บทที่ 20 เพลิงเงา
ที่ใดมีแสงสว่าง ที่นั่นย่อมมีความมืด
ในเมืองธารน้ำใสไม่ขาดกลุ่มอันธพาล
มีกลุ่มใหญ่ ๆ ทั้งหมดนับสิบ รวมถึงกลุ่มอสรพิษเขียว โดยแต่ละกลุ่มก้อนจะเป็นพันธมิตรกับตระกูลสายเลือดชั้นสูง ที่ต่างก็ได้รับผลประโยชน์ร่วมกัน
แม้ไม่อาจกล่าวได้ว่ากลุ่มอันธพาลเหล่านี้เป็นกองทัพกองกำลังใด แต่ก็ต้องยอมรับว่ามีอิทธิพลไม่น้อย
เมื่อกลุ่มอันธพาลเหล่านี้รวมตัวกันก็อาจกลายเป็นกองกำลังที่มีอำนาจในเมืองได้
และเมื่อมองลึกลงไปว่าแต่ละตระกูลก็มีข้ารับใช้ ทหารรับจ้าง แขก และทหารทั้งหลายที่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแล้ว ก็ยิ่งฟังดูมีอำนาจมากขึ้นไปอีก
อันซื่อหยวนคิดอยากทำลายความขัดแย้งระหว่างตระกูลชั้นสูงกับทางการลง แต่ก็เกรงว่าโชคตนเองจะไม่มีแล้วทำเรื่องเสีย ดังนั้นจึงทำเพียงฝืนนิ่งเฉยต่อไป
จนกระทั่งซูเฉินปรากฏตัว
อย่างแรก เขาจับตัวคนจากสองตระกูลสายเลือดชั้นสูง แล้วยังจับตัวผู้สืบทอดกลับมาอีก ความเด็ดขาดเช่นนี้ทำให้อันซื่อหยวนตาเป็นประกาย
ดังนั้นจึงเรียกตัวซูเฉินมาไม่ใช่เพื่อต่อว่าต่อขาน แต่เพื่อดึงตัวเข้ามาอยู่ฝ่ายเดียวกันเพราะมีศัตรูร่วมกันต่างหาก อีกทั้งยังต้องการสนับสนุนชายหนุ่มอีกด้วย
แต่ดูท่าทางการสนับสนุนเช่นนี้จะยังดูไม่มากพอ นับว่ายังไม่ได้ให้ความช่วยเหลือเป็นชิ้นเป็นอันมากนัก
แต่นั่นก็เป็นเพราะเขายังไม่รู้จักซูเฉินดีมากพอ ไม่รู้ว่าซูเฉินคิดจะลงมือทำสิ่งใดกับทายาทของทั้ง 2 ตระกูลใหญ่นั่น
ดังนั้นเขาจะรอดูก่อน
การพบกันในครั้งนี้ก็เพื่อดูว่าซูเฉินมีความคิดเช่นไร
และเขาก็รู้สึกยินดียิ่งกว่าอะไร
แต่กระนั้น อันซื่อหยวนก็ยังไม่ยอมเปิดเผยอะไรมากนัก
นั่นเป็นเพราะซูเฉินยังต้องรับมือกับสองตระกูลสายเลือดชั้นสูง ยังต้องพิสูจน์ตนเองอยู่
พูดโดยง่ายคือ เขาต้องการใช้ซูเฉินเพื่อกรุยทางให้ตนเอง
เคราะห์ดีที่ชายหนุ่มต้องการเพียงการสนับสนุนเบื้องหน้าจากอันซื่อหยวนเท่านั้น เมื่อมีฐานะของอันซื่อหยวนมาเป็นหลักประกันแล้ว แผนการขั้นต่อไปก็ดำเนินการได้ง่ายดายกว่าเดิมมาก
หลังจากพูดคุยกันระยะหนึ่ง ซูเฉินก็ลุกขึ้นแล้วขอตัว
เมื่อเห็นซูเฉินจากไปแล้ว อันซื่อหยวนหรี่ตาลง ทำให้กลิ่นอายไม่ดูเปิดเผยเช่นเมื่อก่อนหน้า “เป็นคนหนุ่มที่น่าสนใจไม่น้อย เจ้าคิดเห็นอย่างไร ?”
บัณฑิตคนหนึ่งที่อยู่ด้านหลังคำนับก่อนเอ่ย “เขาไม่ได้ร้องขอหรือสั่งท่านเจ้าเมืองในเรื่องใด หากไม่ใช่คนที่เชื่อฟังแต่โดยดีก็คงเก็บงำเรื่องไว้มากมาย เตรียมตัวไว้ล่วงหน้าเป็นอย่างดีแล้วขอรับ”
“ไม่ใช่ประเภทเชื่อฟังแต่โดยดีแน่”
“ย่อมไม่ใช่” บัณฑิตตอบ
“เช่นนั้นข้าต้องรอดูว่าเขาจะลงมืออย่างไรต่อไป” อันซื่อหยวนหัวเราะร่วน “หวังว่าจะทำให้ข้าประหลาดใจได้”
————————————————
ระหว่างเดินทางกลับ ซูเฉินไม่เจออุปสรรคจากตระกูลเหลียนและตระกูลหลง กลับคฤหาสน์ซูไปอย่างไรภัยใด
แม้ตอนนี้จะสามารถพูดคุยต่อรองกับตระกูลเหลียนและตระกูลหลงได้แล้ว แต่ชายหนุ่มไม่ได้รีบร้อนอะไร
สำหรับเขาแล้ว ยิ่งรอนานเขายิ่งได้เปรียบ
ในช่วงระหว่างนี้ ซูเฉินก็ขังตนเองไว้ในห้องทดลองอีกครั้ง
หลังจากทดลองโทเทมโลหิตสลายจนสำเร็จเสร็จสิ้น ซูเฉินก็ยังไม่หยุดเท่านั้น ยังคงหาทางพัฒนามันต่อไปเรื่อย
แม้โทเทมโลหิตสลายของเดิมจะทรงพลังนักแต่ก็มีข้อเสียใหญ่ นั่นคืออักขระต้องครอบคลุมทั่งทั้งร่างรวมถึงใบหน้าด้วย ดังนั้นข้ารับใช้เงาทั้งหกจึงต้องแต่งกายสีดำสนิททั้งตัว ไม่อาจให้พบหน้าใครได้ ด้วยเหตุนี้ซูเฉินจึงไม่อาจใช้มันกับตนเอง…… และถึงจะใช้ได้เขาก็ไม่อาจใช้ ด้วยเขาไร้หนทางในการสลักอักขระเหล่านั้นลงบนทั้งร่างตนเอง
ดังนั้นซูเฉินจึงเริ่มระดมพลังสมองเพื่อปรับปรุงมันเสีย
เขาต้องการปรับเปลี่ยนลายสลักโทเทมเสียใหม่ เขาจะได้สลักมันลงบนแผ่นหนังเช่นยันต์พลังต้นกำเนิดได้ แต่ในขณะที่ยันต์พลังต้นกำเนิดปลดปล่อยพลังต้นดำเนิดด้วยตัวมันเอง เขาต้องการสิ่งที่เขาสามารถใช้กับร่างกายและใช้พลังต้นกำเนิดจากในร่างกายตนเองได้แทน
คล้ายกับสิ่งที่สามารถเสริมพลังด้วยการ ‘แปะ’ ไว้บนร่างและสามารถแกะออกได้
สสารต้นกำเนิดก็คล้ายกับวิธีต่าง ๆ ที่สามารถใช้โทเทมโลหิตสลายเสริมพลัง
สิ่งนี้คือโทเทมโลหิตสลายหมายเลข 2 ที่ซูเฉินวางแผนจะทำการค้นคว้า
แต่ตอนนี้นับว่ายังห่างไกลนัก
เขาลองนำแผ่นเนื้อเยื่อที่เตรียมไว้ก่อนหน้ามาวางไว้บนร่าง มันเริ่มกลายเป็นเนื้อเดียวกับเนื้อหนัง ซูเฉินสัมผัสได้เลยว่าพลังกำลังหลั่งไหลอยู่ภายในร่าง
“เนื้อเยื่อโลหิตสลายซึมเข้าร่างสำเร็จ ปล่อยพลังได้ 3 จากใน 10 ส่วนจากพลังทั้งหมด มีผลข้างเคียงเป็นพิษเล็กน้อยที่สามารถส่งผลกระทบต่อเลือดได้ หนทางนี้มาได้ถูกทิศทางแล้ว แต่ยังต้องพัฒนาต่อ……” ซูเฉินจดบันทึกอย่างละเอียด
หลังทำการทดลองจบ ซูเฉินก็เดินออกมาจากห้องทดลองและเข้าไปยังห้องทดลองทักษะต้นกำเนิดที่อยู่ด้านข้าง
ซูเฉินยกมือซ้ายขึ้น ลูกไฟหนึ่งปรากฏขึ้นในมือ
จากนั้นมันก็เริ่มเปลี่ยนรูปร่างไปมาอยู่ในฝ่ามือซูเฉิน แต่ไม่ได้ออกมาเป็นระเบิดเพลิงปักษาหรือเหยี่ยวเพลิง กลับก่อตัวเป็นรูปร่างคล้ายมนุษย์
ร่างมนุษย์ก่อตัวอยู่บนฝ่ามือ แต่กลับไม่รวมกันเป็นตัวเป็นตน สุดท้ายก็ระเบิดเสียงดัง “ตู้ม !”
“ล้มเหลวอีกแล้ว” ซูเฉินพึมพำ แต่ใบหน้าไร้ความผิดหวัง
การสรรสร้างสิ่งใหม่ขึ้นมาย่อมต้องเผชิญกับความล้มเหลว ซูเฉินเข้าใจมันดีแล้ว ล้มเหลวเท่านี้ไม่สามารถทำให้เขาเปลี่ยนสีหน้าได้หรอก
เขากำลังหาทางพัฒนาชุดวิชาระเบิดเพลิง ตอนนี้เขามุ่งเพิ่มพลังโจมตีของมันให้สูงที่สุด นับเป็นจุดมุ่งเน้นใหม่หลังจากทะลวงสู่ด่านกลั่นโลหิตแล้ว
หนึ่งในจุดมุ่งหมายของเขาคือการสร้างวิชาที่สามารถสร้างความเสียหายได้และเป็นวิชาที่ใช้ได้ไปตลอด
ผ้าเท่อลั่วเค่อเคยเล่าให้ฟังว่าเมื่อครั้งอาณาจักรอาร์คาน่า ยังมีวิชารวมพลังไฟที่สามารถรวบรวมสสารต้นกำเนิดประเภทไฟในอากาศเข้ามาได้จนกลายเป็นเปลวเพลิงขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นได้เอง
การรวมสสารต้นกำเนิดประเภทไฟได้มากเช่นนั้นรู้จักกันในนาม วิชาเรียกธาตุเพลิง
ในช่วงเวลานั้น คนส่วนมากตั้งชื่อวิชาตามชื่อธาตุ ดังนั้นจึงมีคำที่มีความหมายเช่น ‘ลม’ ‘ไม้’ ‘น้ำ’ ‘ไฟ’ และอื่น ๆ ประกอบอยู่ด้วย
แต่หลังจากลองศึกษาดูอีก ซูเฉินก็พบว่าวิชาเช่นนี้นับว่าเรียบง่ายมาก โลกของสสารต้นกำเนิดมีอยู่มากมายไม่สิ้นสุด วิชาที่เรียบง่ายเช่นนั้นไม่อาจดึงมันมาใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ได้
แต่อย่างไรวิชาเรียกธาตุเพลิงนี้ก็ทำให้หลักซูเฉินได้ลองคิดใคร่ครวญดู
โชคร้ายที่มันเป็นวิชาโบราณอาร์คาน่าที่ทั้งมีระดับสูงและซับซ้อนนัก ต้องใช้เวลาฝึกฝนอีกทั้งยังปล่อยพลังออกมาได้ช้า จึงไม่เหมาะจะนำไปใช้ต่อสู้
การต่อสู้ที่กินระยะเวลาสั้นนั้นใช้ประโยชน์จากความรวดเร็ว ยิ่งโจมตีได้รวดเร็วจะยิ่งกดดันศัตรูได้มากกว่า เป็นเพราะมนุษย์นั้นมีร่างกายแกร่งกว่าเผ่าอาร์คาน่า ทั้งยังสามารถต้อสู้ระยะประชิดได้ดีกว่ามาก
ดังนั้นวิชาเรียกธาตุเพลิงจึงเป็นวิชาแปลก
แต่กระนั้น ชายหนุ่มก็คอยใช้กฎแห่งบรูคคอยพัฒนาวิชาโบราณอาร์คาน่าที่เขามีมาโดยตลอด ทำเช่นนี้แล้วเขาจะได้สร้างวิชาที่เป็นของเขาเองขึ้นมาได้
แต่เป็นเพราะชุดวิชาระเบิดเพลิงและวิชาเรียกธาตุเพลิงนั้นค่อนข้างแตกต่างกัน ดังนั้นจึงไม่อาจนำประสบการณ์ที่ผ่านมาของเขามาใช้ได้มากนัก นับว่าซูเฉินต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ ปีที่ผ่านมาจึงยังพัฒนาวิชาไปได้ไม่เท่าไร
เมื่อเห็นว่าล้มเหลวอีกครั้ง ซูเฉินก็ไม่ใส่ใจ ยังคงนั่งคำนวณรูปแบบใหม่ออกมา ในมือมีลูกไฟผุดขึ้นก่อตัวไปเรื่อย
ทันนั้นซูเฉินพลันรู้สึกเจ็บสะท้านที่มือ
ซูเฉินรู้ว่ามันคือพิษจากทดลองโทเทมโลหิตสลาย ด้วยพิษไม่แรงนัก ไม่นานก็จะสลายไปเอง
ซูเฉินจึงไม่ใส่ใจ แต่ทันใดนั้นเขากลับคิดบางอย่างขึ้นได้
เขาจึงมุ่งจิตไปที่แขนตนเอง
ยังคงมีร่องรอยของพลังยาจากโทเทมโลหิตสลายหลงเหลืออยู่ อีกทั้งยังมีของสสารต้นกำเนิดเงาด้วย
ซูเฉินเปิดใช้เนตรมองโลกจุลภาค ค่อย ๆ มองดูความเปลี่ยนแปลงในร่างกายตนเองแล้วบังคับให้สสารต้นกำเนิดเงาออกจากร่าง เมื่อมันออกจากร่างแล้วกระทบเข้ากับเปลวเพลิงในอากาศ ซูเฉินก็พบว่าเปลวเพลิงนั้นมอดลงไม่น้อย
จากนั้นเงาร่างมนุษย์ขนาดเล็กสีคล้ำก็ปรากฏขึ้น