“หึๆๆ…” หนานกงเยี่ยหัวเราะเสียงเบา “หวังว่าคุณจะทุ่มสุดตัวแบบนี้ในทุกวัน”
“ยังเหลือเวลาอีกครึ่งเดือน ฉันจะปรนนิบัติรับใช้คุณหนานกงเป็นอย่างดีแน่นอนค่ะ” เหลิ่งรั่วปิงรู้ดี ก่อนที่จะเธอจะมีสิทธิ์ในการออกแบบแลนด์มาร์คของเมืองหลง เธอจำเป็นต้องเอาใจหนานกงเยี่ยและทำให้เขามีความสุขตลอดเวลา
เมื่อได้ยินเหลิ่งรั่วปิงบอกว่าเหลือเวลาอีกครึ่งเดือน คิ้วของหนานกงเยี่ยขมวดขึ้นเล็กน้อย ยังเหลือเวลาอีกครึ่งเดือน สัญญาระหว่างเขากับเธอก็ครบกำหนดแล้ว เมื่อผ่านครึ่งเดือนนี้ไปแล้วเขาจะยอมปล่อยมือจากเธอรึเปล่า เรื่องนี้เขาเองก็ไม่รู้ ในเมื่อเวลานั้นยังมาไม่ถึง เขาก็จะยังไม่เป็นคิดถึงมัน แต่ตอนนี้เขายังไม่อยากปล่อยมือไปจากเธอ
“คุณอยากที่จะไปจากผมมากขนาดนี้เลยหรอ” เห็นได้ชัดว่าน้ำเสียงของหนานกงเยี่ยดูแข็งกร้าวมากขึ้นเล็กน้อย
“…” เหลิ่งรั่วปิงคลายยิ้ม แล้วจัดคอเสื้อของเขาให้เข้าที่ พร้อมพูดเสียงออดอ้อน “ไม่ว่าฉันจะอยากหรือไม่อยากไปจากคุณ แต่คุณหนานกงก็ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ให้ฉันอยู่กับคุณอีก ดังนั้นฉันก็เลยไม่อยากจะคิดมาก เวลาที่เหลืออีกครึ่งเดือนฉันจะทำหน้าที่ในส่วนของฉันให้ดีที่สุดค่ะ”
หนานกงเยี่ยเงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นพูดออกมาอย่างประชดประชัน “คุณรู้ตัวดีหนิ”
“คุณหนานกงคะ สิทธิ์ในการสร้างแลนด์มาร์คของเมืองหลงเป็นของบริษัทหนานกงใช่ไหมคะ”
“อืม”
“ถ้าหากว่าความสามารถของฉันทำให้คุณพอใจได้ คุณให้สิทธิ์ฉันในการออกแบบแลนด์มาร์คของเมืองหลงได้ไหมคะ”
“งานออกแบบโรงแรมอิมพีเรียลยังไม่ได้ข้อสรุป ไว้รอให้งานออกแบบนี้ได้ข้อสรุปมาแล้ว ผมค่อยดูแล้วกันว่าคุณเป็นยังไง” หนานกงเยี่ยปรายตามองไปที่เหลิ่งรั่วปิง ที่แท้เป้าหมายของเธอคือการได้รับสิทธิ์ในการออกแลนด์มาร์คของเมืองหลงนี่เอง ถึงว่าตอนนั้นเธอตั้งใจออกแบบโรงแรมอิมพีเรียลมาก ที่แท้ก็เป็นเพราะเธออยากได้รับการยอมรับจากเขา
“ค่ะ” เหลิ่งรั่วปิงไม่กล้าพูดมาก เขารู้ว่าหนานกงเยี่ยเป็นคนที่ทำงานอย่างมีเหตุผล คนอย่างเขาไม่มีวันลำเอียงเพราะว่าเธอสนิทกับเขาอย่างแน่นอน
“แลนด์มาร์คของเมืองหลงก็เหมือนกับโรงแรมอิมพีเรียล จะมีการให้สถาปนิกหกคนมาออกแบบ และจะเลือกผลงานของสถาปนิกหนึ่งในนั้น”
“ฉันเข้าใจแล้วค่ะ ฉันจะพยายามทำให้ดีที่สุด”
“คุณอยากจะเป็นสถาปนิกที่มีชื่อเสียงมากขนาดนั้นเลยหรอ”
“นี่เป็นความหวังของพ่อที่มีต่อฉันค่ะ”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ จู่ๆ หนานกงเยี่ยก็เงียบไปพักหนึ่ง เขามองดูเหลิ่งรั่วปิง วินาทีนั้นเขารู้สึกปวดใจขึ้นมา เหลิ่งรั่วปิงต้องสูญเสียพ่อกับแม่ไปตั้งแต่เด็ก เธอไม่มีใครให้พึ่งพิงและต้องใช้ความพยายามของตนเองในการเรียนให้จบ แต่เธอก็ยังไม่ลืมความปรารถนาสุดท้ายของพ่อ
เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็ง และเป็นผู้หญิงที่น่าสงสาร!
“ทำไมเมื่อวานคุณถึงต้องเสี่ยงอันตรายไปช่วยผู้หญิงคนนั้นด้วย” สุดท้ายหนานกงเยี่ยก็อดไม่ได้ที่จะถามคำถามนี้ เขารู้สึกสงสัยเป็นอย่างมาก
“ฉันไม่ใช่พระแม่มารีย์ และไม่ใช่นางฟ้า ฉันไม่ได้ยิ่งใหญ่มากพอที่จะเสี่ยงชีวิตไปช่วยคนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตนเอง การที่ฉันไปช่วยเธอนั้นเป็นเพราะฉันเคยเจอเรื่องแบบนี้เหมือนกับเธอ”
“…” หนานกงเยี่ยหันไปมองเหลิ่งรั่วปิง เห็นได้ชัดว่าเขาอยากจะฟังคำพูดต่อไปของเธอ
“ตอนที่ฉันอายุสิบเจ็ดปี จู่ๆ พ่อของฉันก็ล้มป่วยและเสียชีวิตอย่างกะทันหัน ทำให้ฉันกลายเป็นเด็กที่ไม่มีใครให้พึ่งพิง และฉันก็ไม่อยากที่จะทิ้งการเรียน ฉันจึงไปเรียนในตอนเช้าและทํางานพาร์ทไทม์ในตอนกลางคืน ในทุกวันฉันต้องทำงานจนถึงดึกกว่าจะได้กลับบ้าน กลางดึกคืนนั้น จู่ๆ ฉันก็ถูกพวกอันธพาลจับตัวไป พวกมันพยายามที่จะข่มขืนฉัน ถ้าไม่ใช่เพราะวันนั้นมีตำรวจผ่านมา ตอนนี้ฉันคงตายไปแล้ว ดังนั้น เมื่อคืนตอนที่ฉันเห็นผู้หญิงคนนั้น ฉันก็คิดถึงตัวเองในอดีต ฉันรู้สึกว่าผู้หญิงที่นั่งอยู่ในรถคือตัวเอง ฉันจึงต้องไปช่วยเธอให้ได้”
ถึงแม้ว่าเหลิ่งรั่วปิงจะปิดบังความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเวินอี๋ แต่สิ่งที่เธอพูดทั้งหมดนั้นคือเรื่องจริงที่เคยเกิดขึ้น ดังนั้นอารมณ์ของเธอในตอนที่พูดเลยจริงจังมาก นัยน์ตาของเธอน้ำตาคลอและเต็มไปด้วยความรู้สึกเห็นใจ
หัวใจของหนานกงเยี่ยถูกกรีดอีกครั้ง มันทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดมากกว่าครั้งที่แล้ว