ตอนที่ 54 ตอนนั้นเจ้าไม่ได้พูดเช่นนี้

แม่สาวเข็มเงิน

ตอนที่ 54 ตอนนั้นเจ้าไม่ได้พูดเช่นนี้

ไม่ทำให้เจียงป่าวชิงต้องผิดหวัง หนึ่งในผู้อาวุโสในตระกูลเอ่ยถามเรื่องหมาดำที่เจียงป่าวชิงพูดถึงเมื่อสักครู่จริง ๆ

“ไม่ใช่ เลือดหมาดำนี้ถูกใช้เพื่อขับไล่วิญญาณชั่วร้ายมาตั้งแต่สมัยโบราณ อยู่ดี ๆ ทำไมอาเจ้าถึงได้สาดเลือดหมาดำใส่เจ้าล่ะ ?”

เมื่อเจียงป่าวชิงได้ยินดังนั้น นางก็ยิ่งแสดงสีหน้าน้อยใจมากกว่าเดิม และทำเหมือนจะร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อ เล่นละครก็ต้องเล่นให้สุด

เจียงป่าวชิงยกแขนเสื้อขึ้นและทำเป็นเช็ดน้ำตาที่ไม่มีอยู่จริง ตอนนี้นัยน์ตาคู่นั้นของนางจึงเต็มไปด้วยความโศกเศร้าดูน่าเวทนาเป็นอย่างยิ่ง “ท่านผู้อาวุโสในตระกูลเจ้าคะ หรือว่าข้าต้องเป็นคนปัญญาอ่อนไปตลอดชีวิต ท่านย่าสองกับท่านอายืนกรานว่าที่ข้าหายจากโรคปัญญาอ่อนได้ก็เพราะถูกผีน้ำในแม่น้ำคราดเข้าสิงร่าง บอกว่าข้าเป็นผีชั่วร้ายและบอกว่าข้าต้องการทำร้ายพี่ฉาย พวกนางถึงได้สาดเลือดหมาดำใส่ข้าแบบนี้… และที่ข้ากระโดดแม่น้ำคราด ก็เพราะข้าไม่อยากแต่งงานกับคนพิการวัยสี่สิบกว่าปีที่มีดวงตาและปากคดเคี้ยวเบี้ยวบิดอะไรนั่นต่างหากล่ะเจ้าคะ ผลสุดท้ายคือมีความโชคดีในความโชคร้าย แม่น้ำคราดทำให้ข้าฟื้นขึ้นมา ตลอดหลายปีมานี้ราวกับคมันเป็นวามฝัน และข้ายังจำเรื่องในความฝันได้อย่างชัดเจน เริ่มแรกข้าดีใจมาก เพราะในที่สุดข้าก็จะไม่ต้องเป็นภาระของคนในบ้านอีกแล้ว และข้ายังคิดว่าเรื่องที่พวกคนในบ้านของปู่สองขายข้าให้คนพิการวัยสี่สิบกว่าปีในราคาห้าตำลึงเช่นนั้นจะไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว…”

ฟังมาถึงตรงนี้ ไม่ว่าจะเป็นใครก็สามารถรู้ได้ทันทีว่าการสาดเลือดหมาดำเป็นเพียงความเสียหายที่ไม่มีเค้ามาก่อนเท่านั้น

หากจะพูดอย่างหยาบคาย จากเรื่องที่สาดเลือดหมาดำใส่บนตัวเด็กสาวกำพร้า จะไม่แปลกใจเลยถ้ามีคนบอกว่าตระกูลเจียงจงใจปัดแข้งปัดขาเจียงป่าวชิงเพื่อต้องการฆ่านางให้ตาย

ขายหน้า!  น่าขายหน้าจริงๆ!

หนึ่งในผู้อาวุโสในตระกูลหันไปจ้องท่านปู่เจียงด้วยแววตาโหดเหี้ยม “น้องเจ็ด เจ้าร้ายกาจมากจริง ๆ ตระกูลเจียงของเราไม่ได้ยากจนถึงกับดำรงชีวิตต่อไม่ได้เสียหน่อย อย่างมากก็แค่ส่งลูกสาวเข้าไปในอำเภอเพื่อทำงานให้กับครอบครัวใหญ่ ต่อมาก็ยังสามารถไถ่ถอนกลับมาได้ และในหมู่บ้านละแวกนี้ ก็ไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่อะไรเลยที่จะให้แต่งงานกับคนดี ๆ สักคน เจ้ายังดีที่ในบ้านเจ้ายังมีที่ดินเยอะกว่าคนอื่นตั้งสิบไร่ เหตุใดเจ้ายังผลักหลานสาวลงไปในขุมนรก ? ป่าวชิงกับหยุนชานเป็นทายาทของพี่ชายเจ้า  พี่ชายเจ้าเหลือเชื้อพันธุ์สองคนนี้ไว้บนโลก! แต่ดูเจ้าทำกับพวกเขาสิ ถ้ามันถึงขั้นนั้นจริง ๆ เจ้าก็จะขายหลานสาวของตัวเองอย่างนั้นหรือ ? ถ้าเป็นแบบนั้น ตอนที่เจ้าลงไปในยมโลก เจ้าจะไม่เสียใจที่ทำกับพี่ชายเจ้าเช่นนี้หรือ ?”

ผู้อาวุโสในตระกูลอีกคนก็พูดขึ้นมาอย่างใช้อารมณ์เช่นกัน “เช่นนี้แล้วยังมีหน้าจะเอาที่ดินสิบไร่ของพี่ชายเจ้าอีกรึ ?”

สีหน้าของท่านปู่เจียงเปลี่ยนไปทันที เขาหน้าแดงลามไปถึงใบหูและพูดอะไรไม่ออกเลย

“โธ่! อย่าไปฟังเจ้าเด็กนี่พูดเหลวไหล!” หลีโผจื่ออดไม่ได้ที่จะกระโดดออกมา “การที่ในบ้านเอาที่ดินสิบไร่ของพวกเขามันก็มีเหตุผล …หรือว่าที่ดินสิบไร่นั้นไม่ใช่สิ่งที่พวกเราควรได้จากการดูแลเด็กสองคนนี้ที่กินข้าวคนอื่นโดยไม่ต้องออกเงินออกทองล่ะ ? …ถึงแม้ว่าชีวิตการกินอยู่จะไม่ได้ดีอะไร แต่พวกท่านลองคิดดู ตอนนั้นเจ้าเด็กบ้านี่เป็นเพียงเด็กที่ผิดปกติทางสมองเท่านั้น เป็นเรื่องปกติที่จะมีจุดที่ดูแลไม่ทั่วถึงบ้าง พวกท่านอย่าไปพูดถึงเรื่องของเจ้าเด็กบ้านี่เลยดีกว่า  เหตุใดพวกท่านไม่พูดถึงหยุนชานเล่า ? ในหมู่บ้านละแวกนี้ มีใครที่สามารถไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนในอำเภอได้อย่างเขาบ้าง ? ส่วนใหญ่ก็ช่วยที่บ้านเลี้ยงวัวเลี้ยงแกะและช่วยงานที่บ้านตั้งแต่ยังเล็กกันทั้งนั้น คนในบ้านรู้ว่าหยุนชานเป็นทายาทของพี่ชาย จึงอยากให้เขามีอนาคตที่ดี และจะได้เป็นหน้าเป็นตาให้กับพี่ชายด้วยเช่นกัน สุดท้ายคนในบ้านจึงยอมกินไม่อิ่มและประหยัดเพื่อส่งหยุนชานไปเข้าเรียนที่โรงเรียนในอำเภอ หลานแท้ ๆ ของข้าเองข้ายังทำใจเสียเงินส่งเขาไปเรียนหนังสือในอำเภอไม่ได้เสียด้วยซ้ำ วันนี้พวกท่านก็เห็นแล้วว่าพวกเราสอนหยุนชานดีขนาดไหน”

เจียงหยุนชานเป็นเด็กที่ดีมากก็จริง แต่ไม่ใช่ได้มาจากการสั่งสอนของท่านปู่เจียงกับหลีโผจื่อแน่ ๆ

เพียงแต่เมื่อเหล่าผู้อาวุโสในตระกูลที่ไม่รู้สถานการณ์ภายในได้ฟังคำพูดของหลีโผจื่อแล้ว พวกเขาก็จะเกิดความลังเลในใจอย่างเลี่ยงไม่ได้เท่านั้นเอง

ใช่ ก่อนหน้านี้เจียงป่าวชิงเคยเป็นคนปัญญาอ่อนมาก่อน และการที่พวกเขาปฏิบัติกับนางไม่ดีก็เป็นธรรมชาติของมนุษย์จริง ๆ นั่นแหละ

พวกเขาจึงต้องหันมาดูเจียงหยุนชานแทนอย่างไรล่ะ ตอนนี้ก็เจียงหยุนชานมีอนาคตที่สดใสขนาดนั้น คนอื่นก็คงคิดว่าตระกูลเจียงทุ่มเทแรงกายในการเลี้ยงดูเขาจริง ๆ และไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะมีคนเรียนหนังสือสักคนหลุดออกมาจากตระกูลนี้…

ผู้อาวุโสในตระกูลอดไม่ได้ที่จะเผยความสั่นคลอนออกมาทางสีหน้าอีกครั้ง

หลีโผจื่อรู้สึกภาคภูมิใจ ในใจของนาง เจียงหยุนชานเป็นคนหน้าบางคนหนึ่ง และที่นางพูดก็เป็นความจริงทุกอย่าง ตอนที่เจียงหยุนชานไปเรียนหนังสือ ที่บ้านถึงกับต้องเสียเงินสิบกว่าสลึงเลยเชียว!

“ท่านผู้อาวุโสในตระกูลทุกท่าน” เจียงหยุนชานพูดขึ้นด้วยความเคารพ “ตลอดหลายปีมานี้ การใช้ชีวิตของน้องสาข้านั้นไม่ง่ายเลยจริง ๆ  ข้าไม่อยากให้นางลำบากอีกต่อไปแล้ว ข้าอยากให้นางมีความสุขตามที่หวังไว้ไปตลอดชีวิต… ครอบครัวปู่สองทำกับพวกเราอย่างไร อันที่จริงท่านผู้อาวุโสในตระกูลสามารถออกไปถามคนข้างนอกนั่นได้เลย ถ้าพวกเขาเต็มใจให้เราสองพี่น้องอยู่ในบ้านนี้ต่อไปจริง ๆ เราก็คงไม่จำเป็นต้องคิดหาหนทางที่จะแยกออกไปเช่นนี้ และไม่คิดจะเอาที่ดินสิบไร่คืนมาด้วยเช่นกัน ตอนนั้นในเอกสารหลักฐานเขียนไว้อย่างชัดเจนว่าให้ที่ดินสิบไร่นั้นกับครอบครัวท่านปู่สอง เพื่อเป็นค่าตอบแทนที่ครอบครัวท่านปู่สองรับเลี้ยงพวกเรา เพื่อจะได้นำเงินมาใช้เลี้ยงดูข้ากับน้องสาว ส่วนเรื่องผลผลิตที่ได้จากที่ดินสิบไร่นั้นที่นำมาใช้กับข้าและน้องสาวเป็นจำนวนเงินเท่าไหร่ ท่านปู่สองกับท่านย่าสองคงจะรู้ดี… ดังนั้น ตอนที่เรากำลังจะแยกออกไป จึงเป็นเรื่องที่ถูกต้องสำหรับข้าสองคนที่จะเอาที่ดินสิบไร่ที่เป็นของครอบครัวเราคืนมา”

หลีโผจื่ออดไม่ได้ที่จะก่นด่าขึ้นมา “เรื่องถูกต้องบ้านเจ้าสิ เจ้ามันเป็นไอ้หมาป่าตาขาวอกตัญญู ตลอดหลายปีมานี้คนที่บ้านปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไม่ยุติธรรมหรืออย่างไร ?! หา ?”

ฉวนหลี่เจิ้งที่นั่งอยู่บนเก้าอี้และเป็นผู้ฟังมาโดยตลอดกลับพูดขึ้นอย่างเชื่องช้าในเวลานี้ “โผจื่อ ตอนนั้นเจ้าไม่ได้พูดเช่นนี้ ข้ายังจำเรื่องที่พวกเจ้าไม่ยอมให้หยุนชานไปเข้าเรียนที่ในอำเภอในปีนั้นได้เป็นอย่างดี และตอนนั้นที่พวกเจ้าเสียทองแดงสิบกว่าแผ่นข้าก็ยังจำได้เช่นกัน… เหตุใดพอมาอยู่ที่ปากของพวกเจ้าถึงได้กลายเป็นประหยัดไปได้ ?  อีกอย่าง ตั้งแต่หยุนชานเรียนหนังสือ ข้าได้ยินเพื่อนเก่าที่อยู่ที่โรงเรียนในอำเภอบอกว่าเงินนั้นล้วนเป็นค่าตอบแทนที่หยุนชานได้มาจากการไปทำงานเป็นเด็กรับใช้ให้คนอื่น และเพิ่งรู้ว่าที่บ้านไม่เคยให้ทองแดงเขาเลย บางครั้งสองสามวันเด็กคนนี้ถึงจะสามารถกินโจ๊กได้สักคำ เด็กคนนี้ลำบากมากจริง ๆ… ที่โรงเรียนในอำเภอมีหลายคนที่พูดกันว่าทำไมตระกูลเจียงถึงทำกับลูกหลานของตัวเองแบบนี้ หรือการที่เด็กคนนี้มีอนาคตที่ดีจะไม่ใช่ความภาคภูมิใจของวงศ์ตระกูล ? เหตุใดแม้แต่ข้าวก็ยังไม่ให้เขากินแบบนี้ ?”

ท่านปู่เจียงกับหลีโผจื่อไม่คิดว่าฉวนหลี่เจิ้งจะโยงมาเรื่องนี้ได้ แต่ที่ฉวนหลี่เจิ้งพูดมาก็เป็นเรื่องจริงทั้งหมด  ชั่วอึดใจนั้นพวกเขาก็หาอะไรมาคัดค้านไม่ได้แล้วจริง ๆ จึงทำได้เพียงอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ อยู่อย่างนั้น สีหน้าของแต่ละคนก็แทบจะดูไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

ผู้อาวุโสในตระกูลมองหน้ากันก็รู้แล้วว่าที่หัวหน้าหมู่บ้านพูดเป็นความจริงทั้งหมด  พวกเขาไม่คิดว่าตระกูลเจียงจะทำสิ่งที่น่าอับอายขายขี้หน้าไปถึงที่โรงเรียนในอำเภอเช่นนี้

คนที่โรงเรียนในอำเภอล้วนเป็นพวกที่มีความรู้กันทั้งนั้น!

คนที่มีความรู้เชียวนะ!

หลีโผจื่อยังอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่ผู้อาวุโสในตระกูลเห็นเข้าก่อน เขาจึงตวาดขึ้นมาเสียงดังด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึมเต็มที่ “หลีโผจื่อเจ้าพอได้แล้ว! คนในตระกูลเจียงกำลังคุยกัน เจ้าที่เป็นสะใภ้ต่างสกุลจะพูดสอดขึ้นมาทำไม ?! พอ! พวกข้าเห็นแล้วว่าสถานการณ์ของบ้านพวกเจ้าเป็นอย่างไร และตอนนี้ก็กำลังปรึกษาเพื่อหาแผนรับมืออยู่  เจ้าไม่ต้องพูด หนวกหูน่ารำคาญ!”

คำพูดนี้ทำให้หลีโผจื่อโกรธมาก แต่นางก็ไม่กล้าใช้อารมณ์คัดค้าน ทำได้เพียงอดกลั้นสีหน้าและกัดริมฝีปากไว้อยู่อย่างนั้น

พวกผู้อาวุโสในตระกูลปรึกษากันด้วยเสียงที่เบาอยู่สักพัก ท่านปู่เจียงกับหลีโผจื่อร้อนใจจนพวกเขาแทบจะทนไม่ไหวแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่กล้าไปยุ่งวุ่นวายอะไรเช่นกัน ทำได้เพียงจ้องเจียงป่าวชิงกับเจียงหยุนชานเขม็งด้วยสายตาที่ราวกับนกแร้งจ้องขย้ำอย่างไรอย่างนั้น