ตอนที่ 46 หมาป่าเดียวดาย หร่านหร่านกำลังเรียน

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

“อ๊า” ฉินหร่านพูดไปอย่างลวกๆ เธอมองไปที่ชื่อเรื่องของหนังสือให้ความรู้อย่างระมัดระวัง “คำสั่ง ครั้งล่าสุดเป็นอุบัติเหตุ แต่สถานะของฉันตอนนี้ดีขึ้นแล้ว” 

 

 

“เหรอ?” ฉังหนิงถามอย่างหยอกล้อ แต่เมื่อได้ยินคำตอบจากฉินหร่าน เขาก็ตกตะลึงจนต้องลุกขึ้นจากโซฟา 

 

 

“เริ่มได้เลยเดือนหน้า” ฉินหร่านวางหนังสือลง หยิบหนังสืออีกเล่มแล้วพูดช้าๆ “ฉันก็ไม่ได้รีบ” 

 

 

“คุณพระช่วย ถ้าเธอจะเริ่มเดือนหน้าเลย ฉันก็ไม่มีความเห็นอะไรนะ” ฉังหนิงก้าวเดินไปมาในห้อง ของเขา แต่ก็ปกปิดความตื่นเต้นไว้ไม่ได้ ในที่สุดเขาก็ระเบิดหัวเราะออกมา “ตราบใดที่เธอยังกลับมา เธอรู้ไหมว่าฉันกลัวแค่ไหนที่เธอจะไม่รับคำสั่งหลังจากที่หายตัวไปเป็นปี” 

 

 

ตราบใดที่ฉินหร่านยังไม่ออก ฉังหนิงก็สบายใจได้ 

 

 

ฉินหร่านไม่แปลกใจกับท่าทีของฉังหนิง มีเจ้าหน้าที่มากมายในหน่วยสืบสวนหนึ่งสองเก้า แม้ดูจากภายนอกเจ้าหน้าที่อาชญากรรมจิตวิทยาจะดูเป็นเจ้าหน้าที่ธรรมดา แต่เมื่ออยู่ในโลกภายนอกการทำงานและการประมวลผลข้อมูลของเขามันมีประโยชน์แ ละให้ประสบการณ์มากกว่าการอยู่กับทีมสอบสวนทั้งปีเสียอีก 

 

 

การเข้าร่วมหน่วยหนึ่งสองเก้าเป็นเรื่องยากมาก 

 

 

ฉินหร่านเป็นเจ้าหน้าที่อาวุโสเพียงคนเดียวในหน่วยหนึ่งสองเก้าเมื่อใดที่เธอรับคำสั่งก็ไม่มีอะไรที่เธอทำไม่ได้ 

 

 

เธอเป็นผู้มากประสบการณ์ของหน่วยหนึ่งสองเก้าเนื่องจากสำนักงานใหญ่อยู่ที่ปักกิ่ง ฉินหร่านไม่เคยพบกับสมาชิกของหน่วยหนึ่งสองเก้าเลย ฉังหนิงรู้ชื่อจริงของฉินหร่านแต่ก็ไม่รู้อายุของเธอ 

 

 

ฉินหร่านเข้าร่วมเมื่อสี่ปีก่อน ในตอนนั้นเสียงของเธอยังไม่เป็นผู้ใหญ่ เธอจึงใช้เครื่องแปลงเสียงเพื่อความสะดวกในการทำงาน 

 

 

เธอใช้มาจนถึงตอนนี้ 

 

 

“พวกคุณคิดมากเกินไปแล้ว ตอนนี้ฉันไม่มีเงิน” ฉินหร่านเอนหลังพิงเก้าอี้อย่างสบายๆ 

 

 

“ก็ดีแล้วนี่ที่ไม่มีเงิน” ถ้าเธอขาดเงิน เธอก็จะไม่ลาออก ฉังหนิงยิ้ม หากผู้คนในปักกิ่งเห็นผู้อำนวยการที่ไม่เห็นแก่ตัวเข้าข้างเขาล่ะก็ คงจะอ้าปากค้างไปตามๆ กัน “เธอบอกว่าปีนี้จะมาที่ปักกิ่ง แล้วจะมาตอนไหนเหรอ” 

 

 

ก่อนที่หน่วยอื่นๆ จะหาตัวสายลับคนนี้เจอ ฉังหนิงอยากจะให้เธออยู่กับหน่วยหนึ่งสองเก้าก่อน 

 

 

“มีบางอย่างผิดพลาด” ฉินหร่านมองไปที่หนังสือแล้วก็มองออกไป “ฉันไปได้ปีหน้า” 

 

 

ฉังหนิงชะงัก “อะไรนะ” 

 

 

ฉินหร่านทำท่าทางใจเย็น “มีสอบเข้ามหาวิทยาลัยน่ะ” 

 

 

“…” ฉังหนิงนิ่งไปสักพักแล้วพูดต่อว่า “ถ้าเธอไม่อยากจะพูดมันออกมา ฉันจะกระจายข่าวการกลับมาของเธอก่อน” 

 

 

ฉินหร่านวางสาย เธอสาบานได้เลยตั้งแต่ต้นว่าเธอไม่ได้โกหก 

 

 

หน้าจอโทรศัพท์สีดำหนักอึ้งที่เธอวางไว้สว่างขึ้นอีกครั้ง 

 

 

“ฉันหาไม่เจอจริงๆ คราวหน้าเดี๋ยวพาไปสแกน” ฉินหร่านเขวี้ยงโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ 

 

 

โทรศัพท์ส่งเสียง “ครืดๆ” และสั่นอีกสองสามครั้ง เมื่อเห็นว่าฉินหร่านไม่สนใจอะไรอีก มันไม่ค่อยมีความสุขนักแล้วก็เงียบลงอีกครั้ง 

 

 

** 

 

 

“พานหมิงเย่ว์ ทำไมผู้ปกครองถึงไม่มาอีกแล้ว” หลี่ไอ้หรงจ้องนักเรียนที่อยู่ตรงหน้า เธอขมวดคิ้ว “ช่างเถอะ เอาเบอร์โทรศัพท์ของผู้ปกครองมาให้ฉันละกัน” 

 

 

พานหมิงเย่ว์เม้มปากและก้มหน้าหลบสายตาครู “คุณครูคะ ตอนนี้คุณลุงของหนูยุ่งมาก ไม่มีเวลาเลยค่ะ” 

 

 

“ยังไงก็เถอะ การสอบเข้ามหาวิทยาลัยเป็นเรื่องสำคัญมาก อย่าเสียเวลาในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยของเธอไปกับอะไรแบบนี้” หลี่ไอ้หรงเป็นครูประจำชั้นของพานหมิงเย่ว์ เป็นที่รู้กันดีว่าพ่อแม่ของเธอตายและตอนนี้เธอก็อาศัยอยู่กับญาติ “ผลการเรียนล่าสุดของเธอขึ้นๆ ลงๆ หอพักมีเสียงดังรบกวนมากเกินไป มันส่งผลต่อการเรียนของเธอ หวังว่าฉันจะได้คุยกับผู้ปกครองและเธอจะเรียนดีขึ้น” 

 

 

“ครูคะ หนูสัญญาว่าสอบครั้งหน้าจะทำให้ดีขึ้น” พานหมิงเย่ว์พูดเรียบๆ 

 

 

สุดท้ายหลี่ไอ้หรงก็ไม่ได้พูดอะไร นอกจากขมวดคิ้วอย่างไม่สบายใจ 

 

 

เธอหาเบอร์โทรศัพท์ผู้ปกครองของพานหมิงเย่ว์ในเอกสารไม่เจอ และเธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่โรงเรียน จะรวบรวมเอกสารกระจัดกระจายนี่ได้ยังไง 

 

 

พานหมิงเย่ว์ถูกชายวัยกลางคนเรียกให้หยุดระหว่างกลับเข้าชั้นเรียน “คุณนายให้มาตามหาคุณครับ” 

 

 

เธอเดินตามเขาไปเงียบๆ 

 

 

ไม่ไกลจากทางเข้าโรงเรียน รถปอร์เช่จอดอยู่ 

 

 

เธอเข้าไปนั่งที่เบาะคนขับ แล้วหญิงที่ดูสง่างามตรงเบาะหลังก็ผงกหัวขึ้นมา “พานหม่งเย่ว์ เธอกำลังอวดใครเหรอ” 

 

 

พามหมิงเย่ว์ตัวแข็ง “ป้า…” 

 

 

คุณนายเฟิงหัวเราะแล้วพูดว่า “ลุงเฟิงไม่อยู่ที่นี่ เธอไม่ต้องโกหกแกล้งทำเป็นเรียกฉัน วันนี้มีประชุมผู้ปกครองใช่ไหม พานหมิงเย่ว์ ฉันรู้จักเธอดี อย่าคิดว่าเธอจะหลอกทุกคนได้ด้วยการทำแบบนี้ ฉันจะบอกความจริงกับเฟิงโหลวเฉิงวันนี้” 

 

 

พานหมิงเย่ว์ลงจากรถแล้วมองรถปอร์เช่ค่อยๆ ไกลออกไปจนลับตา 

 

 

ดวงอาทิตย์ส่องอยู่เหนือหัว แต่เธอกลับหนาวสะท้าน 

 

 

ลู่จ้าวอิ่งเดินเล่นอยู่รอบๆ ก่อนจะกลับเข้าโรงเรียนมาตอนเที่ยง 

 

 

ที่โรงเรียนไม่ค่อยมีคนมากนัก ตอนที่เขาเดินถือโทรศัพท์ไปที่ห้องพยาบาลของโรงเรียน เขาเห็นใครบางคนที่ดูคุ้นตานั่งกอดเข่าอยู่ริมทางเดิน 

 

 

เธอกอดเข่าแล้วฟุบหน้าลง 

 

 

เขามองอยู่พักใหญ่แต่อีกฝ่ายก็ไม่เงยหน้า 

 

 

จากผมสั้นทรงนั้นของเธอทำให้เขารู้ว่าเป็นใคร 

 

 

“เธอใช่เพื่อนร่วมห้องของฉินหร่านหรือเปล่า เกิดอะไรขึ้น” มือของลู่จ้าวอิ่งนิ่งอยู่ในกระเป๋ากางเกง เขานั่งลงตรงหน้าเธอ 

 

 

พานหมิงเย่ว์เงยหน้าขึ้นมา ใบหน้าของเธอซีดเซียวและดวงตาแดงก่ำ 

 

 

ลู่จ้าวอิ่งมองเธอแล้วครุ่นคิดสักพักก่อนเดินไปซื้อชานมร้อนที่ร้านชานมไข่มุกข้างๆ เขายื่นมันให้เธอ “ของชอบฉินหร่าน” 

 

 

พานหมิงเย่ว์ชำเลืองมองลู่จ้าวอิ่งอยู่นานโดยไม่ได้คิดอะไร เธอยื่นมือรับแล้วหัวเราะออกมา เพียงชั่วครู่เธอก็กลับมาหน้าบูดอีกครั้ง 

 

 

เธอกระซิบ “ขอบคุณค่ะ” แล้วเดินไปมาข้างๆ เขา 

 

 

เธอขี้อาย 

 

 

ลู่จ้าวอิ่งมองดูเธอ เห็นได้ชัดว่าเธอสวมกางเกงขายาวแต่มันสั้นไปหน่อยก็เลยเห็นข้อเท้า 

 

 

เธอกับฉินหร่านเป็นเพื่อนกันจริงๆ 

 

 

ทั้งคู่ยากจนมาก 

 

 

อาจารย์ลู่มักจะไม่สนใจใคร แค่เขาโบกมือในปักกิ่ง สาวๆ ก็อยากมาเกาะติดกับเขาเหมือนกับกระดาษโน้ต เขามองพานหมิงเย่ว์อยู่ข้างๆ ในตอนที่เธอจากไปโดยไม่แม้แต่จะหันหลังกลับมา ผ่านไปสักครู่เขาก็เงยหน้าแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ 

 

 

** 

 

 

เฉียวเชิงล้มตัวลงบนโต๊ะหันไปมองฉินหร่าน วันนี้เธอไม่ได้อ่านหนังสือนอกเวลาและมีเอกสารทบทวนอยู่ตรงหน้าของเธอ เขาไม่เคยเห็นหนังสือนั่นมาก่อน 

 

 

ฉินหร่านสวมหูฟังนั่งตะแคงข้างบนเก้าอี้ยกขาอย่างสบายใจ จากมุมนี้มองเห็นใบหน้าของเธอที่บึ้งตึงและขมวดคิ้วอย่างรำคาญได้อย่างชัดเจนจากการอ่านแบบทดสอบในหนังสือ 

 

 

“นายน้อยสวี เมื่อวานนี้คุณไม่ได้มา คุณคงไม่รู้” เขาได้ยินว่าวันนี้ฉินหร่านเพิ่งเริ่มเรียนกับเริ่มอ่านหนังสือและอารมณ์ที่ไม่ค่อยดีนัก เฉียวเชิงเลยไม่กล้าที่จะแกล้งเธอในตอนนี้ เขาสะกิดไหล่สวีเหยากวง “พี่ชายของฉินหร่านอยู่ที่นี่” เขาหยุดแป๊บนึง “ฉันไม่รู้ว่าพวกเขามีความสัมพันธ์แบบไหน แต่ยังไงก็เถอะ ยีนของครอบครัวเขาก็ดีจริงๆ” 

 

 

ครอบครัวของสวีเหยากวงไม่เคยมาประชุมผู้ปกครอง กระนั้นเขาก็เป็นที่หนึ่งในโรงเรียน ดังนั้นที่โรงเรียนจึงไมได้ว่าอะไร 

 

 

สวีเหยากวงได้ยินชื่อฉินหร่านก็ขยับคิ้วแต่ก็ไมได้เลิกคิ้วขึ้น 

 

 

“นายน้อยสวีมาเอาข้อสอบฟิสิกส์ครับ” เพราะเฉียวเชิงทำให้หลายคนเรียกสวีเหยากวงว่านายน้อยสวี 

 

 

สวีเหยากวงวางปากกาลงแล้วไปสำนักงานเพื่อเอาข้อสอบ 

 

 

ฉินอวี่อยู่ที่นั่น เธอทำช้าและเมื่อเธอเห็นสวีเหยากวงเดินมา เธอก็หยุดทำแล้วออกมากับเขา “คราวนี้ข้อสอบมันยากมาก ได้ยินมาว่ามีคนผ่านแค่ครึ่งเดียวเอง” 

 

 

“ทำข้อสุดท้ายเสร็จหรือยัง” สวีเหยากวงหยิบข้อสอบขึ้นมา เคมีเป็นวิชาที่เขาไม่ถนัด 

 

 

เขาตอบคำถามได้หมดทุกข้อ แต่ข้อสุดท้ายเขาทำไมได้ 

 

 

“ยัง” ฉินอวี่ส่ายหัวแล้วบอกกับเขาอีกครั้ง “ฉันตรวจดูข้อสอบแล้ว พานหมิงเย่ว์ก็ทำข้อสอบไม่ได้เหมือนกัน” 

 

 

สวีเหยากวงพยักหน้า เขาเร่งฝีเท้าเพื่อมุ่งหน้าไปศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง 

 

 

ฉินอวี่กำหมัดแน่น 

 

 

เมื่อสวีเหยากวงกำลังแจกเอกสาร เขาก็สะดุดที่กระดาษของหลินซือหรานและพูดว่า “หลินซือหราน ข้อนี้เธอทำยังไง” 

 

 

เขาชี้ไปที่คำถามเติมคำในช่องว่างวิชาฟิสิกส์ข้อสุดท้ายของหลินซือหราน สายตาของเขาเฉียบคม 

 

 

หลินซือหรานกำลังคำนวณกับกระดาษทด เมื่อเธอได้ยินเขาถาม เธอก็ตะลึง จากนั้นเธอก็ตีฉินหร่านเบาๆ “ใช่ หร่านหร่านเธอทำได้ยังไง”