บทที่ 37 ฝังสักสองเข็มก็พอแล้ว

บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน

บทที่ 37 ฝังสักสองเข็มก็พอแล้ว
สูดลมหายใจหยินเข้าลึกๆ มารดาภูตผีเก้าโอรสรีบสลายออร่าสีดำที่อยู่รอบตัว

นางกล่าวอธิบาย “ความอาฆาตของจิ่วเอ๋อร์สลายไปแล้ว ท่านเซียนอย่าได้เข้าใจผิด!”

สัมผัสได้ถึงความอาฆาตที่หายไป เสิ่นเทียนก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกเช่นกัน

ถึงแม้ว่ามารดาภูตผีเก้าโอรสจะฟื้นฟูกลับไปอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ สิ่งที่เขาทำไปก็ไม่สูญเปล่า

แต่การใช้ป้ายคำสั่งเจ้ากระบี่ต้องใช้ศิลาวิญญาณจำนวนมาก หากหลีกเลี่ยงได้ก็พยายามหลีกเลี่ยง

มารดาภูตผีเก้าโอรสคุกเข่าลงตรงหน้าเสิ่นเทียน กล่าว “ท่านเซียนฆ่าคนชั่วของลัทธิวิญญาณร้าย ทำให้จิ่วเอ๋อร์หลุดพ้นจากการควบคุม”

“บุญคุณนี้ยิ่งใหญ่จนไม่สามารถตอบแทน จิ่วเอ๋อร์เดิมทีแล้วไม่ควรจะกล้าขออะไรอีก”

“เพียงแต่ในลูกประคำล้วนเป็นเด็กทารกที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ถูกบูชายัญด้วยวิชามารจนไม่สามารถไปเกิดใหม่”

“แม้จิ่วเอ๋อร์จะไม่ใช่แม่ที่แท้จริงของพวกเขา แต่ก็อยู่ด้วยกันมานานหลายปี ทนเห็นไม่ได้จริงๆ”

“หวังเพียงท่านเซียนจะสงสารเด็กเหล่านี้ ช่วยปลดปล่อยพวกเขาให้ได้รับการเกิดใหม่”

“เช่นนั้นแล้ว จิ่วเอ๋อร์ยินดีติดตามข้างกายท่านเซียนตลอดชีวิต ปรนนิบัติท่านในฐานะทาสรับใช้เพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณ”

“แม้ท่านเซียนต้องการดีดเล่น จิ่วเอ๋อร์…จิ่วเอ๋อร์ก็ยอมรับได้!”

……

ซ่า!

เสิ่นเทียนสูดอากาศที่เย็นวูบเข้าปอด

ใครอยากดีดเจ้าเล่น เจ้าเห็นข้าเป็นคนอย่างไร

ในขณะนั้นเอง จิ่วเอ๋อร์ปาดผมที่บดบังใบหน้าออกอย่างเชื่องช้า

ทันใดนั้น ใบหน้าที่สวยงดงามน่าพิศวงปรากฏขึ้นต่อหน้าเสิ่นเทียน

เสิ่นเทียนไม่รู้ควรจะใช้คำไหนมาอธิบายรูปลักษณ์ของนาง

ถ้าหากต้องอธิบายให้ได้

เช่นนั้นแล้วเสี่ยวหลิงเซียนคือเทพธิดาที่หลุดพ้นทุกสรรพสิ่ง

หลี่เหลียงเอ๋อร์คือสาวน้อยเพื่อนบ้านที่น่ารักและซื่อบื้อในเวลาเดียวกัน

ส่วนจิ่วเอ๋อร์เป็นดั่งวิญญาณในยามค่ำคืน เป็นภูตผีใต้แสงจันทร์ที่ขุ่นเคืองและเศร้าโศก

เช่นเดียวกับเนี่ยเสี่ยวเชี่ยนในหนังโปเยโปโลเยเวอร์ชั่นหวังจู่เสียน

เต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ที่ลึกซึ้ง ทำให้ผู้คนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอยากทะนุถนอม

……

เฮ้อ คิดไปคิดมา

ผู้หญิงคนนี้ยังไม่ทันได้แต่งงาน คนในครอบครัวของนางถูกคนฆ่าตายจนหมด

หลังจากนั้นโดนปิดผนึกไว้ในลูกประคำไม่สามารถไปเกิดใหม่

มันก็น่าสงสารจริงๆ แหละ!

นึกถึงตรงนี้ เสิ่นเทียนอดไม่ได้ที่จะเกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจ

“วางใจเถอะ! เรื่องเป็นบ่าวเป็นทาสไม่จำเป็น โลกใบนี้มีคุณธรรม”

เขากล่าวอย่างชอบธรรม “ข้าจะช่วยปลดปล่อยเด็กเหล่านี้แน่นอน”

บนใบหน้าของจิ่วเอ๋อร์เผยให้เห็นอารมณ์ที่อ่อนไหว “จิ่วเอ๋อร์ขอบคุณท่านเซียนแทนเด็กเหล่านี้”

“ใช่แล้ว!”

เสิ่นเทียนราวกับนึกอะไรขึ้นได้ กล่าวถาม “จะให้ปลดปล่อยอย่างไร ปลดปล่อยทางกายภาพได้หรือไม่”

จิ่วเอ๋อร์ชะงักเล็กน้อย “ปลดปล่อยทางกายภาพ? หมายความว่าอย่างไร”

เสิ่นเทียนลูบป้ายคำสั่งเจ้ากระบี่ที่อยู่ในเสื้อ รู้สึกอาลัยอาวรณ์เล็กน้อย

แต่เขายังคงกล่าวอย่างหนักแน่น “ก็แบบปราณกระบี่ก่อนหน้านี้ ฟันอีกสักสองสามครั้ง สามารถทำให้ความอาฆาตของพวกเขาหายไปหรือไม่?”

ร่างกายของจิ่วเอ๋อร์สะดุ้งเล็กน้อย

ร่างวิญญาณที่ดูเลือนรางในตอนแรก ยิ่งจางมากกว่าเดิม

นึกย้อนถึงอนุภาพของกระบี่เมื่อกี้ ในแววตาของนางมีประกายแห่งความหวาดกลัวแลบผ่าน

“เกรงว่าคงจะไม่ได้ ถ้าหากท่านเซียนฟันกระบี่อีกครั้ง ลูกประคำจะแตกอย่างสมบูรณ์”

“ถึงเวลานั้น วิญญาณของจิ่วเอ๋อร์และเด็กเหล่านั้นจะแตกสลายไปด้วย”

เสิ่นเทียนหมดหนทาง

เช่นนี้ก็ยุ่งสิ!

เขาไม่สามารถใช้คาถาอาคมปลดปล่อยดวงวิญญาณด้วยสิ!

ช่างเถอะ พกลูกประคำติดตัวไว้ก่อนก็แล้วกัน!

รอให้เจอคาถาเกิดใหม่อะไรประเภทนี้ในอนาคต แล้วค่อยช่วยให้พวกเขาไปเกิดใหม่

คิดถึงตรงนี้ เสิ่นเทียนกล่าว “ข้าจะคิดหาวิธีช่วยให้เด็กเหล่านี้ได้ไปเกิดใหม่แน่นอน”

“ใช่แล้ว ดูเหมือนเจ้าจะได้รับบาดเจ็บสาหัส มีวิธีอะไรที่สามารถรักษาได้หรือไม่?”

มองดูร่างวิญญาณจิ่วเอ๋อร์ที่เลือนลางราวกับไม่สามารถต้านทานลม

เสิ่นเทียนเริ่มเกิดความสงสัย ดวงวิญญาณของนางอาจจะแตกสลายได้ทุกเมื่อ

จิ่วเอ๋อร์พยักหน้า “เดิมทีลูกประคำก็เป็นเครื่องมือในการหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณ ขอเพียงข้ากลับเข้าไปในลูกประคำ อาการบาดเจ็บของข้าก็จะค่อยๆ ฟื้นฟูเอง”

เสิ่นเทียนครุ่นคิด “แต่ลูกประคำนี่ดูเหมือนจะเสียแล้ว มีวิธีซ่อมมันหรือไม่”

จิ่วเอ๋อร์กล่าว “ขอเพียงดูดซับความอาฆาตและความชั่วร้ายเพียงพอ ก็จะสามารถฟื้นฟู แต่…”

จิ่วเอ๋อร์ไม่ได้พูดต่อ เพราะถึงไม่พูดเสิ่นเทียนก็เข้าใจแล้ว

ถ้าหากดูดซับความอาฆาตต่อ ในขณะที่ลูกประคำฟื้นฟู จิ่วเอ๋อร์และดวงวิญญาณของเด็กทารกเหล่านั้นก็จะถูกครอบงำไปด้วย

ถึงเวลานั้น มารดาภูตผีเก้าโอรสก็จะกลับมาอีกครั้ง

……

“ดูดทรัพย์พลังวิญญาณได้หรือไม่?”

เสิ่นเทียนกล่าวในทันใด “ถ้าหากพวกเจ้าดูดซับพลังวิญญาณ สามารถฟื้นฟูได้หรือไม่?”

จิ่วเอ๋อร์ครุ่นคิดสักพักแล้วกล่าว “น่าจะได้!”

ที่ผู้บำเพ็ญมารฝึกฝนวิชาชั่วร้ายด้วยการเอาเปรียบผู้อื่นเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง นั่นเป็นเพราะทรัพยากรในการบำเพ็ญไม่เพียงพอ

สิ่งที่เรียกว่าความอาฆาต ความชั่วร้าย วิญญาณร้าย อันที่จริงแก่นแท้ของมันไม่บริสุทธิ์เท่าพลังวิญญาณฟ้าดิน

สำหรับผู้บำเพ็ญมาร การได้รับพลังเหล่านี้ง่ายกว่าการได้รับพลังวิญญาณ

ก็เหมือนกับการใช้ความอาฆาตหล่อเลี้ยงมารดาภูตผีเก้าวิญญาณ ขอเพียงฆ่าคนอย่างต่อเนื่องก็พอ

แต่ถ้าหากเซ่นสังเวยด้วยพลังวิญญาณ สามารถทำให้ผู้บำเพ็ญระดับดวงจิตดรุณหมดตัวได้เลย

ดังนั้นผู้บำเพ็ญสายมารส่วนใหญ่ล้วนเลือกสังเวยของวิเศษด้วยเลือด

แต่สำหรับเสิ่นเทียน ใช้พลังวิญญาณในการซ่อมแซมสะดวกกว่าอย่างเห็นได้ชัด

อย่างไรก็ดี เขาในตอนนี้จนจนเหลือเพียงแค่ศิลาวิญญาณ

“ได้ ถ้าอย่างนั้นเจ้ากลับเข้าไปในลูกประคำเถอะ!”

เสิ่นเทียนหยิบถุงศิลาวิญญาณออกจากอก จากนั้นยัดลูกประคำเข้าไปด้านใน

แหะๆ คราวนี้นางน่าจะสบายแล้วกระมัง!

……

เห็นเสิ่นเทียนรับลูกประคำพวงนี้ไว้จริง กุ้ยกงกงและฉินเการู้สึกโล่งใจมาก

ที่แท้ก่อนหน้านี้ตอนองค์ชายเผชิญหน้ากับเสี่ยวหลิงเซียนและหลี่เหลียงเอ๋อร์ไม่มีท่าทีอ่อนไหวเลยสักนิด มันเป็นเพราะ…

องค์ชายไม่ได้ชอบผู้หญิง แต่มีความรู้สึกที่พิเศษต่อผีผู้หญิง!

แม้ว่าการพัวพันกับผีผู้หญิงจะส่งผลกระทบที่ไม่ค่อยดีนัก

แต่อย่างน้อยก็สามารถมั่นใจได้ว่าองค์ชายเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว

ผีผู้หญิงกับผู้หญิง เมื่อดับไฟก็คงไม่แตกต่างกันมากหรอกกระมัง!

ในเมื่อตอนนี้องค์ชายเกิดความรู้สึกสนใจผีผู้หญิง ถ้าเช่นนั้นขอเพียงชี้นำเพียงเล็กน้อย

ในวันข้างหน้าก็ไม่ยากที่จะทำให้องค์ชายเกิดความรู้สึกสนใจผู้หญิง แต่งงานมีลูกมีหลาน ก็จะเป็นไปอย่างราบรื่น

กุ้ยกงกงรู้สึกโล่งใจมาก ในที่สุดก็ตามหาผู้หญิงที่ทำให้องค์ชายหวั่นไหวจนเจอ

หากพระสนมที่อยู่แดนปรโลกรู้ จะต้องยิ้มไปทั่วแดนปรโลกอย่างแน่นอน

ส่วนฉินเกานั้น ในใจยิ่งรู้สึกดีใจยิ่ง

……

เสิ่นเทียนไม่รู้เรื่องสิ่งที่เจ้าสองคนนี้กำลังจินตนาการ

เขาเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าเสี่ยวหลิงเซียนอย่างเชื่องช้า เริ่มทำการตรวจสอบ

ไม่รู้ว่าผู้จริงแท้เฮยเสวี่ยวางยาอะไรเสี่ยวหลิงเซียน

โดนแบกวิ่งมาตั้งหลายสิบลี้ และยังเกิดการต่อสู้ที่รุนแรง

ปรากฏว่าเสี่ยวหลิงเซียนยังหลับเหมือนหมู ไม่มีท่าทีที่จะตื่นเลยสักนิด

“ลุงกุ้ย มีวิธีทำให้ยัยนี่ตื่นหรือไม่”

กุ้ยกงกงพูด “แม่นางหลิงเอ๋อร์แค่หมดสติ ฝังเข็มสักสองครั้งก็น่าจะฟื้นแล้ว”

“เพียงแต่การฝังเข็ม จำเป็นต้องถอดเสื้อชั้นนอกของแม่นางหลิงเอ๋อร์”

หลายปีมานี้ เสิ่นเทียนถูกธาตุไฟเข้าแทรกอยู่บ่อยครั้ง

เมื่อคนเราเจ็บป่วยนานวันเข้าก็จะคุ้นเคยกับคุณสมบัติของยาและหลักการแพทย์ กุ้ยกงกงก็แบ่งเวลามาศึกษาค้นคว้าจนประสบความสำเร็จด้านการฝังเข็ม

“ฝังเข็มให้นาง ต้องถอดเสื้อชั้นนอกหรือ”

เสิ่นเทียนมองเสี่ยวหลิงเซียนมองแล้วมองอีก รู้สึกว่าไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่

อย่างไรก็ตาม มาถอดเสื้อของนางในสถานที่รกร้างเช่นนี้มันก็ดูไม่ค่อยดี

ถ้าหากหมดสติ การผายปอดกับการปั๊มหัวใจก็น่าจะช่วยทำให้ฟื้นได้กระมัง!

หลังจากครุ่นคิด เสิ่นเทียนกล่าวเสนอ “ข้าเองดีกว่า!”

……

เสิ่นเทียนสั่งให้กุ้ยกงกงหลบไปอีกด้านหนึ่ง แล้วเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเสี่ยวหลิงเซียน

สูดหายใจเข้าลึกๆ ปัดเป่าความคิดฟุ้งซ่านในใจ

เสิ่นเทียนยื่นสองมือออกไปกดลงบนร่างกายเสี่ยวหลิงเซียน

ส่วนกุ้ยกงกงและฉินเกาที่อยู่ด้านหลังเบิกตากว้างจ้องลูกพี่ของพวกเขา

ให้ตายสิ ก่อนหน้านี้แม่นางหลิงเอ๋อร์ถวายตัวไปนอนอยู่บนเตียงของท่านแล้ว

ปรากฏว่าท่านกลับเดินออกจากห้องโดยไม่คิดจะแตะต้องนางเลยสักนิด

ตอนนี้นางหมดสติไม่รู้ตัว

ท่านกลับลงมือกับนาง

การไม่มีปฏิสัมพันธ์ร่วมเช่นนี้รู้สึกดีกว่าจริงหรือ

กุ้ยกงกงเริ่มรู้สึกสับสนเล็กน้อย เดิมทีคิดว่าองค์ชายชอบผีผู้หญิง

แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าบางทีองค์ชายอาจจะชอบ…

เล่นแบบหมดสติ?

……………………………………………..