บทที่ 53 ทหารผู้ไร้เทียมทาน

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

บทที่ 53 ทหารผู้ไร้เทียมทาน

“ฮึ่มมมม ไม่ต้องพูดอะไรกันอีกแล้ว เฉินเฉียง เดี๋ยวก็รู้ว่าในสนาม แกจะตกอยู่ในสภาพไหน”

ความจริงแล้วหยานยิงเย่นั้นอยากจะพูดให้เฉินเฉียงหน้าหงายไปสักทีก่อนที่จะประลองเท่านั้น เขาไม่คิดว่าเฉินเฉียงและศิษย์แผนกวิชายุทธพิเศษจะสวนกลับได้ นี่จึงเป็นเหตุผลให้หยานยิงเย่โกรธจัด และกล่าวสบถตลอดทางการเดินขึ้นเวทีประลอง

ตรงหน้าสนามประลอง หยานยิงเย่แกล้งหนักใจ

ก่อนหน้านี้เขาอาจจะรู้มาแล้วว่าในทุกครั้งที่เฉินเฉียงสู้จะเลือกสนามประเภทกลางคืน

แน่นอนว่าในครั้งนี้เฉินเฉียงเองก็ไม่รีรอที่จะเลือกสนามกลางคืนเช่นเดียวกัน

เมื่อเข้าไปในสนาม เฉินเฉียงได้ใช้ทักษะไร้ตัวตนและตรวจจับด้วยเสียงในทันที

ด้วยระดับการบ่มเพาะและความแข็งแกร่งทางจิตวิญญาณในตอนนี้นั้น ว่ากันตามตรงแล้วเขาไม่จำเป็นที่จะต้องเร้นกายในความมืดแบบนี้เลยแม้แต่น้อย

อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่เขานั้นต้องการวิธีการบ่มเพาะสะกดข่มมารสวรรค์มานานแล้ว นี่จึงเป็นเหตุผลที่เขายังเลือกเส้นทางที่จะสามารถสังหารศัตรูลงได้ในดาบเดียวแบบนี้อยู่อีก

และการตัดสินใจของเฉินเฉียงนั้นเรียกได้ว่าถูกต้องแล้วจริงๆ

หลังจากขึ้นสนามไป หยานยิงเย่ได้เริ่มใช้พลังจิตตรวจสอบหาตำแหน่งของเฉินเฉียงในทันที แต่หลังจากผ่านไปพักใหญ่ เขาหายังไงก็หาไม่เจอ นี่ทำให้หยานยิงเย่เริ่มลุกลี้ลุกลน และเริ่มเสียใจที่ปล่อยให้เฉินเฉียงมีโอกาสเป็นคนเลือกสนาม

อย่างไรก็ตาม ในเมื่อการต่อสู้เริ่มต้นขึ้นแล้ว เขานั้นทำได้เพียงปลุกขวัญกำลังใจของตัวเองเท่านั้น

เพื่อป้องกันไม่ให้เฉินเฉียงลอบโจมตีได้ หยานยิงเย่เลื่อนเคลื่อนไหวอย่างไม่หยุดนิ่งรอบสนามพร้อมกับใช้วิธีการบ่มเพาะสะกดข่มมารสวรรค์เพื่อกระตุ้นจิตวิญญาณของตนไปด้วย

นึกไม่ถึงว่าเขานั้นหาได้พบเจอตัวเฉินเฉียงไม่ และนี่เป็นผลให้เทคนิคการโจมตีทางจิตวิญญาณนั้นไร้ประโยชน์ไปอย่างสิ้นเชิง

ยิ่งไปกว่านั้นคือ ในระหว่างที่หยานยิงเย่วิ่งพล่านไปทั่วก่อนหน้านี้นั้น นั่นทำให้ในตอนนี้ค่าพลังวิญญาณลดต่ำลงจนไม่สามารถใช้ทักษะได้อีก

อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นว่าหยานยิงเย่หยุดการโจมตีลง เฉินเฉียงผู้ซึ่งเฝ้าสังเกตศัตรูมานานแล้วก็ค่อยคืบคลานเข้าอีกฝั่งหนึ่ง พร้อมกับใช้ทักษะการโจมตีทางจิตวิญญาณระดับต่ำอย่างการสะกดจิต ถึงแม้ว่าทักษะของเขานั้นจะดับต่ำกว่าศัตรูก็ตาม

แต่ทักษะการโจมตีนอกจากอานุภาพแล้ว จะต้องโจมตีให้โดนด้วย

เฉินเฉียงเมื่อมีโอกาส เขารีบใช้การสะกดจิตในทันที และเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนั้นเริ่มมีร่างกายที่โงนเงนไปมา เขาก็ได้ใช้ดาบดั้นเมฆผ่าครึ่งศัตรูที่อยู่ตรงหน้าเขาในทันที

“ติ้ง”

เสียงที่คุ้นเคยได้ดังขึ้นมา และในที่สุด ทักษะการบ่มเพาะสะกดข่มมารสวรรค์ก็ตกเป็นของเขาจนได้

หลังจากการต่อสู้จบลง เมื่อเวทีกลับมาสู่แสงสว่าง เหล่าศิษย์แผนกวิญญาณก็ต้องหน้าตึงกันไปเป็นแทบ

พวกเขาแพ้อีกแล้วเรอะ

นอกจากเหล่าศิษย์แผนกวิญญาณระดับนายพลวิญญาณจะถูกกวาดเรียบไปจนหมดแล้ว แม้แต่ศิษย์ระดับทหารขั้นสูงของพวกเขาอย่างหยานยิงเย่เองก็ยังพ่ายแพ้ให้กับศิษย์แผนกวิชายุทธพิเศษ

“ฮ่าฮ่าฮ่า ศิษย์น้องชนะอีกแล้ว สองร้อยแต้มคะแนนของเจ้าอยู่นี่แล้ว”

กัวเหลียงเป็นคนแรกที่ตะโกนออกมาอย่างดีใจ

ตามมาด้วยศิษย์แผนกวิชายุทธ์พิเศษคนอื่นๆ

แม้แต่หลิวซานเอ๋อผู้ซึ่งลงข้างเฉินเฉียงเอาไว้เองก็ได้รับห้าร้อยแต้มคะแนนเช่นเดียวกัน

ส่วนผู้ติดตามของเธอและศิษย์คนอื่นของแผนกจิตวิญญาณนั้นก็มีใบหน้าที่ยู่ยี่ประหนึ่งดั่งกินมะเขือเน่าเข้าไปทั้งพวง

“ฮึ่มมมม”

เมื่อเห็นว่าหยานยิงเย่แพ้พ่าย ใบหน้าของจ้าวฮั่นก็หมองคล้ำ เขาถอนหายใจสั้นๆออกมาหนึ่งทีก่อนจะหันหน้าเดินออกไป

อย่างไรก็ตาม ยังไม่ทันที่เขาจะได้ก้าวเดินออกมา เสียงหนึ่งก็ได้ดังก้อง

“เฉินเฉียง ศิษย์แผนกวิชายุทธ์พิเศษ ระดับทหารขั้นสูงขอท้าเฉินฮงแห่งแผนกวิญญาณระดับเดียวกัน”

-ห้ะ-

ไม่มีใครคิดว่าเฉินเฉียงนั้นจะท้าประลองกับศิษย์แผนกวิญญาณต่อในทันทีที่ก้าวยังไม่พ้นจากสนามดี

และยิ่งไปกว่านั้นคือเฉินฮงนั้นฝีมืออ่อนด้อยกว่าหยานยิงเย่มากมายนัก

แม้แต่หยานยิงเย่ผู้ที่ซึ่งแข็งแกร่งที่สุดในระดับการบ่มเพาะเดียวกันของแผนกจิตวิญญาณยังสู้ไม่ได้ แล้วเขาจะเหลืออะไร

แต่ในเมื่อเฉินเฉียงได้ประกาศคำท้าทายออกมาอย่างเป็นทางการไปแล้ว นอกจากเฉินฮงจะยอมเสียหน้า ที่เหลือเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น

ในครั้งนี้ไม่มีใครเลยที่จะคิดว่าเฉินเฉียงจะพ่ายแพ้

นั่นก็เพราะทุกคนในแผนกต่างก็รู้ความแข็งแกร่งของเฉินฮงดี ถ้าพวกเขายังต้องการที่จะลงว่าเฉินเฉียงพ่ายแพ้ก็ต้องเรียกได้ว่าโง่งมนัก

และนี่เองคือเหตุการณ์ที่ว่า เหล่าศิษย์แผนกวิญญาณระดับทหารขั้นสูงถูกเฉินเฉียงกวาดเรียบในวันเดียว

ถึงแม้จะมีบางคนที่รู้ตัวว่าสู้ไม่ได้แล้วชิ่งหนีโดยการออกไปทำภารกิจที่นอกสำนักก็ตาม แต่นี่ก็ไม่ได้ต่างจากการยอมรับว่าพ่ายแพ้อยู่ดี

“ศิษย์น้อง นายนี่ช่วยทำให้ศิษย์พี่คนนี้เปิดโลกทัศน์ใหม่เลยจริงๆ เพียงแค่ครึ่งวันพวกแผนกวิญญาณระดับทหารขั้นสูงก็ไม่เหลือให้ท้าประลองอีกแล้ว”

“ดูเหมือนว่าการลงพนันข้างเจ้านั้นถือว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว เพียงช่วงเวลาสั้นๆ พวกเราก็ได้แต้มคะแนนไว้ใช้กว่าสองพันแต้มแน่ะ”

หลิวซวนเอ๋อจ้องมองไปเฉินเฉียงที่กำลังก้าวเดินออกมาจากสนามด้วยสายตาที่สุกสกาว เธอเป็นคนแรกที่เอ่ยปากออกมา

“นั่นน่ะสิ ไม่คิดเลยว่าศิษย์น้องของข้าคนนี้ไม่เพียงจะเป็นคนแล่เนื้อในโรงครัวแล้ว เขานั้น ยังเป็นคนแล่เนื้อแห่งสนามประลองเป็นตายของสำนักเราอีกด้วย”

“ไอ้สกุลจ้าวนั่นที่คิดจะมาเอาคืนก่อนหน้านี้ต้องกลายเป็นหน้าหงายไปอีกรอบซะอย่างนั้น”

“โฮ่ คนแล่เนื้อเหรอ ฮ่าฮ่าฮ่า ก็ไม่เลวนะ นี่ ศิษย์น้อง พรุ่งนี้เจ้าจะเข้าร่วมประลองอยู่อีกรึเปล่า ถ้าเจ้าคิดจะร่วมต่อล่ะก็ ศิษย์พี่คิดว่าเจ้านั้นควรจะเข้าร่วมด้วยฉายาคนแล่เนื้อไปเลยนะ เอาให้ผู้คนโจษจันและเล่าขานกันไปปากต่อปากไปเลย ทำให้ถึงขนาดที่ว่าแค่ได้ยินชื่อนี้ก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบจนไม่กล้าจะเอ่ยขานอีก เจ้าคิดว่ายังไง”

ถึงแม้ศิษย์พี่ใหญ่ของเขาและศิษย์พี่คนอื่นๆจะโกรธจัดเมื่อผู้คนเรียกเฉินเฉียงด้วยชื่อนี้ก็ตาม แต่เมื่อคิดไปมาแล้วมันก็ไม่เลวเลยจริงๆ และแน่นอนว่านี่เองก็เป็นสิ่งที่เฉินเฉียงนั้นคิดเอาไว้แล้ว

“ก็ดีนะ ข้าเห็นด้วยกับที่ศิษย์พี่เสนอมา นับจากวันพรุ่งนี้เป็นต้นไป ข้าจะใช้ชื่อนั้นในการท้าประลอง”

หลังจากผ่านไปครึ่งวัน เฉินเฉียงนั้นได้ดูดซับทักษะและค่าสถานะต่างๆจากศิษย์แผนกวิญญาณระดับทหารไปจนเกือบหมดทุกคน ถ้านับเฉพาะการดูดซับทักษะจากหยานยิงเย่ไปแล้ว นอกจากเขาจะได้รับเทคนิคการบ่มเพาะสะกดข่มมารสวรรค์ไปแล้ว ค่าพลังวิญญาณของเขานั้นยังเพิ่มขึ้นมาอีกเกือบๆสิบหน่วยอีกด้วย

เรียกได้ว่าลานประลองแห่งนี้เหมาะสมแล้วที่เป็นสถานที่ที่ช่วยบ่มเพาะผู้คนให้แข็งแกร่ง

“ศิษย์น้องเฉิน วันนี้เจ้าเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้วนา พรุ่งนี้ข้าเองก็จะมาช่วยเจ้าด้วยอีกแรง”

ด้วยการที่มีหลิวซวนเอ๋อหนุนหลังแล้ว แน่นอนว่าเฉินเฉียงย่อมไม่ต้องกังวลเรื่องภารกิจในโรงครัวแต่อย่างใด ส่วนการปรุงยาที่หลิวซวนเอ๋อต้องการนั้น เขาใช้เวลาคืนเดียวก็เสร็จแล้ว

เช้าวันถัดมา ตามที่กัวเหลียงและหลิวซวนเอ๋อแนะนำเอาไว้ เฉินเฉียงได้เริ่มการท้าประลองอีกครั้ง

ด้วยการที่แผนกวิชายุทธ์พิเศษของเฉินเฉียงนั้นขึ้นชื่อว่ามีดีด้านการต่อสู้อยู่แล้ว บวกกับทักษะและค่าสถานะที่เขาได้รับมาจากเหล่าศิษย์ระดับทหารแผนกวิญญาณเมื่อวานทำให้ศิษย์ที่อยู่ในระดับการบ่มเพาะเดียวกันไม่ใช่คู่มือของเขาอีกต่อไป

และในช่วงเวลาเพียงสามวัน ไม่มีใครเลยในสำนักเต่าดำที่หาญกล้ารับคำท้าของเฉินเฉียงเลยสักคนเดียว

และชื่อเสียงคนแล่เนื้อแห่งสำนักเต่าดำนั้น ก็ได้ติดตราตรึงใจในศิษย์ร่วมสำนัก

ในตรอกข้างสนาม หลังจากเห็นอัตราส่วนที่เหล่าศิษย์ลงพนันกันแล้ว กัวเหลียงก็อดไม่ได้ที่จะบ่นออกมา “ศิษย์น้องเอ้ย เจ้าแกล้งสักรอบหน่อยไม่ได้เรอะ ตอนนี้นี่ถึงเจ้าจะชนะแต่ดูไปดูมาดีไม่ดีจะเข้าเนื้อเอาแล้วนา”

เฉินเฉียงที่ในตอนนี้กำลังยืดเส้นยืดสายอยู่นั้นก็ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อได้ยิน และเป็นตอนนี้ที่เขานั้นได้เหลือบไปเห็นจ้าวฮั่นที่กำลังทำหน้าบูดบึ้งอยู่ไม่ไกล

“ส่งข้อความไปบอกเป่ยฮ่าวแห่งแผนกอัคคี ขอให้เขาช่วยท้าประลองเฉินเฉียงให้หน่อย”

“เอ่ออออ…. ไม่มีทางหรอกครับ ศิษย์พี่เจ้าก็รู้ดีว่าศิษย์น้องเป่ยและหลิวซวนเอ๋อนั้นอยู่แผนกเดียวกัน พวกนั้นฟังแต่หลิวซวนเอ๋อเพียงคนเดียวเท่านั้น แล้วเขาจะยอมทำตามคำขอของพวกเราได้ยังไง”

“แล้วหยวนตงหมิงจากแผนกประกายแสงล่ะ ลองถามหมอนั่นดูสิ ตราบที่เขายอมรับคำขอก็บอกให้เขาเสนอมาได้เลยว่าต้องการอะไร”

“เอ่ออออ…. ศิษย์พี่จ้าว หยวนตงหมิงแห่งแผนกประกายแสงเขาได้ลงเขาไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แถมยังไม่มีใครรู้ด้วยว่าเขาจะกลับมาเมื่อไหร่”

“ไอ้พวกนี้มันช่างขี้ขลาดนัก” จ้าวฮั่นอดไม่ได้ที่จะสบถออกมาพลางมองไปยังผู้ใต้บังคับบัญชาโดยรอบอย่างดุดัน เขายกอกตัวเองและพูดไปที่เฉินเฉียงด้วยน้ำเสียงดุร้าย “เฉินเฉียง แกอย่าได้ใจไปนัก เมื่อไหร่ก็ตามที่แกบรรลุสู้ขั้นนายพลวิญญาณได้เมื่อไหร่ เมื่อนั้น จ้าวฮั่นคนนี้ จะท้าประลองกับแกอย่างแน่นอน”