เราแยกออกไปแล้ว แต่ท่านมายึดครองทรัพย์สินครอบครัวของพวกข้าสองพี่น้อง ไม่ยอมคืนเช่นนี้ เกรงว่าคงไม่ดีกระมัง ?”

ท่านปู่เจียงเกือบสำรอกออกมาเพราะท่าทางโลภมากของเจียงป่าวชิง …อะไรคือยึดครองทรัพย์สินครอบครัวไม่คืน ?!

เจียงอีหนิวดึงแขนท่านปู่เจียงอย่างร้อนใจ เขาอยากพูดอะไร แต่ท่านพ่อของเขาอยู่ที่นี่ มีอะไรให้ท่านพ่อของเขาเป็นคนพูดคงจะมีน้ำหนักกว่า

ท่านปู่เจียงสูดหายใจเข้าลึก ๆ จากนั้นเขาก็ทำจิตใจให้นิ่งลงพลางตีสีหน้าจริงจัง “ป่าวชิง ที่เจ้าพูดมันก็ไม่ถูก เรื่องที่ดินบ้านเจ้า ตอนที่รับเลี้ยงเจ้ากับพี่ชายเจ้าในตอนนั้น คนในวงศ์ตระกูลได้ไปหาหัวหน้าหมู่บ้านเพื่อให้เขาจัดทำหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรขึ้นมา โดยในหลักฐานระบุไว้ชัดเจนว่าให้ที่ดินสิบไร่นั้นเป็นรางวัลตอบแทนที่บ้านข้ารับเลี้ยงพวกเจ้า คนในบ้านเลี้ยงดูพวกเจ้ามาโดยไม่ได้อะไรตอบแทนมาตั้งหลายปี พวกเจ้าจะไปก็ไปสิ เหตุใดยังคิดจะเอาที่ดินไปด้วยอีก ไม่โลภไปหน่อยรึ ?”

ท่านเจียงพูดไปด้วยและส่งสายตาให้เจียงอีหนิวไปด้วยเพื่อบอกให้เขาไปเรียกหลีโผจื่อมาที่นี่

เหล่าผู้อาวุโสในตระกูลอยู่ที่นี่ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นหัวหน้าครอบครัว จึงฉีกหน้าเจ้าเด็กบ้าคนนี้ได้ไม่ค่อยสะดวก เรื่องหยาบคายบางเรื่อง เห็นทีให้หลีโผจื่อที่ชอบเอะอะโวยมาจัดการคงจะเหมาะสมกว่า

เจียงอีหนิวเข้าใจ เขาแอบย่องออกไปด้านนอกทันที

เมื่อเจียงป่าวชิงเห็นการกระทำของท่านปู่เจียงกับเจียงอีหนิว นางก็เดาได้คร่าว ๆ แล้วว่าพวกเขากำลังคิดจะทำอะไร ดูท่าแล้วคงจะไปขอความช่วยเหลือจากภายนอกอีกเป็นแน่  เพียงแต่ความช่วยเหลือจากภายนอกของตระกูลเจียงนั้น โดยปกติก็มีเพียงหลีโผจื่อกับโจซื่อเท่านั้น

ไม่ใช่ว่าเจียงป่าวชิงอวดดีอะไร แต่กำลังสู้รบของหลีโผจื่อกับโจซื่อไม่ได้อยู่ในสายตาของนางเลย

“ท่านบอกว่าเลี้ยงดูพวกข้าอย่างนั้นรึเจ้าคะ ?” เจียงป่าวชิงพูดขึ้นเสียงเบา “ที่ผ่านมาพวกท่านแค่ให้ข้าวกล้องพวกข้าปีละถุง นี่เรียกว่าเลี้ยงดูแล้วหรือเจ้าคะ ? พี่ชายข้ากลัวข้าหิวตาย เขาจึงต้องไปเป็นเด็กรับใช้ที่โรงเรียนในอำเภอและต้องเรียนหนังสือไปด้วย เพื่อที่เขาจะได้เก็บข้าวกล้องถุงนั้นไว้ให้ข้า ปีนี้ข้าอายุสิบสามขวบแล้ว แต่สภาพไม่แตกต่างอะไรกับเด็กวัยสิบขวบเสียด้วยซ้ำ เราสองคนพี่น้องอยู่ที่บ้านพวกท่านมาเจ็ดปี ที่พวกท่านทำก็แค่ไม่ให้เราสองคนอดตาย…”

“ไม่อดตายก็ดีมากแล้วมิใช่รึอย่างไร ?! เจ้ายังจะทำไมอีก ?”

หลีโผจื่อก้าวยาว ๆ เข้ามาจากด้านนอก นางดึงม่านให้หล่นลงมาและตะโกนขึ้นมาเสียงดังว่า “ตอนนี้บ้านไหน ๆ เขาก็เลี้ยงลูกเพื่อไม่ให้อดตายกันทั้งนั้น เราเป็นครอบครัวยากจน หรือเจ้าคิดว่าตัวเองเป็นคุณหนูมีเงินมีทอง ?  ถุย! เจ้าอยากได้ที่ดินสิบไร่ของบ้านข้า ฝันไปเถอะ!”

เจียงป่าวชิงยังไม่ทันได้พูดอะไร จู่ ๆ ก็มีผู้อาวุโสในตระกูลคนหนึ่งพูดขึ้นมาอย่างไม่พอใจเสียก่อน

“ประเดี๋ยวก่อน! สะใภ้อย่างเจ้าพูดอะไรออกมา ? เมื่อวันก่อน ข้ายังเห็นพี่ฉายของพวกเจ้ารูปร่างล่ำสันมากอยู่เลย แล้วดูป่าวชิงกับหยุนชาน คนหนึ่งผอมเหมือนกับลิงอดอยาก อีกคนก็อ่อนแอจนลมจะพัดปลิวอยู่รอมร่อ! เจ้าเอาที่ดินสิบไร่ของบ้านพวกเขาไป แต่เจ้าปฏิบัติกับพวกเขาเช่นนี้น่ะหรือ ? ตระกูลเจียงของเราไม่ได้โหดเหี้ยมแบบพวกเจ้าหรอก ข้าจะบอกให้!”

ผู้อาวุโสในตระกูลอีกคนก็พูดขึ้นมาอย่างไม่พอใจเช่นกัน “ใช่ แล้วดูเสื้อผ้าของเด็กสองคนนี้สิ! รอยปะด้านบนวางซ้อนกับรอยปะเก่า ๆ แบบนั้น เหตุใดคนในบ้านพวกเจ้าถึงไม่มีใครใส่เสื้อผ้าแบบนี้ ?”

ผู้อาวุโสในตระกูลสองคนนี้ ถามจี้เสียจนหลีโผจื่อกับท่านปู่เจียงพูดไม่ออกเลยทีเดียว พวกเขาเอาแต่อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ อยู่อย่างนั้น

เจียงอีหนิวไม่ยอมกับการที่หลีโผจื่อกับท่านปู่เจียงไม่สนใจเรื่องนี้ นี่อาจเป็นเพราะพวกเขาไม่ค่อยรู้อะไรมาก แต่เขาเองเคยเห็นโจซื่อนำเสื้อผ้าที่ต้ายากับเอ้อยาใส่ไม่ได้แล้วไปโยนให้เจียงหยุนชานกับเจียงป่าวชิง ซึ่งโดยปกติแล้วเจียงป่าวชิงก็มีเสื้อผ้าเป็นของตัวเอง แต่เมื่อพวกผู้อาวุโสในตระกูลมาที่นี่วันนี้ นางกลับจงใจใส่เสื้อผ้าพี่ชายของนาง

ช่างเจ้าเล่ห์จริง ๆ!

เจียงอีหนิวยิ่งอยู่ยิ่งอึดอัดใจขึ้นเรื่อย ๆ เขาพูดขึ้น “ลุงสอง ท่านอาขอรับ เจ้าเด็กบ้าผู้นี้ต้องจงใจใส่เสื้อผ้าพี่ชายของนางแน่ ๆ เมียข้าเอาเสื้อผ้าของต้ายากับเอ้อยาไปให้พวกเขาออกจะบ่อย เหตุใดนางจะไม่มีเสื้อผ้าใส่ล่ะขอรับ ?” เจียงอีหนิวฟ้องเรื่องของเจียงป่าวชิงทันที

แต่ทว่าท่าทางของเจียงป่าวชิงนั้น นางดูไม่ได้รับความเป็นธรรมยิ่งกว่าเจียงอีหนิว  นางไม่รอให้เหล่าผู้อาวุโสในตระกูลเอ่ยถามแต่เป็นฝ่ายชิงพูดขึ้นมาก่อน

“ผู้อาวุโสในตระกูลเห็นหรือเปล่าเจ้าคะ ? เสื้อผ้าที่พี่ต้ายาใส่ไม่ได้โยนต่อให้พี่เอ้อยา ส่วนเสื้อผ้าที่พี่เอ้อยาใส่จนชำรุดแล้วก็นำมาโยนต่อให้ข้า พี่ชายข้าจึงช่วยข้าตัดเย็บและทำเสื้อผ้าที่สามารถใส่ได้ให้ข้าสองสามชุด… ก่อนหน้านี้ข้าได้รับบาดเจ็บที่ไหล่ทำให้เสื้อผ้าเปื้อนไปด้วยเลือด จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้ซัก ส่วนเสื้อผ้าอีกชุดก็คือชุดที่ท่านอาสาดเลือดหมาดำใส่อย่างไรล่ะเจ้าคะ จึงทำให้ข้าใส่ชุดนั้นออกมาพบใครไม่ได้อีก  ผู้อาวุโสในตระกูลทุกท่านเป็นผู้ที่มีคุณธรรมและศีลธรรมสูงส่ง ข้าไม่กล้าพูดโกหกต่อหน้าพวกท่าน ถ้าหากไม่เชื่อก็สามารถไปดูที่ห้องของข้ากับพี่ชายได้เลยว่ามีเสื้อผ้าที่ใส่ได้จริงหรือเปล่า”

เจียงป่าวชิงแสร้งทำเป็นน้อยใจอย่างที่สุด แต่ในใจนางเบิกบานและนางอยากจะเอ่ยชมเจียงอีหนิวสักคำสองคำ

ที่เจียงอีหนิวเพิ่งทำไปนั้น เป็นการส่งหมอนให้ในตอนที่สัปหงกอยู่พอดีแท้ ๆ เลย  และนั่นทำให้นางสามารถหยิบยกประเด็นเรื่องเลือดหมาดำได้พอดีเช่นกัน