บทที่ 53 เจียงหวายเย่ตกอยู่ในอันตราย

หมอผีแม่ลูกติด

บทที่ 53

เจียงหวายเย่ตกอยู่ในอันตราย

“เจ้า….” ฉินหลงมองไปที่เจียงซิงชู ก่อนที่นางจะได้พูดอะไรต่อ เจียงซิงชูก็ได้เดินมาตรงหน้านาง

“คารวะ แม่นาง สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้เป็นความผิดของข้าเอง เจ้าบอกมาได้เลยว่าต้องการให้ข้าองค์ชายชดใช้เป็นสิ่งใด” เจียงซิงชูกล่าวด้วยสีหน้าแดงๆ เขานั้นมีอาการเหมือนตื่นกลัวและเอามือถูปลายเสื้อของเขาตลอดเวลา

เมื่อฉินหลงได้ยินเขาเรียกตัวเองว่าองค์ชายแล้ว แววตาของนางก็ได้ดำมืดขึ้นมาจากนั้นนางก็ได้เผยรอยยิ้มออกมา “ฉินหลงไม่ได้เป็นอะไรมาก การชดใช้จากองค์ชายนั้นหาได้จำเป็นไม่เจ้าค่ะ”

หลังจากที่กล่าวจบนางก็ได้เตรียมลุกจากเตียง

หลินซีเหยียนมองไปที่เจียงซิงชูแล้วผลักเจียงซิงชูออกไป เจียงซิงชูจึงได้รีบเดินไปหานาง “ขอให้ข้าได้เป็นคนไปส่งแม่นางกลับด้วย!”

“ไม่จำเป็นเจ้าค่ะ ฉินหลงเป็นแค่ธุลีดิน จะเป็นการดีกว่าถ้าข้าจะเว้นระยะห่างจากองค์ชายเจ้าค่ะ” ฉินหลงนั้นดื้อรั้นมาก แล้วจากนั้นก็เดินจากไป

เจียงซิงชูถอนหายใจจากนั้นก็นึกเรื่องหนึ่งออก “แม่นางหลินรับออกรักษานอกสถานที่หรือไม่?”

หลินซีเหยียนผงกหัว “ไม่มีปัญหา ในเวลานี้มีลุงจงอยู่ที่นี่แล้ว”

แล้วก็มีแสงปรากฏในแววตาของเจียงซิงชู “พี่สะใภ้สี่ช่วยอะไรข้าหน่อยสิ ช่วยออกไปตรวจโรคกับข้าที”

มองไปที่แววตาขององค์ชายสิบสี่แล้ว หัวใจของ หลินซีเหยียนก็เหมือนถูกบีบอย่างไม่มีเหตุผล นางจึงได้หรี่สายตาจ้องไปที่เจียงซิงชูแล้วกล่าว “องค์ชายสิบสี่มีอะไรปิดบังข้าอยู่ใช่ไหม?”

“สายตาพี่สะใภ้สี่ช่างเฉียบแหลม” เจียงซิงชูก็รู้สึกผิดหวังขึ้นมาเมื่อพบว่าไม่สามารถหลอกหลินซีเหยียนได้ จึงได้บอกความจริงแก่นางไป “พี่สี่ได้ส่งข้อความบอกข้ามาว่าเกิดโรคระบาดขึ้นที่ชิงโจว”

“แล้วพี่สี่ของท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” หลินซีเหยียนถามอย่างเป็นกังวล การที่มีโรคระบาดเกิดขึ้นนั้นมันแปลกๆอยู่ แล้วร่างกายของเจียงหวายเย่นั้นก็ยิ่งอ่อนแอเพราะพิษอยู่แล้วด้วย ถ้าเขาเกิดติดเชื้อโรคระบาดเข้าไปอีก ก็ไม่อยากที่จะคิดถึงผลที่จะตามมาเลย

เจียงซิงชูก็ได้มองไปที่หลินซีเหยียนด้วยสายตาเย้าแหย่แล้วบอก “ขอพี่สะใภ้สี่จงสบายใจ พี่สี่ได้บอกมาด้วยว่าเขาไม่เป็นไร”

หลินซีเหยียนก็ได้ถอนหายใจออกมาแล้วจากนั้นก็มองไปที่องค์ชายสิบสี่แล้วถาม “แล้วท่านจะไปที่นั่นเมื่อใด?”

“ออกไปพรุ่งนี้เช้าเลย” เจียงซิงชูกล่าว แล้วเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเขายังมีอะไรอีกหลายอย่างที่ต้องตระเตรียมจึงได้รีบออกไป

หลินซีเหยียนจึงได้ฝากโรงหมอหุยชุนไว้กับลุงจงแล้วจากนั้นก็ออกไปหาเทียนเอ๋อ

“ท่านแม่ขอรับ ข้าจะเป็นเด็กดีขอรับ อย่าได้กังวล” หลังจากที่รู้ว่าแม่ของเขานั้นจะต้องออกไปจากเมืองหลวง เทียนเอ๋อก็ได้มีแววตาเป็นประกายขึ้นมา แต่ก็แกล้งทำเป็นตีสีหน้านิ่งๆและจริงจัง

หลินซีเหยียนนั้นรู้ดีอยู่แก่ใจว่าเจ้าเด็กตัวแสบนี้จะต้องวางแผนทำอะไรวุ่นวายอีกแน่ๆ แต่นางก็ไม่มีทางเลือกเพราะโรคระบาดในเมืองชิงโจว ถึงแม้ว่านางนั้นจะมั่นใจในความสามารถด้านการรักษาของตัวเองก็ตามที แต่ก็ยังอันตรายอยู่ดีนางจึงไม่สามารถพาเทียนเอ๋อไปกับนางได้

หลังจากที่บอกกับเทียนเอ๋อแล้ว หลินซีเหยียนก็ได้ไปที่หอคว้าจันทร์ทางตะวันตกของเมืองเพื่อไปพบกับหลงเยว่

“หลงเยว่, ข้า….”

“เสี่ยวเหยียนเอ๋อ เจ้าห้ามไปที่ชิงโจวเด็ดขาดเลยนะ” หลงเยว่เหมือนจะรู้ว่าหลินซีเหยียนอยากจะพูดอะไร นางจึงได้ปฏิเสธหลินซีเหยียนอย่างทันควัน

หลินซีเหยียนก็ได้มองมาที่นางอย่างสงสัย “ทำไมถึงไม่ได้?”

“ข้าได้ข่าวมาจากศิษย์ของเราว่า โรคระบาดที่เกิดขึ้นที่ ชิงโจวนั้น เป็นพิษที่มีใครบางคนจงใจแพร่ออกมา” หลงเยว่กล่าวด้วยสีหน้าที่จริงจัง โดยไม่มีท่าทางล้อเล่นเลยแม้แต่น้อย

“โรคที่ระบาดในครั้งนี้นั้นแปลกประหลาดมาก ผู้ที่ติดเชื้อเข้าไปใหม่จะไม่มีอาการอะไรเลยแล้วต่อจากนั้นก็จะมีไข้ขึ้นสูงและจะเกิดแผลพุพองขึ้นตามร่างกาย ซึ่งที่มาของโรคระบาดก็ยังทราบชัดเจน แต่ข้าพอจะทราบมาว่าใครก็ตามที่ได้แตะต้องกับผู้ป่วยแล้วก็จะติดเชื้อโดยไม่มีข้อยกเว้น” หลงเยว่ก็ได้อธิบายถึงลักษณะอาการของโรคระบาดโดยละเอียด นางนั้นต้องการให้หลินซีเหยียนนั้นเข้าใจถึงความน่ากลัวของโรคระบาดในครั้งนี้

แต่หลังจากที่นางกล่าวจบ หลินซีเหยียนก็ได้นิ่งคิดอย่างจริงจัง

“เจ้ายังจะไปอยู่อีกเหรอ?” หลงเยว่คิ้วขมวด สายตาของนางเต็มไปด้วยความกังวล

ซีเหยียนก็ได้เผยรอยยิ้มออกมา แล้วตบไหล่ของหลงเยว่แล้วกล่าว “หลงเยว่ เจ้ามั่นใจในความสามารถด้านการรักษาของข้าหน่อย”

“เสี่ยวเหยียนเอ๋อ คราวนี้ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าทำตามใจชอบแน่” หลงเยว่กล่าวออกมาอย่างหนักแน่น

หลินซีเหยียนก็ได้ขมวดคิ้ว นางนั้นรู้สึกวิงเวียนขึ้นมาก่อนที่จะทันได้คิดอะไร นางได้มองไปที่หลงเยว่แล้วกล่าว “เจ้า…วางยา…ข้าเหรอ?”

“เสี่ยวเหยียนเอ๋อ ขอให้เจ้าจงวางใจ ข้าจะไปที่ ชิงโจวแทนเจ้าเอง ถึงแม้ว่าความสามารถด้านการรักษาของข้าจะสู้เจ้าไม่ได้ แต่ข้าก็ยังเหนือกว่าหมอทั่วๆไปอยู่ดี” หลงเยว่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจ

จากนั้นหลงเยว่ก็ได้พาหลินซีเหยียนมาไว้บนเตียง แล้วจากนั้นก็ได้หันหลังเตรียมที่จะออกไป แต่ทว่านางกลับรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่หลังคอของนาง แล้วก็ทรุดลงไปที่พื้นแล้วสายตาของนางก็ได้มืดดำสนิท

ผู้ที่ยืนอยู่ข้างหลังนางนั้นคือหลินซีเหยียนที่น่าจะหมดสติไปแล้ว

หลินซีเหยียนก็ได้พาหลงเยว่มานอนบนเตียง จากนั้นก็ยักคิ้วและยิ้มกรุ้มกริ่ม “คิดจะใช้ยาที่มีฤทธิ์เล็กน้อยแบบนั้นวางยาข้าเหรอ หลงเยว่เจ้าจะดูถูกความสามารถของเจ้าสำนักมากไปแล้ว”

จากนั้นนางก็ได้ทิ้งจดหมายฉบับหนึ่งเอาไว้: เจ้าสำนักจะไปแล้ว ถึงแม้ว่าเจ้าสำนักจะมั่นใจในฝีมือเรื่องการรักษาของตัวเองมาก แต่หากมีอะไรเกิดขึ้น ข้าฝากหลงเยว่คอยดูแล เทียนเอ๋อให้ข้าด้วย

เช้าวันต่อมาซึ่งยังเช้ามืดอยู่นั้น หลินซีเหยียนก็ได้มารอเจียงซิงชูอยู่ที่ตรงประตูเมือง ไม่นานนักเจียงซิงชูก็ได้โผล่มาพร้อมกับคนจำนวนหนึ่ง

“องค์ชายสิบสี่ ทำไมเจ้าถึงได้พาคนมามากมายเช่นนี้?” หลินซีเหยียนถามอย่างสงสัย

“พี่สะใภ้สี่ ท่านคงจะยังไม่ทราบ เมืองชิงโจวนั้นไม่เพียงแต่จะขาดแคลนอาหารแล้ว แต่ยังขาดแคลนสมุนไพรอีกด้วย ดังนั้นไม่เพียงแต่จะต้องพาหมอไป แต่ยังต้องนำเสบียงไปส่งด้วย” เจียงซิงชูอธิบายอย่างละเอียด

หลินซีเหยียนก็ได้ผงกหัว “อย่างนี้นี่เอง ถ้าเช่นนั้นก็รีบไปกันเถอะ!”

แล้วกลุ่มคนก็ได้ออกเดินทางระยะไกลกันอย่างสงบสุข แต่ทว่าก็มีบางคนที่เริ่มทนไม่ไหวกับความขรุขระของถนนแล้วเริ่มที่จะบ่นออกมา “องค์ชายสิบสี่ ข้ารู้ว่าท่านรีบร้อนอยากที่จะช่วยคน แต่ท่านช่วยดูแลหมออย่างพวกเราให้ดีกว่านี้หน่อย!”

“ใช่แล้ว รถม้าคันนี้กระแทกจนก้นข้าระบมหมดแล้ว” แล้วหมออีกคนหนึ่งในรถม้าก็ได้เริ่มบ่นออกมา

เจียงซิงชูที่กำลังขี่ม้าคอยคุ้มกันขบวนจากด้านข้างอยู่นั้นก็ได้คิ้วขมวดขึ้นมาอย่างหมดความอดทน “พวกท่านหมออยากที่จะลงจากรถม้าแล้วลงไปเดินไหม?”

“องค์ชายท่านจะไร้เหตุผลเกินไปหน่อยแล้ว พวกเราคนตั้งมากมายแต่ต้องมาเบียดเสียดอยู่ในรถม้าคันเดียว ส่วนนางกลับได้นั่งรถม้าเพียงคนเดียว” แล้วหมอที่เป็นผู้นำกลุ่มที่ไม่พอใจก็ได้ชี้ไปที่รถม้าที่อยู่ที่ด้านหลังด้วยสายตาที่อิจฉา

เจียงซิงชูนั้นเคยเห็นพวกหมอที่โอหังพวกนี้มามากมายแล้ว เขาจึงได้คิ้วขมวดด้วยความขยะแขยง ถ้าไม่ใช่เพราะเมืองชิงโจวนั้นต้องการหมอล่ะก็ เขาก็คงจะด่าคนเหล่านี้ไปแล้ว

“ท่านหมอเหอเข้าใจผิดแล้ว ในรถม้าคันที่ตามหลังมานั้นคือว่าที่พระชายาของพี่สี่ต่างหากล่ะ มันคงจะไม่ดีถ้าท่านไปนั่งคันนั้น” เจียงซิงชูกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น เขานั้นอยากที่จะฆ่าคนเหล่านี้มากแต่เข้าก็ไม่คิดว่า หมอเหอคนนี้จะรู้จัก หลินซีเหยียน

“พระชายาขององค์ชายสี่ ก็บุตรีคนที่สองที่ไร้ค่าของ จวนมหาเสนาบดีหลินน่ะสิ?” หมอเหอคนนี้กล่าวโดยไม่มีลังเล

เจียงซิงชูจากเดิมที่ไม่อยากจะมีเรื่องด้วยก็ได้โมโหขึ้นมา เขาได้ห้อมล้อมหมอคนนั้นด้วยแรงกดดันที่หนาวสั่น “ท่านหมอเหอช่วยกรุณาถอนคำพูดของท่านเมื่อสักครู่ด้วย”

เสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยอำนาจราวกับฟ้าผ่านั้น ทำให้หมอเหอนั้นราวกับรู้สึกถูกตบหน้าด้วยสายฟ้า แล้วจากนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเขานั้นยังพอมีประโยชน์อยู่ องค์ชายสิบสี่ย่อมไม่กล้าทำอะไรเขาแน่ เขาจึงได้ความกล้ากลับคืนมา

“องค์ชายสิบสี่ ผู้หญิงคนนั้นมันก็แค่ผู้หญิงไร้ยางอาย ทำไมท่านจะต้องไปเคารพนางมากถึงขนาดนั้นด้วย”

ยิ่งหมอเหอพูดมากขึ้นเท่าไรเขาก็ยิ่งพูดล้ำเส้นมากยิ่งขึ้นเท่านั้น เขานั้นไม่ได้สังเกตเห็นสีหน้าของเจียงซิงชูที่บูดเบี้ยวมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดหมอเหอที่กำลังจ้องอยู่นั้นก็ได้ถูกองค์ชายสิบสี่ดึงตัวออกมาข้างนอก