บทที่ 19 พูดคุย
เสียงเคาะประตูดังขึ้น
“เข้ามาได้”
โจวหงเดินเข้ามา ก่อนคุกเข่าลงตรงหน้าซูเฉิน “นายน้อย พ่อบ้านตระกูลเหลียนและตระกูลหลงกลับไปแล้วขอรับ แต่วางคนจำนวนมากล้อมที่นี่ไว้”
“อ้อ” ซูเฉินร้องตอบ ก่อนจะเขย่าขวดในมือด้วยความระมัดระวัง ของเหลวสีน้ำตาลเกิดฟองขึ้นเล็กน้อย ปล่อยความร้อนออกมาไม่หยุด
โจวหงมองซูเฉินที่กำลังมีสมาธิก่อนถาม “นายน้อย เหตุใดจึงไม่พบพวกเขาล่ะขอรับ ? ไม่ใช่ว่าจับตัวนายน้อยคุณหนูพวกเขาไว้เพื่อทำการต่อรองหรือ ?”
“แน่นอนว่าต้องทำการต่อรอง แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้” ซูเฉินตอบ
เขาเทของเหลวด้านในลงบนแผงหินที่เตรียมไว้ ของเหลวไหลลงไป ชอนไชทั่วทุกพื้นที่ ก่อเกิดเป็นภาพสวยงาม
“ยังไม่ใช่ตอนนี้ ?” โจวหงไม่เข้าใจ
“ถูกต้อง ตอนนี้ตระกูลเหลียนและตระกูลหลงยังเย่อหยิ่งนัก ไม่เห็นข้าอยู่ในสายตา คิดแค่ว่าข้าโชคช่วย หากไม่ใช่เพราะผู้สืบทอดตกอยู่ในมือข้าก็คงไม่คิดอยากคุยกับข้าหรอก ความคิดยโสเช่นนี้ไม่เหมาะกับการคุยเพื่อการต่อรอง”
“แต่ว่า……” โจวหงเอ่ยเสียงเบา
“เจ้าอยากพูดว่าพวกเขาแกร่งกว่าเราจริง ๆ ใช่หรือไม่ ?” ซูเฉินหันมายิ้มให้
โจวหงก้มศีรษะลง “ขออภัยที่ล่วงเกิน”
“ไม่เป็นไร เจ้าคิดไม่ผิดอยู่แล้ว” ซูเฉินเอ่ยเสียงเรียบ “พวกเราอ่อนแอกว่าเขาอยู่แล้ว ดังนั้นจึงต้องรอเวลาสักหน่อย”
“รออะไรหรือขอรับ ?”
“รอตอนที่เรามีอิทธิพลมากกว่านี้อย่างไร…… เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าข้าจะสู้ด้วยตัวคนเดียวอยู่ในเมืองธารน้ำใสเช่นนี้ ?” ซูเฉินถาม สายตามองตามของเหลวที่กำลังไหลลงไปเรื่อย
ของเหลวหนืดไหลลงไปจนทั่ว ก่อเกิดเป็นรูปแบบบางอย่างหนึ่ง
ซูเฉินเป่ามันเบา ๆ ก่อนจะลอกมันออกมา จากนั้นใช้สายตามองวิเคราะห์โดยละเอียด ใบหน้าเผยแววยินดี “สำเร็จ”
“อะไรสำเร็จหรือ ?” โจวหงสงสัย “การทดลองหรือขอรับ ? หรือโอกาสมาถึงแล้ว ?”
“ทั้งคู่”
หลี่ชู่พลันเดินเข้ามา
“นายน้อย เจ้าเมืองอันต้องการพบขอรับ”
————————————————————
ภายในจวนเจ้ามืองเมืองธารน้ำใส
“ฮ่า ๆ เด็ก ๆ เช่นเจ้าอนาคตไกลจริง !”
อันซื่อหยวนหัวเราะเสียงดังก้องห้องโถงใหญ่
มองดูจากภายนอก อันซื่อหยวนดูเหมือนจอมยุทธ์หยาบกร้านคนหนึ่ง รูปร่างสูงใหญ่ หัวล้านส่องแสง ใครได้เห็นเป็นต้องอยากสัมผัส
เสียงหัวเราะของเขาหบาบกระด้างดังสนั่นราวกับเสียงฟ้าผ่า
อันซื่อหยวนว่าต่อ “ทันทีที่มาถึงเมืองธารน้ำใสก็สำแดงอำนาจให้ตระกูลเหลียนและตระกูลหลงเห็นเลยทีเดียว การต่อสู่ที่ถนนหนานอัน เจ้าทำได้ดีมาก !”
คำพูดเรียบง่าย แต่ชี้ชัดให้เห็นถึงความคิดเขาต่อสถานการณ์ทั้งหมดโดยชัดเจน
ซูเฉินตอบ “ท่านเจ้าเมืองไม่โทษซูเฉินที่ใจร้อย สร้างปัญหาตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามาหรือ ?”
“ฮ่า ๆ หากสร้างปัญหาให้พวกตระกูลสายเลือดชั้นสูงทั้งสิบนั่นได้ยิ่งมากก็ยิ่งดี” อันซื่อหยวนหัวเราะเสียงชั่วร้าย
ซูเฉินหัวเราะตาม “ได้ยินเช่นนั้นข้าก็สบายใจนัก”
ถูกต้องแล้ว คนอื่น ๆ อาจเกรงกลัวตระกูลสายเลือดชั้นสูงทั้งสิบ แต่อันซื่อหยวนไม่
อำนาจของตระกูลชั้นสูงเหล่านี้ทำให้อำนาจของทางการอ่อนแอลง
ในฐานะเจ้าเมืองแล้ว อันซื่อหยวนมีอำนาจควบคุมมหาศาล ย่อมต้องไม่พอใจหากอำนาจนั้นถูกช่วงชิงไป
อีกทั้งตัวเขาเองยังมาจากตระกูลไร้สายเลือด
การที่ได้เป็นเจ้าเมืองทั้งที่ไร้สายเลือดเช่นนี้แสดงให้เห็นว่าเขาแข็งแกร่งมากเพียงไร เคราะห์ร้ายที่ความแกร่งนั้นกลับถูกตีกรอบไว้ ไม่อาจทะลวงไปยังด่านที่สูงกว่าด่านสู่พิสดารได้อีก
ก่อนจะเดินทางมาถึงที่นี่ ซูเฉินก็สืบเสาะมาแล้วว่าอันซื่อหยวนกับตระกูลสายเลือดชั้นสูงทั้งหลายขัดแย้งกันมาโดยตลอด เป็นที่รู้กันว่าทั้งสองฝ่ายไม่ถูกกัน แน่นอนว่าเป็นเพราะความต่างทางสายเลือดและเพราะต้องการแย่งชิงอำนาจ
อันซื่อหยวนเอ่ย “โชคไม่ดี ไม่ใช่ทุกคนที่กล้าหาญอย่างผู้จัดการความรู้ซู กล้าต่อกรกับตระกูลสายเลือดชั้นสูงทั้งสิบ”
ซูเฉินตอบ “ข้าไม่เคยคิดต่อสู้กับพวกเขาเลย เพียงแค่ต้องการทำหน้าที่ของผู้จัดการความรู้แห่งกรมพลังต้นกำเนิดก็เท่านั้น ตระกูลสายเลือดชั้นสูงคิดว่าพวกตนมีเงินตรามีอำนาจ ไม่สนใจกฎหมายบ้านเมือง ดังนั้นจึงทำเพียงจับกุมตัวมาเท่านั้น ส่วนการต่อสู่ที่ถนนหนานอันก็เป็นเพียงหนึ่งนการกระทำที่ชี้ให้เห็นว่าพวกเขาทำตัวอยู่เหนือกฎหมาย”
“อืม ! พูดได้ดี !” อันซื่อหยวนพยักหน้า “ไม่ว่าจะเป็นใคร หากเป็นประชาชนในแคว้นย่อมต้องอยู่ภายใต้กฎหมายทั้งสิ้น แต่ก็ยังมีพวกคนที่คิดว่าสามารถใช้อำนาจในมือตนทำตามอำเภอใจได้ แม้ข้า อันซื่อหยวน จะอยากจัดการกับคนพวกนั้นมากเพียงไร แต่หากตัวคนเดียวย่อมทำไม่ได้”
ซูเฉินหัวเราะ “เหตุใดท่านเจ้าเมืองต้องเสียใจปานนั้นด้วย ? ในโลกนี้ อย่างไรก็ต้องมีที่ยืนของคนของทางการแน่นอน”
“แต่เมืองธารน้ำใส ใกล้จะได้เป็นที่ที่พวกตระกูลสายเลือดชั้นสูงสามารถทำสิ่งใดตามใจชอบได้ไปแล้ว” อันซื่อหยวนเอ่ย ยกมือนวดศีรษะล้านตน “ผู้จัดการความรู้ซู ข้าไม่พูดรักษาน้ำใจเลยแล้วกัน เหตุใดเจ้าพวกนั้นจึงเย่อหยิ่งถึงเพียงนี้ได้ ? เพราะมีผลลวงลับซ่อนไว้หรือ ? ไม่เลย ! พวกเขาไม่เพียงมีอำนาจในตระกูล แต่ยังมีอำนาจจากในวังมาหนุนหลัง ! เอาเจ้าเป็นตัวอย่างก็แล้วกัน เจ้าก็เห็นแล้วว่ากระทั่งหลิ่วอู๋หยาที่เป็นเจ้ากรมพลังต้นกำเนิดยังอยู่ฝ่ายพวกเขา หากไม่ใช่เพราะเจ้าแข็งแกร่งนักก็คงถูกสังหารไปแล้ว ! โชคร้ายที่ข้า อันซื่อหยวน ช่างไร้ประโยชน์ ข้าต้องลงโทษเจ้าบัดซบนั่นเสียหน่อยแล้ว”
เจ้ากรมพลังต้นกำเนิดนั้นเป็นตำแหน่งที่ทางเบื้องบนเลือกมา กระทั่งอันซื่อหยวนยังไม่มีอำนาจเลือกคนเอง ดังนั้นจึงทำได้เพียงกัดฟันทนเท่านั้น
แต่แน่นอนว่าเขาก็ไม่ได้ไร้อำนาจไปเสียทีเดียว อย่างไรก็ยังเป็นเจ้าเมือง ดังนั้นที่กล่าวทั้งหมดมาก็เพื่อบอกให้ซูเฉินได้รับรู้ก่อน
ชายหนุ่มไม่คาดคิดว่าอันซื่อหยวนจะล้างแค้นให้เขา เพียงกล่าวว่า “ต้องมีคนบางกลุ่มที่ยังจงรักภักดีกับเจ้าเมืองอยู่บ้างใช่หรือ ?”
“ย่อมต้องมี” อันซื่อหยวนตอบ “ที่ว่าการอำเภอภักดีกับทางการมาโดยตลอด และข้าก็มีอำนาจในกองทหารหลิงหยวน มีเพียงกรมพลังต้นกำเนิดและกรมวินิจฉัยคดีที่ไม่ฟังคำสั่งข้ามานานแล้ว ส่วนกองกำลังปฏิบัติการลับก็ทำหน้าที่ในแบบของตนเอง ไม่ฟังใครนอกจากองค์ฮ่องเต้โดยตรง”
ที่ว่าการอำเภอมีหน้าที่รับผิดชอบเรื่องต่าง ๆ ภายในเมือง กองทหารหลิงหยวนไม่ได้เป็นของเมืองธารน้ำใสเพียงเมืองเดียว แต่เป็นของทั้งมณฑลอีกาดำ ใหญ่โตกว่าที่ว่าการอำเภอนัก อันซื่อหยวนมีอำนาจควบคุมกองกำลังทั้งสองเช่นนี้ ทำให้อันซื่อหยวนสามารถต่อกรกับตระกูลสายเลือดชั้นสูงทั้งสิบได้
กรมพลังต้นกำเนิดมีหน้าที่จัดการกับเรื่องเบาะแว้งระหว่างผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิด ส่วนกรมวินิจฉัยคดี มีหน้าที่ไขคดี ทั้งสองแห่งมีหน้าที่รักษาความปลอดภัยโดยรวมและมีอำนาจพอสมควร แต่อันซื่อหยวนพึ่งพาพวกเขาไม่ได้
ส่วนกองกำลังปฏิบัติการลับนั้นก็อย่างที่อันซื่อหยวนว่า หน้าที่เดียวคือรับใช้แคว้น ไม่มีใครมาออกคำสั่งกับพวกเขาได้
ส่วนใครที่คิดยื่นมือเขาแทรกก็จะถูกสังหาร
แท้จริงแล้ว ที่อันซื่อหยวนยังมีอำนาจคุมที่ว่าการอำเภอและกองทหารหลิงหยวนได้อาจเป็นเพราะตระกูลสายเลือดชั้นสูงทั้งสิบไม่อยากล่วงเกินทางการอย่างโจ่งแจ้งจนเกินไป
พวกเขาไม่อาจข้องเกี่ยวกับกองทัพหรือกองกำลังพิเศษได้โดยง่าย แค่มีอำนาจเหนือกรมที่ทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยบางส่วนก็เพียงพอแล้ว
ถึงกระนั้นซูเฉินก็ยังหัวเราะ “อาจจะยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ท่านเจ้าเมืองอันอยากคุม แต่อาจจะยังไม่อาจทำได้ ถูกต้องหรือไม่ ?”
อันซื่อหยวนหยุดไป “เจ้าหมายถึง……”
“กลุ่มอันธพาล”