ภาคที่ 3 บทที่ 18 ไม่พบ

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 18 ไม่พบ

“ผู้เชี่ยวชาญด่านกลั่นโลหิต 6 คน ด่านก่อเกิดลมปราณ 14 คน และผู้ฝึกยุทธ์ด่านหลอมกายาอีก 100 คนล้อมเขาไว้ ปิดทางหนีทั้งหมด แต่ก็ยังหนีไปได้หรือ ? ไม่เพียงเท่านั้น ยังเอาบุตรชายข้ากับบุตรสาวเหลียนอ้าวไปด้วยอีก ?” หลงชิงเจียง ถามเสียงเรียบ เขานั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่คฤหาสน์ตระกูลหลง

เขาเคาะนิ้วดั่งหยกลงบนพนักแขนเก้าอี้ขัดเงา ก่อเกิดเสียงเป็นจังหวะก้องในใจซางเม่าหยวน

เขาคุกเข่าลงกับพื้นแล้วเอ่ยตอบ “ขอรับ ซูเฉินใช้หมอกหนาบดบังการมองเห็นของฝั่งเรา อีกทั้งยังกำจัดได้ยาก จากนั้นก็ฉวยจังหวะนั้นหลงหนีไปขอรับ”

หลงชิงเจียงหรี่ตาลง ครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนเอ่ย “คนผู้นี้…… มีความเป็นมาอย่างไร ?”

“เท่าที่ข้าน้อยทราบ เขามาจากสถาบันมังกรซ่อนเร้น แต่เรื่องอื่นยังไม่แน่ชัด เดิมทีข้าวางแผนจะส่งคนไปสืบเรื่องเขา แต่นายน้อยบอกว่าแค่ผู้จัดการความรู้คนหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องทำเรื่องให้วุ่นวาย นายน้อยจึงสั่งให้รวมพลแล้วดำเนินเรื่องโดยใช้กำลังแทนขอรับ”

หลงชิงเจียงคำรามต่ำ “รวมคน ? แล้วคนของเขาไปไหนกัน ? เหตุใดเจ้าไปไม่ไป ? เหตุใดเฮ่อเหลียนเวยไม่ไป ? ไห่เจิ้นเล่า ? เหตุใดจึงมีเพียงผู้เชี่ยวชาญด่านกลั่นโลหิตเพียงไม่กี่คนและพวกขยะกองหนึ่งไปเท่านั้น ?”

ซางเม่าหยวนก้มหน้าลงต่ำ “เฮ่อเหลียนเวยเดินทางไปพื้นที่ทางตะวันออกเพราะมีคนก่อเรื่อง ไห่เจิ้นออกไปฝึกฝนที่บึงน้ำทางใต้ เดิมทีข้าอยากไป แต่มีเรื่องบางอย่าง จึงทำให้ล่าช้า นายน้อยบอกว่าแค่เชือดไก่ไม่ต้องใช้มีดเชือดโค จากนั้นก็จากไปโดยไม่รอข้า”

“ส่วนแม่นางเหลียนเจี่ยวเองก็ไม่ได้แจ้งผู้ใหญ่ไว้เลยว่านางจะไป แต่อย่างไรกลุ่มคนที่ส่งไปก็ไม่ได้อ่อนแอ ผู้เชี่ยวชาญด่านกลั่นโลหิต 6 คน ด่านก่อเกิดลมปราณ 14 คน และคนด่านหลอมกายาอีกเกือบร้อยน่าจะพอรับมือกับคนด่านทะลวงลมปราณคนเดียวได้เลยด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับด่านกลั่นโลหิตเพียงคนเดียว ใครจะไปคิดว่าเจ้าหนุ่มนั่นจะมีแผน ? นับว่าคาดการณ์ผิดไปจริง ๆ ขอรับ”

“เจ้าจะบอกว่าลูกชายข้าทำผิดที่ประเมินศัตรูต่ำไปงั้นหรือ ?” หลงชิงเจียงเอ่ยเสียงขรึม

“บ่าวไม่กล้า ! บ่าวเพียงตอบตามตรงเท่านั้น !”

“ถึงกระนั้นข้าก็ไม่อยากได้ยินเจ้าพูดมัน” หลงชิงเจียงถอนหายใจ

ซางเม่าหยวนก้มหน้าลง ยังคงเงียบ

หลงชิงเจียงโบกมือคราหนึ่ง “ลากออกไปโบย 50 ไม้”

มีคนเดินเข้ามาลากตัวซางเม่าหยวนลงไป ไม่นาน เสียงท่อนไม้ฟาดเนื้อก็ดังมาให้ได้ยิน

ท่อนไม้นี้ไม่ธรรมดา มันอาบไปด้วยยาสมุนไพร เพราะฉะนั้นกระทั่งคนด่านทะลวงลมปราณถูกมันโบยเข้าก็ยังเนื้อแตกได้

พ่อบ้านชราที่ยืนอยู่ด้านข้างพลันเอ่ย “นายท่าน นายน้อยยังอยู่ในมือซูเฉิน เราจะทำอย่างไรดีขอรับ ?”

หลงชิงเจียงหรี่ตาลงเงียบไป ราวกับว่าได้หลับไปแล้ว

ครู่ใหญ่ ๆ จึงเอ่ยขึ้น “หากจับตัวลูกชายข้าไว้แสดงว่าต้องการต่อรอง หากต้องการเช่นนั้นเราก็ไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัย อย่างนี้เป็นไร ? ซูเกาเหยี่ย เจ้าไปคฤหาสน์ซู ลองถามข้อแม้ว่าทำอย่างไรจึงจะปล่อยพวกเขาออกมา ?”

“บอกเขาว่าข้าพร้อมลืมเรื่องในอดีตทุกอย่างหากเขายอมปล่อยบุตรชายข้า แต่แน่นอนว่าชื่อตระกูลหลงต้องไม่ให้เสื่อมเสีย ดังนั้นเขาเองก็ต้องมาขอโทษตระกูลเหลียนและตระกูลหลงด้วยคามจริงใจด้วย สองตระกูลจะได้รักษาหน้าตาไว้ ส่วนซูเฉินก็จะปลอดภัยไร้กังวล”

พ่อบ้านซู “นายท่านใจกว้างนัก แต่ว่า ถ้าเกิดซูเฉินไม่ตอบตกลงล่ะขอรับ ?”

หลงชิงเจียงมองพ่อบ้านชราของตน “ข้อตกลงของข้ายังใจกว้างไม่พอหรือ ?”

พ่อบ้านชราหัวเราะ “ย่อมใจกว้างมากพอแล้ว แต่คนบางคนก็ไม่รู้สถานการณ์ ผู้จัดการความรู้ซูดูจะเป็นคนเช่นนั้น ไม่เช่นนั้นหลังรู้ว่าซุนเม่าและอวี๋เฉิงสุ่ยมาจากตระกูลสายเลือดชั้นสูงทั้งสองก็คงไม่คิดลงมือ”

“อ้อ” หลงชิงเจียงครุ่นคิด จากนั้นผงกหัว “พอเจ้าว่ามาเช่นนี้ก็มีเหตุผล หากเป็นเช่นนั้นก็นำซุนเม่ากับอวี๋เฉิงสุ่ยไปด้วย บอกเขาว่าหากต้องการก็นำเอาสองคนนั้นไปได้เลย จะได้แสดงให้เห็นว่าสองตระกูลสายเลือดชั้นสูงยังทำตามกฎหมายบ้านเมืองอยู่”

“แล้วเรื่องคำขอโทษ……” พ่อบ้านชราเอ่ย

หลงชิงเจียงหน้าคว่ำทันควัน “ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องขอโทษ ไม่เช่นนั้นต่อไปตระกูลหลงของเรายังจะมีหน้าเหลือหรือ ? ไปจัดการเรื่องนี้กับผู้จัดการความรู้ซูเสีย อย่างไรพวกเจ้าก็มีแซ่เหมือนกัน หากมีเรื่องที่สมควรกล่าวจะได้คุยกันดี ๆ”

“ขอรับ !” พ่อบ้านซูตอบ แต่ในใจกลับไม่มีหวังมากมาย

แม้จะคิดไว้ว่าซูเฉินคงไม่ตอบตกลงกับคำของหลงชิงเจียง แต่เขาก็ไม่ถึงขั้นคิดว่าตนจะไม่อาจได้พบหน้าซูเฉินเลยด้วยซ้ำ……

————————————

“อะไรนะ ? ซูเฉินไม่อยากพบข้าหรือ ?”

เช้าวันต่อมา

พ่อบ้านซูยืนตะโกนอยู่หน้าประตูคฤหาสน์ซู “เจ้าได้บอกไปหรือไม่ว่าข้าเป็นพ่อบ้านตระกูลหลง ?”

คนที่ยืนเฝ้าหน้าประตูคือโจรคนหนึ่งที่ได้รับคำสั่งมาจากซูเฉิน เอ่ยเสียงสะบัดว่า “ข้าบอกท่านแล้ว นายท่านของข้าไม่ต้องการพบคนจากตระกูลหลง หากอยากคุย อีก 2 วันค่อยกลับมา”

พ่อบ้านซูเอ่ยเสียงขรึม “ผู้จัดการความรู้ซูจับคนตระกูลหลงไปแต่ไม่คิดต่อรอง นี่มันหมายความว่าอย่างไร ?”

“อย่าถามเลย กลับมาในอีก 2 วันให้หลังก็หมายความตามนั้น ไม่ใช่แค่ท่านหรอก ท่านดูนี่ กระทั่งหัวหน้าพ่อบ้านตระกูลเหลียนยังอยากพบซูเฉินแต่ก็ไม่ได้พบ”

พ่อบ้านซูหันกลับไป พบว่ามีคนยืนอยู่ใต้ต้นไม้ไม่ห่างจากเขานัก ด้านหลังมีรถม้าคันเล็ก หากไม่ใช่หัวหน้าพ่อบ้านเหลาแห่งตระกูลเหลียนแล้วจะเป็นใครไปได้อีก ?

“นี่ หัวหน้าพ่อบ้านเหลา เหตุใดมายืนพักอยู่ตรงนี้ได้เล่า ?” พ่อบ้านซูเดินเข้าไปทักทาย

เมื่อเห็นพ่อบ้านซูเดินเข้ามาหา หัวหน้าพ่อบ้านเหลาก็หัวเราะเสียงขื่น “เหล่าซู ท่านก็มาหรือ ? ส่วนข้าจะไม่มาได้อย่างไร ? คุณหนูของพวกเราถูกจับตัวมา ดังนั้นข้าจึงได้แต่มาต่อรองเท่านั้น แต่ท่านเป็นญาติห่าง ๆ ของเขาแท้ ๆ ทว่าเขากลับคิดจับตัวคนไปแต่ไม่คิดพบหน้าเราได้อย่างไรกัน ?”

พ่อบ้านซูรีบโบกมือ “ไม่หรอก อย่าบอกว่าเป็นญาติห่าง ๆ กันเลย ข้าไม่รู้จักเขา เพียงแค่มีแซ่เดียวกันเท่านั้น ไม่รู้ว่าเป็นต้นอ่อนที่เกิดมาจากหินผ่าเหล่าผ่ากอที่ไหน”

“เฮ้อ เป็นต้นอ่อนที่แปลกจริง ว่ากันตามเหตุผล เป็นผู้จัดการความรู้ก็ควรมีสายตากว้างขวางบ้าง มาถึงก็ล่วงเกินตระกูลชั้นสูงถึงสองตระกูลเลยงั้นหรือ ? คงเบื่อชีวิตแล้วกระมัง”

“ไม่ว่าจะเบื่อหรือไม่ข้าไม่รู้ แต่ก็ทำให้ข้าปวดหัวไม่น้อย ไม่ว่าอย่างไร นายน้อยกับคุณหนูก็ต้องได้กลับบ้าน แต่หากเขาไม่ยอมพบหน้าเรา แล้วเราจะกลับไปรายงานเบื้องบนได้อย่างไร ?

หัวหน้าพ่อบ้านเหลาส่ายหัว “ไม่รู้ว่าเขาคิดวางแผนอะไรอยู่ ข้าคิดว่าคงได้แต่กลับไปรายงานเช่นนี้ อีก 2 วันให้หลังค่อยกลับมา”

“ก็คงทำได้เท่านั้น”

คนทั้งคู่คิดต่ออีกชั่วครู่ แต่ก็ทำได้เพียงกลับไปและรายงานเช่นนี้กับเจ้านายแม้จะไม่ยินยอมสักเพียงไร

ก่อนจะเดินทางกลับ หัวหน้าพ่อบ้านเหลาพลันเอ่ยขึ้น “นี่ เจ้าคิดว่าเจ้าเด็กนี่คิดหาโอกาสหนีหรือไม่ ?”

“หนีหรือ ?” พ่อบ้านซูหรี่ตาลง จากนั้นเอ่ย “ไม่หรอก แต่ให้คนคอยจับตามองเขาไว้ก็ดี”

ว่าแล้วพวกเขาก็พลันรอจัดระเบียบให้คนกลุ่มหนึ่งล้อมรอบคฤหาสน์ซูไว้เพื่อจับตามอง ก่อนจะจากไป