“พรสวรรค์ของซือถิงยอดเยี่ยม ดูเหมือนช่วงนี้เขาจะพัฒนาขึ้นมาก ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาจะหาจุดศูนย์กลางนี้เจอจนได้”
ซุนจ้งเหยียนกลับไม่ประหลาดใจและยกมือขึ้น
ท่าทางเฉียบคมเช่นนี้ ดูเหมือนจะไม่ใช่ตัวตนของเขาเลยสักนิด
“หรือท่านสังเกตเห็นแล้วว่ามีคู่แข่งที่สามารถเอาชนะเขาได้…”
ซุนจ้งเหยียนพึมพำเสียงต่ำ
อีกสองคนจึงสบตากัน แล้วเผยสีหน้างุนงง
“เอาชนะหรือ ผู้อาวุโสซุน ท่านเอาจริงหรือ ลูกศิษย์ในสำนักมีใครเอาชนะซือถิงได้ด้วย”
คนนอกอาจไม่รู้ แต่ในฐานะที่พวกเขาเป็นปรมาจารย์ พวกเขารู้จักพรสวรรค์และความแข็งแกร่งของซือถิงดีที่สุด
ไม่ได้พูดเกินจริง แม้กระทั่งศิษย์พี่ที่อาวุโสกว่าซือถิงสองรุ่นก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาเลย
“ท่านเคยพูดว่า ผู้ที่มีพรสวรรค์ด้านปรมาจารย์อย่างซือถิง ในหนึ่งศตวรรษจะเจอเพียงแค่หนึ่งคนมิใช่หรือ”
ซุนจ้งเหยียนชี้นิ้วไปที่จุดกึ่งกลางระหว่างทั้งสามคน
“ดูให้ดี แม้ว่าฉู่หลิวเยว่จะเดินสะเปะสะปะ แต่จริงๆ แล้วนางไปในทิศทางเดียวกันเสมอ”
เมื่อได้ยินดังนั้นทั้งสองก็มองลงมาอย่างสงสัย
เริ่มจากตำแหน่งที่นางเข้าไปจนสุดทาง นางกำลังมุ่งไปสู่…
“จุดศูนย์กลางของค่ายกล!”
แม้ว่าค่ายกลอยู่ตรงกลางจะค่อนข้างซับซ้อนวุ่นวาย แต่ถ้ามองโดยรวมแล้ว ฉู่หลิวเยว่ได้เคลื่อนที่ไปยังทิศทางของจุดศูนย์กลางด้านหน้าอย่างแน่นอน!
“เป็นไปได้ยังไง นางไม่ได้เป็นแม้กระทั่งปรมาจารย์ขั้นที่หนึ่งด้วยซ้ำ นางจะมีทางหาจุดศูนย์กลางของค่ายกลเจอได้อย่างไร นางน่าจะแค่อาศัยความรู้สึกของตัวเองมากกว่ามั้ง”
สีหน้าชายวัยกลางคนทั้งสองเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ
ซุนจ้งเหยียนหัวเราะ
“ถ้าตอนที่นางอยู่ทางสามแยกเมื่อครู่นี้ไม่ได้เลือกทางผิดล่ะก็ คราวนี้ก็คงถึงจุดศูนย์กลางค่ายกลไปแล้ว ไม่แน่…บางทีนางอาจจะเร็วกว่าซือถิงก็ได้”
คำพูดนี้ทำให้อีกสองคนที่เหลือถึงกับนิ่งเงียบโดยไม่เอ่ยสิ่งใดไปสักพัก
“มิน่าล่ะ ท่าทางกระหยิ่มยิ้มย่องของไป๋เชินเมื่อครู่นี้ สงสัย เขาคงจะเจอเพชรในตมจริงแล้วล่ะ…”
ซุนจ้งเหยียนมองไปที่ค่ายกลอย่างนึกสนใจ และเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นในตัวฉู่หลิวเยว่
หากไม่ได้เป็นเพราะนางไม่คุ้นเคยกับค่ายกล หรือไม่ก็…นางจงใจเก็บซ่อนเอาไว้!
…
ฉู่หลิวเยว่เดินผ่านผืนป่า
ณ ช่วงเวลาหนึ่ง ทันใดนั้นนางก็หยุดเดิน หลับตาลง แล้วสัมผัสการเปลี่ยนแปลงของค่ายกลนี้อย่างละเอียด
“ในที่สุดก็มาถึง…”
ฉู่หลิวเยว่พึมพำ ก่อนจะลืมตาขึ้นมา
ซือถิงก็น่าจะถึงจุดศูนย์กลางของค่ายกลแล้ว เช่นนั้นตอนนี้นางก็สามารถไปได้แล้ว
อันดับแรกนางไม่ได้ให้ความสนใจเท่าไรนัก แล้วก็ไม่ได้คิดที่จะเปิดเผยความสามารถและตัวตนในวันนี้
แต่จะให้ผลสอบออกมาย่ำแย่ก็ไม่ได้อีก มิฉะนั้นนางก็จะถูกชี้หน้าด่าว่าเป็นขยะไร้ค่าไปเรื่อยๆ
นางสูดหายใจเข้าลึก แล้วหันหลังเดินไปข้างหน้า
…
หลังจากที่ซือถิงมาถึงจุดศูนย์กลางของค่ายกล เขาก็พบว่าไม่มีใครอยู่ที่นี่ และเขาก็โล่งใจ ดูเหมือนว่าไม่มีใครนำหน้าเขา
แต่แล้วเขาก็ขมวดคิ้วทันที นี่เขาจะกังวลว่ามีคนนำหน้าเขาไปทำไม
เขามั่นใจในตนเองอย่างแน่นอน เขาไม่เคยมีความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน แล้ววันนี้เขาเป็นอะไรกันแน่
หรือว่าจะเป็นเพราะคำพูดนั้นของฉู่หลิวเยว่
ซือถิงค่อยๆ กำหมัดแน่น
อันที่จริง เขารู้สึกถึงพลังอันตรายบางอย่างที่ออกมาจากตัวฉู่หลิวเยว่
แล้วเขาก็ไม่รู้ว่าความรู้สึกนั้นมาจากไหน แต่กลับรู้สึกว่าฉู่หลิวเยว่ไม่ใช่คนกระจอกงอกง่อย
โชคดีที่เขามาถึงจุดศูนย์กลางของค่ายกลก่อน
ขอแค่มาถึงจุดนี้ได้ การแข่งขันครั้งนี้ก็น่าจะสิ้นสุดลงได้แล้ว
ซือถิงโบกมือและเส้นสีเงินก็พุ่งออกมาจากค่ายกลแล้วลอยขึ้นไปในอากาศกลายเป็นรูปร่างอันน่าพิศวง
ผ่านไปครู่หนึ่งเส้นสีเงินก็สั่นสะเทือนและหายไปทันที!
ซือถิงมองทิศทางที่ชี้ไปตามเส้นก่อนและก้าวขาเดินไปข้างหน้า
ในขณะที่เขากำลังจะขยับ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นมาจากข้างหลัง
เขาแทบจะหันหลังมองโดยไม่รู้ตัว
ร่างผอมบางสง่างามของหญิงสาวผู้หนึ่งก็สะท้อนในแววตา
ฉู่หลิวเยว่เงยหน้าขึ้น แล้วทั้งสองก็สบตากัน
นางยิ้มให้และยักไหล่
“ช่างน่าเสียดายจริงๆ ข้าตามหลังเจ้าแล้ว”