เล่ม 1 ตอนที่ 50 ช่างน่าเสียดาย

ยอดหญิงลิขิตสวรรค์

“พรสวรรค์ของซือถิงยอดเยี่ยม ดูเหมือนช่วงนี้เขาจะพัฒนาขึ้นมาก ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาจะหาจุดศูนย์กลางนี้เจอจนได้”

ซุนจ้งเหยียนกลับไม่ประหลาดใจและยกมือขึ้น

ท่าทางเฉียบคมเช่นนี้ ดูเหมือนจะไม่ใช่ตัวตนของเขาเลยสักนิด

“หรือท่านสังเกตเห็นแล้วว่ามีคู่แข่งที่สามารถเอาชนะเขาได้…”

ซุนจ้งเหยียนพึมพำเสียงต่ำ

อีกสองคนจึงสบตากัน แล้วเผยสีหน้างุนงง

“เอาชนะหรือ ผู้อาวุโสซุน ท่านเอาจริงหรือ ลูกศิษย์ในสำนักมีใครเอาชนะซือถิงได้ด้วย”

คนนอกอาจไม่รู้ แต่ในฐานะที่พวกเขาเป็นปรมาจารย์ พวกเขารู้จักพรสวรรค์และความแข็งแกร่งของซือถิงดีที่สุด

ไม่ได้พูดเกินจริง แม้กระทั่งศิษย์พี่ที่อาวุโสกว่าซือถิงสองรุ่นก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาเลย

“ท่านเคยพูดว่า ผู้ที่มีพรสวรรค์ด้านปรมาจารย์อย่างซือถิง ในหนึ่งศตวรรษจะเจอเพียงแค่หนึ่งคนมิใช่หรือ”

ซุนจ้งเหยียนชี้นิ้วไปที่จุดกึ่งกลางระหว่างทั้งสามคน

“ดูให้ดี แม้ว่าฉู่หลิวเยว่จะเดินสะเปะสะปะ แต่จริงๆ แล้วนางไปในทิศทางเดียวกันเสมอ”

เมื่อได้ยินดังนั้นทั้งสองก็มองลงมาอย่างสงสัย

เริ่มจากตำแหน่งที่นางเข้าไปจนสุดทาง นางกำลังมุ่งไปสู่…

“จุดศูนย์กลางของค่ายกล!”

แม้ว่าค่ายกลอยู่ตรงกลางจะค่อนข้างซับซ้อนวุ่นวาย แต่ถ้ามองโดยรวมแล้ว ฉู่หลิวเยว่ได้เคลื่อนที่ไปยังทิศทางของจุดศูนย์กลางด้านหน้าอย่างแน่นอน!

“เป็นไปได้ยังไง นางไม่ได้เป็นแม้กระทั่งปรมาจารย์ขั้นที่หนึ่งด้วยซ้ำ นางจะมีทางหาจุดศูนย์กลางของค่ายกลเจอได้อย่างไร นางน่าจะแค่อาศัยความรู้สึกของตัวเองมากกว่ามั้ง”

สีหน้าชายวัยกลางคนทั้งสองเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ

ซุนจ้งเหยียนหัวเราะ

“ถ้าตอนที่นางอยู่ทางสามแยกเมื่อครู่นี้ไม่ได้เลือกทางผิดล่ะก็ คราวนี้ก็คงถึงจุดศูนย์กลางค่ายกลไปแล้ว ไม่แน่…บางทีนางอาจจะเร็วกว่าซือถิงก็ได้”

คำพูดนี้ทำให้อีกสองคนที่เหลือถึงกับนิ่งเงียบโดยไม่เอ่ยสิ่งใดไปสักพัก

“มิน่าล่ะ ท่าทางกระหยิ่มยิ้มย่องของไป๋เชินเมื่อครู่นี้ สงสัย เขาคงจะเจอเพชรในตมจริงแล้วล่ะ…”

ซุนจ้งเหยียนมองไปที่ค่ายกลอย่างนึกสนใจ และเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นในตัวฉู่หลิวเยว่

หากไม่ได้เป็นเพราะนางไม่คุ้นเคยกับค่ายกล หรือไม่ก็…นางจงใจเก็บซ่อนเอาไว้!

ฉู่หลิวเยว่เดินผ่านผืนป่า

ณ ช่วงเวลาหนึ่ง ทันใดนั้นนางก็หยุดเดิน หลับตาลง แล้วสัมผัสการเปลี่ยนแปลงของค่ายกลนี้อย่างละเอียด

“ในที่สุดก็มาถึง…”

ฉู่หลิวเยว่พึมพำ ก่อนจะลืมตาขึ้นมา

ซือถิงก็น่าจะถึงจุดศูนย์กลางของค่ายกลแล้ว เช่นนั้นตอนนี้นางก็สามารถไปได้แล้ว

อันดับแรกนางไม่ได้ให้ความสนใจเท่าไรนัก แล้วก็ไม่ได้คิดที่จะเปิดเผยความสามารถและตัวตนในวันนี้

แต่จะให้ผลสอบออกมาย่ำแย่ก็ไม่ได้อีก มิฉะนั้นนางก็จะถูกชี้หน้าด่าว่าเป็นขยะไร้ค่าไปเรื่อยๆ

นางสูดหายใจเข้าลึก แล้วหันหลังเดินไปข้างหน้า

หลังจากที่ซือถิงมาถึงจุดศูนย์กลางของค่ายกล เขาก็พบว่าไม่มีใครอยู่ที่นี่ และเขาก็โล่งใจ ดูเหมือนว่าไม่มีใครนำหน้าเขา

แต่แล้วเขาก็ขมวดคิ้วทันที นี่เขาจะกังวลว่ามีคนนำหน้าเขาไปทำไม

เขามั่นใจในตนเองอย่างแน่นอน เขาไม่เคยมีความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน แล้ววันนี้เขาเป็นอะไรกันแน่

หรือว่าจะเป็นเพราะคำพูดนั้นของฉู่หลิวเยว่

ซือถิงค่อยๆ กำหมัดแน่น

อันที่จริง เขารู้สึกถึงพลังอันตรายบางอย่างที่ออกมาจากตัวฉู่หลิวเยว่

แล้วเขาก็ไม่รู้ว่าความรู้สึกนั้นมาจากไหน แต่กลับรู้สึกว่าฉู่หลิวเยว่ไม่ใช่คนกระจอกงอกง่อย

โชคดีที่เขามาถึงจุดศูนย์กลางของค่ายกลก่อน

ขอแค่มาถึงจุดนี้ได้ การแข่งขันครั้งนี้ก็น่าจะสิ้นสุดลงได้แล้ว

ซือถิงโบกมือและเส้นสีเงินก็พุ่งออกมาจากค่ายกลแล้วลอยขึ้นไปในอากาศกลายเป็นรูปร่างอันน่าพิศวง

ผ่านไปครู่หนึ่งเส้นสีเงินก็สั่นสะเทือนและหายไปทันที!

ซือถิงมองทิศทางที่ชี้ไปตามเส้นก่อนและก้าวขาเดินไปข้างหน้า

ในขณะที่เขากำลังจะขยับ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นมาจากข้างหลัง

เขาแทบจะหันหลังมองโดยไม่รู้ตัว

ร่างผอมบางสง่างามของหญิงสาวผู้หนึ่งก็สะท้อนในแววตา

ฉู่หลิวเยว่เงยหน้าขึ้น แล้วทั้งสองก็สบตากัน

นางยิ้มให้และยักไหล่

“ช่างน่าเสียดายจริงๆ ข้าตามหลังเจ้าแล้ว”