บทที่ 52 ช่วยลูกของข้าด้วย

หมอผีแม่ลูกติด

บทที่ 52

ช่วยลูกของข้าด้วย

“ข้าจะทำสุดความสามารถเลย” หลินซีเหยียนกล่าว แล้วจากนั้นก็พาเจียงซิงชูเข้ามาในโรงหมอหุยชุน

เพราะองค์ชายสิบสี่นั้นหล่อมากและผู้หญิงที่สลบนั้นก็สวยมากด้วย จึงดึงดูดผู้คนมากมายระหว่างทางให้พากันมามุงดูจำนวนมาก

แล้วชายชราคนหนึ่งที่เดินโขยกเขยกมาข้างหน้า จากนั้นก็ยืนอยู่ข้างๆและมองดูหญิงสาวที่กำลังสลบอยู่เงียบๆ หลังจากนั้นสักพักเขาก็ได้ลูบหนวดของเขาแล้วกล่าว “นางนั้นซีดเซียวมาก ข้าเกรงว่านางนั้นคงจะกลัวมากจนสลบไปเช่นนั้น”

หลินซีเหยียนก็ได้ยักคิ้วขึ้นมาเมื่อได้ยินที่เขาพูด “อื้ม ที่ผู้อาวุโสกล่าวมาถูกต้องแล้ว”

จากนั้นนางก็ได้มองไปที่องค์ชายสิบสี่แล้วกล่าว “ไม่ต้องกังวลไปนะองค์ชาย อีกไม่นานนางก็คงจะฟื้นแล้วล่ะ”

เจียงซิงชูที่ยินนางกล่าวก็ได้รู้สึกโล่งอกขึ้นมา แล้วจากนั้นก็มองไปที่หลินซีเหยียนอย่างสงสัย “พี่สะใภ้ ท่านมาทำอะไรที่โรงหมอเล็กๆนี่เหรอ?”

หลินซีเหยียนก็ได้ยืดอกแล้วยิ้มอย่างภาคภูมิใจแล้วกล่าว “ข้าอยู่เฉยๆมานานเกินไปน่ะ ข้าจึงอยากจะหาอะไรทำก็เลยเปิดโรงหมอขึ้นที่นี่”

“ถ้าอย่างนั้นโรงหมอแห่งนี้ก็เป็นของพี่สะใภ้เหรอ?” เจียงซิงชูมองอย่างตกใจ แล้วจากนั้นเขาก็บอกว่าจะแวะมาบ่อยๆในภายหลัง

หลินซีเหยียนที่ได้ยินเข้าก็ได้รีบบอก “ที่นี่คือโรงหมอนะ ไม่ใช่สถานที่ให้ท่านมาเที่ยวเล่น แค่มาใช้บริการบ้างก็พอ”

แล้วผู้คนที่อยู่ด้านนอกของโรงหมอเมื่อพบว่าไม่มีอะไรร้ายแรงกับหญิงสาวคนนี้แล้ว ก็ไม่รู้สึกตื่นเต้นที่จะอยู่ต่อ จึงได้คิดจะพากันแยกย้าย แต่ในเวลานั้นเองก็มีหญิงสาวที่วิ่งมาพร้อมกับเด็กอายุ 1 ขวบในอ้อมแขนของนาง

นางวิ่งชนผู้คนจำนวนมากในระหว่างทาง โดยที่นางไม่มีเวลาที่จะหยุดขอโทษ นางจึงได้วิ่งไปและขอโทษไป

“ขอทานตัวเหม็นเช่นนี้มาจากไหนกัน? ช่างโชคร้ายจริงๆ” ชายแต่งตัวดีคนหนึ่งปัดตรงที่ที่ถูกชนโดยผู้หญิงคนนั้นแล้วพูดด้วยความขยะแขยง

“นั่นสิ, แล้วยังจะกล้ามาโรงหมอด้วยสภาพเช่นนั้นอีก? เจ้ามีเงินรึเปล่า?” ผู้คนต่างก็พากันมองไปที่หญิงสาวที่แต่งตัวสกปรกและปุปะ แล้วก็พูดว่านางด้วยถ้อยคำที่ดูถูก

ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องไม่ดีที่ไปว่าคนอื่นเช่นนั้น แต่พวกเขาก็รู้สึกดี

“ท่านหมอได้โปรดช่วยลูกของข้าด้วย” หญิงสาวอุ้มเด็กมา นั่งลงบนพื้นและโขกหัวให้กับหลินซีเหยียนรัวๆ ไม่นานนักหน้าผากของนางก็แตก

“ลุกขึ้นมาแล้วบอกข้าก่อนว่านี่มันอะไร? หลินซีเหยียนก็ได้คุกเข่าประคองตัวนางขึ้นมา แต่นางก็ปฏิเสธที่จะลุกขึ้นยืน

“ท่านหมอ ข้าไปมาหลายโรงหมอแล้ว แต่เพราะว่าข้าไม่มีเงินเลย จึงไม่มีใครที่ยอมรักษาเด็กคนนี้ให้” หญิงสาวรู้ว่าโรงหมอแห่งนี้เป็นที่พึ่งสุดท้ายของนางแล้ว นางจึงไม่ลุกขึ้นยืนและไม่แม้แต่จะคิดจะลุกด้วยซ้ำ

หลินซีเหยียนเองก็มีลูกน้อยและเผชิญกับความยากลำบากต่างๆมากมาย นางจึงรู้ดีถึงความเจ็บปวดและความสิ้นหวังของหญิงสาวคนนี้ นางจึงได้กล่าวอย่างอ่อนโยน “ไม่ต้องห่วงนะ ข้าจะรักษาลูกของเจ้าเอง”

หญิงสาวก็รู้สึกโล่งอกขึ้นมาเมื่อนางได้ยินเช่นนั้น หลินซีเหยียนก็ได้รับเด็กคนนั้นมาจากอ้อมแขนของนางแล้ววางลงกับเตียง นางมองดูเด็กอายุขวบเดียวซึ่งตัวสีออกน้ำเงินและริมฝีปากคล้ำ แค่มองปราดเดียวนางก็รู้ว่าเด็กคนนี้ได้รับพิษ

“มันสายเกินไปแล้ว เด็กคนนี้รักษาไม่ทันแล้ว” ชายชราเมื่อสักครู่ส่ายหัวของเขาอย่างเสียดาย ที่ชีวิตน้อยๆต้องจากไปเช่นนี้

“ไม่ ลูกของข้า!” หญิงสาวลงไปทรุดกับพื้นอย่างอ่อนแรง และร้องไห้ออกมา

“อย่าเพิ่งร้องไห้ตอนนี้ ยังพอมีทางรักษาอยู่ บอกข้ามาว่าเขากินอะไรเข้าไป?” หลินซีเหยียนหงุดหงิดกับเสียงร้องของนาง และพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา

เมื่อหญิงสาวได้ยินว่ายังพอรักษาได้ ก็ได้รีบลุกขึ้นมาแล้วกล่าว “เนื่องจากข้าไม่มีนมพอ ข้าจึงได้ป้อนเขาด้วยซาลาเปา”

“แค่นั้นเหรอ?” หลินซีเหยียนถามกลับและคิ้วขมวด ลำพังแค่ซาลาเปาคงไม่ทำให้เป็นเช่นนี้แน่

“แม่นาง ข้าเกรงว่านางคงจะให้ลูกของนางกินอาหารเสียแล้วแน่” ชายชรากล่าวด้วยสีหน้าช่วยไม่ได้ สถานการณ์เช่นนี้เป็นเรื่องปกติมาก อย่างไรเสียขอทานเหล่านี้คงสามารถหาได้แค่อาหารเสียแล้วกินเท่านั้น

หลินซีเหยียนก็ผงกหัวแล้วรีบทำให้เด็กคนนั้นอ้วกออกมา หลายคนต่างก็เบือนหน้าหนีเพราะพวกเขาทนต่อกลิ่นเหม็นอ้วกไม่ไหว มีเพียงหลินซีเหยียนที่ไม่มีสีหน้ารังเกียจเลย

เด็กคนนั้นอ้วกออกมาตั้งมากมาย สีหน้าของเขากลับดีมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เขาก็ยังอยู่ในสภาพกำลังจะตาย

หลินซีเหยียนจึงได้หยิบเอาเข็มเงินออกมาจำนวนหนึ่งแล้วปักลงไป และจากนั้นก็หยิบเอายาที่อยู่ข้างเอวของนางออกมา ยาตัวนี้มีกลิ่นที่แรงมากและคงอยู่เป็นเวลานาน ทุกคนที่เห็นต่างก็รู้ว่านี่ต้องไม่ใช่ยาธรรมดาแน่

“หรือว่าจะเป็นยาชุบชีวิต?” ชายชรามองไปที่ หลินซีเหยียนอย่างประหลาดใจ

หลังจากที่หลินซีเหยียนป้อนยานั้นให้เด็กกิน นางก็มองไปที่ชายชราที่รอบรู้แล้วยิ้มให้และกล่าว “ท่านรู้เยอะจริงนะ”

ชายชราก็ได้หรี่สายตาของเขาลงแล้วมองไปที่ หลินซีเหยียน “แม่นาง ไม่ทราบว่าเจ้ามีความสัมพันธ์อันใดกับหมอผีอย่างนั้นรึ?”

“เคยพบกันโดยบังเอิญ” แววตาระแวดระวังก็ได้ปรากฏในสายตาของหลินซีเหยียน การที่สามารถเดาได้ว่าเกี่ยวข้องกับหมอผีเพียงแค่เห็นยาตัวเดียว ชายชราผู้นี้จะต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ

“เป็นเช่นนี้นี่เอง ชายชราผู้นี้เคยพบกับหมอผีที่คอยช่วยผู้คนมากมายมาก่อนและชื่นชมเขา ที่ที่อยู่ของหมอผีนั้นก็ไม่ปรากฏแน่ชัด ข้าจึงหาเขาไม่พบไม่อย่างนั้นก็คงได้คุยกันบ้างแล้ว” ชายชรามองมาที่นาง จากนั้นก็คิดอะไรบางอย่าง

เขามองไปที่หลินซีเหยียนแล้วกล่าวต่อ “ชื่อของข้า จงเจียง เจ้าจะเรียกข้าว่าลุงจงก็ได้ ข้าเคยทำงานอยู่โรงหมอใหญ่แห่งหนึ่งมาก่อน ไม่ทราบว่าแม่นางพอจะจ้างหมอเพิ่มที่นี่ไหม?”

แล้วก็ปรากฏแววตาที่เป็นประกายในดวงตาของ หลินซีเหยียน “ลุงจง ที่นี่กำลังขาดหมออยู่พอดีเลย”

ด้วยเสียงคุยที่ดังก็ได้ทำให้เด็กคนนั้นร้องเสียงดังขึ้นมา หลินซีเหยียนก็ได้ยิ้มขึ้นมา ผู้คนมากมายที่อยู่หน้าประตูที่กำลังกังวลเรื่องของเด็กคนนี้ต่างก็ยิ้มขึ้นมาเช่นกัน

แล้วจากวันนี้ไปชื่อเสียงของหมอเทวดาในโรงหมอหุยชุนก็ได้แพร่กระจายไปทั่ว แต่ก็เป็นเรื่องที่เกิดหลังจากนี้

ในท้ายที่สุดเหลินซีเหยียนก็ได้รับขอทานแม่ลูกเอาไว้ หญิงสาวมีชื่อว่าสวีลี่ ส่วนลูกของนางชื่อว่าสวีไหเอิน

“พี่สะใภ้สี่ ไม่คิดมาก่อนเลยว่าความสามารถด้านการรักษาของท่านจะยอดถึงเพียงนี้” องค์ชายสิบสี่ที่มองดูทุกสิ่งทุกอย่างเมื่อสักครู่ด้วยตาของเขา ก็รู้สึกชื่นชมพี่สะใภ้สี่ของเขามากขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อคิดถึงเรื่องที่เหล่าลูกน้องของเขาบ่นให้เขาฟังว่า หลินซีเหยียนนั้นก็เป็นแค่หญิงสาวที่ถูกทิ้ง ไม่ก็หญิงสาวที่น่ารังเกียจ ไม่เหมาะสมกับองค์ชายเย่เลยสักนิด ในตอนแรกเขาก็สงสัยอยู่ว่าทำไมพี่สี่ถึงได้ยอมรับการกลั่นแกล้งจากฮ่องเต้เช่นนี้ เพราะถ้าพี่สี่ไม่ต้องการจริงๆ ก็จะต้องมีเป็นพันเป็นหมื่นวิธีที่จะปฏิเสธ

จนกระทั่งถึงวันนี้ เขาก็เข้าใจแล้วว่าพี่สะใภ้สี่ของเขานั้นเป็นคนที่ใจดี ปราศจากความเย่อหยิ่งแบบเหล่าคุณหนู แล้วยังเก่งเรื่องการรักษา ซึ่งเรียกได้ว่าดีมากเกินไปด้วยซ้ำ

“ข้าอยู่ที่ไหน?” หญิงสาวที่นอนอยู่ที่เตียงก็ได้ฟื้นขึ้นมา

หลินซีเหยียนจึงได้เดินไปหาและช่วยประคองนางลุกขึ้นมา “แม่นาง ตอนนี้เจ้าอยู่ที่โรงหมอหุยชุน”

“แม่นางหลิน?”

หลินซีเหยียนก็ได้มองไปที่หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้านางที่รู้จักว่านางเป็นใครและน้ำเสียงก็คุ้นหูมาก นางจึงได้ถามกลับไปอย่างอายๆ “ข้าความจำไม่ค่อยดี พวกเราเคยรู้จักกันอย่างนั้นเหรอ?”

“แม่นางหลินคงจะจำไม่ได้ พวกเราเคยพบกันครั้งหนึ่งแล้ว ข้าชื่อว่าฉินหลงอยู่ที่หอเหวินชุนเจ้าค่ะ” ฉินหลงก็ได้ยิ้มออกมา จากใบหน้าของนางที่งดงามอยู่แล้วก็งดงามมากยิ่งขึ้นไปอีก

ทันทีที่นางพูดเตือนหลินซีเหยียน นางก็นึกออกและรีบตอบกลับไป “ข้านี่เสียมารยาทจริงๆที่ไม่ได้ไปที่หอเหวินชุนเพื่อไปพบแม่นางเสียที”

“แม่นางหลินอย่าได้กังวลเลยเจ้าค่ะ” เสียงของฉินหลงเองก็ดีราวกับหยดน้ำพุบนภูเขา แล้วจากนั้นนางก็มองเห็น เจียงซิงชูที่ยืนอยู่ที่มุมห้องที่เกือบทำให้นางต้องหายไปจากโลกนี้