บทที่ 52 ในนามแห่งคนแล่เนื้อ

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

บทที่ 52 ในนามแห่งคนแล่เนื้อ

“ศิษย์น้อง ศิษย์พี่ไม่คิดเลยจริงๆว่าก่อนที่ศิษย์น้องจะได้ท้าประลองออกไปกลับมีใครบางคนมาท้าประลองกับศิษย์น้องก่อนซะได้ เรื่องแบบนี้หาได้อยากจริงๆ”

“หืม อ้อ ศิษย์พี่นั้นอาจจะยังไม่ทราบ แต่ก่อนที่ศิษย์พี่จะกลับมานั้น ศิษย์น้องเฉินได้มีโอกาสขึ้นประลองมาสองสามรอบแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคือทุกการประลองนั้นศิษย์น้องเฉินชนะรวด”

“ข้าบอกได้เลยว่าศิษย์น้องของพวกเรานั้นคือระดับทหารขั้นสูงที่แกร่งที่สุดในสำนักของพวกเรา”

กัวเหลียงในตอนนี้ได้ยกยอปอปั้นศิษย์น้องของตนขึ้นมาอย่างหน้าชื่นตาบาน แต่เขาไม่คิดว่าหลิวซวนเอ๋อนั้นจะได้เทน้ำเย็นราดเขาด้วยคำพูดซะอย่างนั้น

“ศิษย์พี่กัวอย่าได้ชะล่าใจนา”

“เท่าที่ข้ารู้มานั้น หยานยิงเย่คนนี้ไม่เพียงจะเป็นระดับทหารที่สามารถเรียนรู้การบ่มเพาะสะกดข่มวิญญาณมารสวรรค์ที่แม้แต่เหล่าศิษย์แผนกวิญญาณยังยากที่จะฝึกได้แล้ว เขาเองยังมีสายสัมพันธ์กับศิษย์แผนกวายุอย่างจ้าวฮั่นอีกด้วย”

“ข้าเองก็พอได้ยินมาบ้างว่าศิษย์น้องเฉินมีเรื่องกับจ้าวฮั่นนั่นมาก่อนหน้านี้แล้ว เป็นไปได้ว่าการท้าประลองของศิษย์น้องหยานในครั้งนี้อาจจะมีใครบางคนอยู่เบื้องหลัง”

เหล่าศิษย์แผนกวิชายุทธพิเศษไม่มีใครสงสัยในคำพูดของหลิวซวนเอ๋อแม้แต่น้อย นั่นก็เพราะผู้หญิงคนนี้รู้เรื่องราวของศิษย์ทุกคนประดุจดั่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบนหลังฝ่ามือของเธอ

และหากเรื่องนี้เป็นอย่างที่ว่ามาจริงละก็ จ้าวฮั่นนั้นต้องคงส่งคนมาท้าทายเฉินเฉียงจนกว่าได้รับความอัปยศอดสูแบบที่ตระกูลจ้าวนั่นได้รับเป็นแน่

“เอ่ออออ…. ศิษย์น้อง กับเรื่องนี้เจ้าไหวหรือเปล่า” หลู่ฟางเองนั้นไม่ได้คิดที่จะบอกให้เฉินเฉียงยอมแพ้แต่อย่างใด เขานั้นกลับถามออกมาด้วยความเป็นห่วง

และจากคำถามนี้ก็แสดงให้เห็นว่าหลู่ฟางเองนั้นไม่ต้องการให้เฉินเฉียงคิดยอมถอนตัวแม้แต่น้อย นี่คือธรรมชาติของเหล่าศิษย์แผนกวิชายุทธพิเศษ

พวกเขายอมสู้จนแพ้พ่ายดีกว่ายอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่สู้

เฉินเฉียงยิ้มออกมาแต่ไม่ตอบอะไร เขาเพียงหันไปพูดกับกัวเหลียง
“ศิษย์พี่กัว หลังจากข้าลงสนามแล้วรบกวนลงแต้มคะแนนให้ข้าสักสองหมื่นแต้มสิ ลงว่าข้าชนะนะ”

หลู่ฟางพยักหน้าอย่างพึงพอใจ

ถ้าเฉินเฉียงไม่มั่นใจย่อมไม่กล้าลงพนันข้างตัวเองขนาดนี้

อย่างไรก็ตาม เมื่อกัวเหลียงได้ยินดังนั้นแล้วเขาก็ทำได้เพียงเกาหัวแกรกๆเท่านั้น ก่อนที่จะพูดออกมา “ศิษย์น้อง เอ่อออ…. เกี่ยวกับเรื่องนี้ ไม่ใช่ว่าศิษย์พี่ไม่อยากจะช่วยหรอกนะ”

“แต่เป็นเพราะว่าอาจารย์ไม่ค่อยปลื้มตอนที่ศิษย์น้องได้แต้มคะแนนมามากมายก่อนหน้านี้หนึ่งแสนสองหมื่นแต้มอย่างง่ายดาย ท่านจึงมีคำสั่งออกมาว่าไม่ให้พวกเราลงพนันได้เกินกว่าสองร้อยแต้มคะแนนน่ะ ไม่งั้นป่านนี้พวกเราคงกลายเป็นนายธนาคารกันหมดแล้วล่ะ”

“ดังนั้นในเรื่องนี้ก็ต้องรวมถึงศิษย์น้องด้วย เจ้าลงได้เพียงสองร้อยแต้มคะแนนเท่านั้น”

-ช่างเป็นคำสั่งที่……-

เฉินเฉียงลอบสาปแช่งอยู่ในใจขึ้นมา และด้วยเหตุนี้ทำให้เขานั้นไม่มีทางเลือก ทำได้เพียงมอบสองร้อยแต้มคะแนนให้กัวเหลียงเท่านั้น

“เฮ้ออออ…. สองร้อยก็สองร้อย ศิษย์พี่กัว ข้าคงต้องรบกวนศิษย์พี่แบบนี้ทุกการประลองแล้วล่ะ”

“ศิษย์น้อง ไหนๆก็ไหนๆแล้ว รบกวนฝากลงให้ศิษย์พี่คนนี้ห้าร้อยแต้มด้วยสิ ลงข้างเฉินเฉียงนะ”

ด้วยกิริยาท่าทางที่เฉินเฉียงและหลิวซวนเอ๋อนี้มีต่อกันนั้นทำให้ผู้ติดตามอดที่จะนึกรังเกียจเฉินเฉียงไม่ได้ และนี่ทำให้พวกเขานั้นคิดว่าเฉินเฉียงนั้นอวดดีเกินไป

ไม่นาน ศิษย์ในสำนักเริ่มหลั่งไหลเข้ามายังพื้นที่รอบลานประลอง ส่วนใหญ่แล้วนั้นเป็นพวกที่ต้องการเห็นความพ่ายแพ้ของแผนกวิชายุทธพิเศษทั้งสิ้น

“เฉินเฉียง เห็นไอ้เด็กผอมกะหร่องตรงนั้นรึเปล่า นั่นน่ะคือหยานยิงเย่คนที่ท้าประลองเจ้าไง”

เฉินเฉียงได้มองไปยังกลุ่มคนสักห้าสิบคนเห็นจะได้ ในตอนนี้คนเหล่านั้นกำลังรุมล้อมคนคนหนึ่งที่มีท่าทางสูงผอมอยู่

และเป็นจริงดังที่หลิวซวนเอ๋อคาดไว้ จ้าวฮั่นเองก็ได้อยู่ในหมู่คนเหล่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นคือ หมอนั่นเป็นคนเดินนำหยานยิงเย่ด้วยซ้ำ

“ศิษย์พี่หลิว ไม่ได้พบกันนานเลยทีเดียว ข้าได้ยินว่าศิษย์พี่พึ่งจะกลับมาจากทำภารกิจที่ด้านนอก หากมีเวลาว่างข้อขอเป็นเจ้ามือเลี้ยงศิษย์พี่สักมื้อจะได้หรือไม่”

เมื่อจ้าวฮั่นได้เห็นว่าหลิวซวนเอ๋อนั้นยืนคู่คุยอยู่กับเฉินเฉียงแล้วทำให้อดจะแสดงสายตาอิจฉาริษยาขึ้นมาไม่ได้ เขาจึงได้คิดจะมาทักทายและเชิญชวนหลิวซวนเอ๋อด้วยรอยยิ้ม

หลิวซวนเอ๋อนั้นถึงแม้ว่าจะมีอายุเท่าๆกับจ้าวฮั่น แถมปู่ของทั้งสองคนยังเป็นผู้อาวุโสเหมือนกัน ในความจริงแล้วหากทั้งสองคนนี้จับคู่กันได้ล่ะก็ นี่พอจะเรียกได้ว่าเป็นคู่สร้างคู่สมคู่หนึ่งเลยทีเดียว

อย่างไรก็ตาม เมื่อจ้าวฮั่นได้เติบโตขึ้น ด้วยการที่ถือว่าตนเองนั้นเป็นนายน้อยผู้ยิ่งใหญ่ทำให้ตัวเขานั้นไม่เคยขาดผู้หญิงอยู่ข้างกาย นี่ทำให้หลิวซวนเอ๋อและปู่ของเธอนั้นนับวันยิ่งขยะแขยงจ้าวฮั่นมากขึ้นไปทุกที และผลก็คือความสัมพันธ์อันดีระหว่างหลิวซวนเอ๋อและจ้าวฮั่นนั้นก็ได้สิ้นสุดลงตั้งแต่เมื่อไหร่จ้าวฮั่นยังไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ

นี่ยังไม่รวมถึงเรื่องที่ว่าเมื่อหลิวซวนเอ๋อเติบโตขึ้น ความสามารถของเธอได้ฉายแววที่สูงล้ำออกมา ส่วนกับจ้าวฮั่นนันกลับยิ่งดำดิ่งลงไปเรื่อยๆ ถึงแม้จ้าวฮั่นต้องการจะกลับมาเข้าหาหลิวซวนเอ๋อมากมายขนาดไหน แต่เขานั้นกลับไม่เคยได้รับการตอบรับอันดีจากหลิวซวนเอ๋อเลยสักครั้ง

“จ้าวฮั่น ข้าไม่เคยคิดเลยจริงๆว่าคนอย่างเจ้านั้นจะสามารถก้าวข้ามผ่านระดับทหารขึ้นไปได้ ข้าว่าเจ้าคงจะผลาญทรัพย์สมบัติของผู้อาวุโสจ้าวไปไม่น้อยเลยสินะ”

หลิวซวนเอ๋อพูดออกมาอย่างไม่ไว้หน้าเลยแม้แต่น้อย เธอได้แสดงให้เห็นอย่างกระจ่างชัดว่าการที่จ้าวฮั่นนั้นขึ้นมาได้ถึงระดับในปัจจุบันเป็นเพราะมีปู่เขาคอยสนับสนุนทรัพยากรมากมายให้

จ้าวฮั่นเองก็แกล้งทำเป็นไม่เข้าใจและพูดออกมาต่อ “ศิษย์พี่หลิว ในวันนี้ข้านั้นมาพร้อมกับศิษย์น้องหยาน ข้ามาที่นี่เพราะต้องการมาชมการต่อสู้น่ะ ทำไมเราไม่มาดูการต่อสู้กันซะก่อนล่ะ”

หยานยิงเย่ผู้ซึ่งถูกประกาศว่ามีจ้าวฮั่นสนับสนุนในครั้งนี้ เขาได้มองไปที่เฉินเฉียงก่อนที่จะพูดออกมา “เจ้าคือเฉินเฉียงรึ”

เฉินเฉียงได้ทำการประสานมือคารวะและตอบกลับไป แต่หยานยิงเย่กลับไม่สนใจและพูดออกมาต่อ “ข้าได้ยินมาว่าเจ้านั้นเป็นคนแล่เนื้ออยู่ในโรงครัวของสำนักไม่ใช่รึไง”

“บอกตรงๆเลยนะว่าข้านั้นไม่ได้มีความคิดอยากที่จะสู้กับเจ้าเลยแม้แต่น้อย”

“แต่ข้าได้ยินมาว่าคนอย่างเจ้านั้นกลับกล้ามาทำให้แผนกวิญญาณของข้านั้นต้องพ่ายแพ้อย่างน่าอับอายมาก่อนหน้านี้ ข้าจึงต้องการประลองกับเจ้าเพื่อเรียกคืนชื่อเสียงของอาจารย์แทนหลินคู”

“ข้าจะให้โอกาสเจ้า หากเจ้ายอมคุกเข่าต่อหน้าหลินคูและเอ่ยปากขอให้เขายกโทษให้ได้ ข้ายินดีที่จะยอมยกเลิกการประลองในครั้งนี้ เจ้าคิดว่ายังไง”

“คนแล่เนื้อเหรอ ฮ่าฮ่าฮ่า”

หลังจากสิ้นคำของหยานยิงเย่แล้วนั้นกลุ่มศิษย์ที่ติดตามเขามาก็ได้หัวเราะกันดังลั่น

“เหอะ กับอีแค่คนแล่เนื้อของโรงครัวสำนักกับกล้าที่จะมาขายหน้าในสนามประลอง ช่างน่าขันจริงๆ”

“ไม่เพียงเท่านั้น ข้าได้ยินมาว่าก่อนหน้าที่มันจะเข้าสำนักมานั้นมันเป็นเพียงคนเก็บซากศพของทีมเก็บกู้ซากศพเล็กๆเท่านั้น”

“โฮ่ งั้นมันก็เป็นทั้งคนเก็บซากกับแล่เนื้อเลยน่ะสิ ช่างชั้นต่ำจริงๆ”

เฉินเฉียงได้ยิ้มแต่ไม่พูดอะไรออกมากับท่าทีอันน่าสังเวชของคนประเภทนี้

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้เขาจะไม่พูด แต่ก็ไม่ใช่ว่าศิษย์แผนกวิชายุทธพิเศษจะยินยอมกับคำพูดเหล่านี้

“หึหึหึ ดูเหมือนว่าจะมีคนอยากโดนกวาดล้างยกแผนกสินะ”

“ก็ดี หลังจากเสร็จการประลองของศิษย์น้องแล้วจะไม่มีไอ้พวกระดับนายพลวิญญาณของแผนกวิญญาณจะกลับไปได้โดยหน้าตาเฉยสักคนเดียว”

“พวกเราเหล่าศิษย์แผนกวิชายุทธพิเศษจะท้าประลองกับพวกระดับนายวิญญาณของแผนกวิญญาณทั้งหมด”

“อึ้ก”

เมื่อได้ยินคำพูดอันอาฆาตของหลู่ฟางแล้วทำให้คนที่ยืนอยู่หลังหยานยิงเย่ต่างก็พูดอะไรไม่ออก

ไม่เพียงเท่านั้น ในตอนนี้ศิษย์ระดับนายพลวิญญาณของแผนกวิญญาณบางส่วนเริ่มแอบล่าถอยและวิ่งหนีไป

“ศิษย์พี่ ท่านจะไปไหนกัน”

“เอ่อออ….ศิษย์น้อง สู้ให้เต็มที่นะ พอดีว่าข้าต้องไปทำภารกิจ คงจะไม่กลับมาอีกพักใหญ่”

และเพียงไม่นาน เหล่าศิษย์ที่อยู่ในระดับนายพลวิญญาณก็ได้จากหายไปกันทั้งหมด

“ศิษย์พี่หยาน…สินะ ต่อให้ท่านไม่มาหาข้าในวันนี้ ยังซะข้าก็ต้องท้าประลองกับท่านอยู่ดี”

“เอ….เมื่อกี้ท่านเรียกข้าว่าคนแล่เนื้อสินะ”

“ก็ไม่เลวแหะ อืมมมม ไม่เลวเลยจริงๆ”

“ในวันนี้ ข้า เฉิงเฉียงจะขอรับชื่อที่เจ้าตั้งมาให้ข้าว่าคนแล่เนื้อ”

“และไม่ว่าผลการประลองจะออกมาเช่นไร ข้าจะขอประกาศไว้ ณ ตรงนี้”

“ข้า คนแล่เนื้อ ขอประกาศว่าจะท้าประลองกับศิษย์แผนกวิญญาณที่อยู่ในระดับทหารขั้นสูงให้ทั่วทุกตัวคน”

ในทันทีที่เฉินเฉียงพูดจบ เหล่าศิษย์ในแผนกวิชายุทธพิเศษต่างก็โห่ร้องลั่น

“ดีเลยศิษย์น้อง พวกเราสนับสนุนเจ้าเต็มที่”

“เหล่าศิษย์ระดับนายพลวิญญาณของแผนกวิญญาณนั้นได้แพ้พ่ายให้พวกเราจนหมดแล้ว หากว่าศิษย์น้องฝึกอย่างหนักและโค่นล้มพวกระดับทหารได้ล่ะก็ ศิษย์น้องจะทำให้แผนกวิชายุทธพิเศษของพวกเรา มีชื่อเสียงในสำนักเต่าดำแห่งนี้อย่างแน่นอน”