ตอนที่ 54 เจ้าสำนักจื่อชิงยอมแพ้

เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน

ตอนที่ 54 เจ้าสำนักจื่อชิงยอมแพ้

รอจนเย่ฉางชิงหายลับไปจากสายตาแล้ว นักพรตฉางเสวียนจึงสะบัดมือออกไป ทันใดนั้นม่านเรืองแสงที่ส่องออกมาจากป้ายไม้โบราณเมื่อครู่ก็หายไปในพริบตา

เพียงครู่เดียวภายในกระท่อมไม้ไผ่ก็เงียบสงบลงอีกครั้ง

‘เจ้าเฒ่าสวี ข้าได้คำชี้แนะจากท่านบรรพจารย์เย่แล้ว ครั้งนี้ดูสิว่าเจ้าจะชนะข้าได้อย่างไรอีก ? ’

นักพรตฉางเสวียนหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข จากนั้นจึงนำป้ายไม้โบราณเก็บลงในแหวนเก็บสมบัติดังเดิม เพียงพริบตาก็หายตัวไปจากกระท่อมไม้ไผ่ทันที

มินานในขณะที่เหล่าผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนกำลังถอดถอนใจกันอยู่นั้น ก็เห็นนักพรตฉางเสวียนเดินเอามือไพล่หลังเข้ามาอย่างมิรีบร้อน

“เจ้าสำนักไท่เสวียน เจ้าหาวิธีแก้หมากได้แล้วหรือไม่ ? ”

ผู้อาวุโสคนหนึ่งของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าขบขัน

นักพรตฉางเสวียนยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย จากนั้นจึงตอบกลับไปว่า “หลังจากออกไปจัดการความคิดมา ในที่สุดข้าก็คิดหาวิธีของข้าได้แล้ว”

“ห๊ะ ? ”

สวีฉิงเทียนที่กำลังหลับตาอยู่ ก็เบิกตาโพลงทันทีที่ได้ยินดังนั้น

เหล่าผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงสบตากันครู่หนึ่ง พลางขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย

หรือว่าเพียงแค่ออกไปเดินข้างนอกมา ก็คิดหาวิธีแก้กลหมากได้แล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?

เช่นนั้นก็มิใช่ข่าวดีเท่าไรนัก !

“ศิษย์พี่ฉางเสวียน…”

เหล่าผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนสบตากันครู่หนึ่ง ก่อนที่นักพรตชิงเย่จะเป็นคนเอ่ยขึ้นก่อน

แต่สุดท้ายยังเอ่ยมิทันจบประโยค เขากลับชะงักไป เมื่อเห็นนักพรตฉางเสวียนนั่งลงฝั่งตรงข้ามสวีฉิงเทียนอีกครั้ง

สวีฉิงเทียนรู้สึกถึงลางสังหรณ์มิดีขึ้นมาทันที ที่เห็นใบหน้าไร้ซึ่งความสับสน และดูเหมือนวางแผนมาเป็นอย่างดีของนักพรตฉางเสวียน

‘หรือว่าปรมาจารย์ท่านนั้นจะอยู่บนเขาไท่เสวียน ? ’

‘ช่วงที่เหอฉางเสวียนออกไปเมื่อครู่ ก็เพื่อไปพบปรมาจารย์ท่านนั้นมางั้นหรือ ? ’

‘อีกทั้งท่าทางของเขาดูราวกับหาแผนการรับมือได้แล้วอีกด้วย’

‘ยุ่งล่ะสิงานนี้ ! ’

หลังจากนั่งลงนักพรตฉางเสวียนก็กวาดตามองหมากบนกระดานคร่าว ๆ หลังจากครุ่นคิดเพียงครู่เดียวก็ใช้สองนิ้วคีบหมากสีขาวตัวหนึ่งวางลงบนกระดานต่อ

“ผู้อาวุโสหนานกง อีกฝ่ายเดินหมากแล้วขอรับ”

เมื่อเห็นนักพรตฉางเสวียนวางหมากอย่างมั่นใจ สวีฉิงเทียนจึงเพ่งสมาธิสื่อสารกับคนที่อยู่อีกฝั่งของศิลาสื่อจิตทันที

ผ่านไปครู่หนึ่ง หนานกงเสวียนจีจึงตอบกลับมาว่า “เจ้าเดินตามที่ข้าบอกก็พอ”

สวีฉิงเทียนเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ก่อนจะเหลือบมองนักพรตฉางเสวียนและหมากบนกระดานอีกครั้ง

การเดินหมากของนักพรตฉางเสวียนดูราวกับพร้อมจะแหลกลาญไปกับเขาด้วยจริง ๆ

หลังจากลังเลอยู่ชั่วขณะ สวีฉิงเทียนจึงวางหมากลงอีกครั้ง

นักพรตฉางเสวียนมองตำแหน่งกำเนิดฟ้าดินบนกระดานแล้วครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะวางหมากต่อ

เพียงพริบตาทั้งคู่ต่างก็วางหมากอย่างรวดเร็ว

ทันทีที่เห็นภาพตรงหน้ามิว่าจะเป็นเหล่าผู้อาวุโสทั้งสองดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ภายในหรือภายนอกศาลา ล้วนแล้วแต่มีสีหน้างุนงงทั้งสิ้น

พวกเขาสองคนคิดที่จะทำอะไรกันแน่ เหตุใดจึงเดินหมากรวดเร็วเยี่ยงนี้ ?

อีกทั้งดูจากสถานการณ์มิว่าจะหมากดำหรือว่าหมากขาว ต่างก็เรียกได้ว่าเดินกันอย่างบ้าคลั่งทั้งคู่

สุดท้ายผ่านไปมิถึงครึ่งชั่วยาม ทั้งสองคนก็พลัดกันวางหมากได้นับร้อยตัวแล้ว

ขณะเดียวกันกลหมากที่ปรากฏอยู่บนกระดานก็ดูสับสนวุ่นวายไปหมด หมากดำดุจเมฆาที่ปกคลุมครึ่งนภา ส่วนหมากขาวดั่งแสงที่สาดส่องอีกครึ่งนภา ต่างฝ่ายต่างครองคนล่ะครึ่งของกระดาน

ขณะนั้นเองรอยยิ้มบนใบหน้าของนักพรตฉางเสวียนก็ค่อย ๆ จางหายไป แววตาจับจ้องไปที่กระดาน เพื่อรอหมากพิฆาตของสวีฉิงเทียน

“กึก ! ”

และแล้วเสียงกังวานใสเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น ในที่สุดสวีฉิงเทียนก็วางหมากในจุดตายข้างตำแหน่งกำเนิดสวรรค์

นักพรตฉางเสวียนเห็นดังนั้น ก็ถอนหายใจออกมาราวกับยกภูเขาออกจากอก สองนิ้วจึงค่อย ๆ คีบหมากขาววางลงจุดกำเนิดสวรรค์ ที่อยู่ใจกลางของกระดานโดยมิลังเล

หลังจากหมากขาวในมือของนักพรตฉางเสวียนถูกวางลง เพียงพริบตาสถานการณ์ที่วุ่นวายบนกระดาน ราวกับคืนสู่ความปกติอีกครั้ง

ขอเพียงเข้าใจกลหมากเล็กน้อยก็สามารถมองออกว่า แม้มองภายนอกจะดูเหมือนหมากดำและหมากขาวยึดครองกระดานคนละครึ่ง แต่ความจริงแล้วหมากดำกลับกำลังเพลี่ยงพล้ำ ส่วนหมากขาวราวกับพญาเสือลงเขา1อันทรงพลัง

สวีฉิงเทียนที่คีบหมากดำเอาไว้ในมือเพื่อเตรียมวางอยู่นั้น ถึงกับนิ่งงันไปทันที ดวงตาอันแดงก่ำจับจ้องอยู่บนกระดาน แต่กลับมิรู้ว่าควรจะวางหมากเช่นไรดี

“ผู้อาวุโสหนานกง แพ้แล้วขอรับ ! ”

สวีฉิงเทียนเพ่งสมาธิสื่อสารกับศิลาสื่อจิต หลังจากเงียบงันไปเนิ่นนาน

“เป็นไปมิได้ เหตุใดจึงแพ้เช่นนี้ได้ ? ”

ทันทีที่หนานกงเสวียนจีได้ยินคำพูดดังกล่าว ก็มีสีหน้าย่ำแย่ลงเช่นกัน

ตัวเขาเป็นถึงเทพหมากล้อมแห่งยุค เขาคิดว่าความแตกฉานในวิธีหมากของตนเองนั้นทั่วทั้งใต้หล้าหามีผู้ใดเทียบเคียงได้ไม่

อีกทั้งเขายังเข้าสู่วิถีแห่งเต๋าด้วยหมากล้อม ตลอดชีวิตเกือบสามพันปีของเขาล้วนใช้หมากล้อมในการฝึกมาโดยตลอด

แต่บัดนี้ มิเพียงมีคนทำลายกลหมากสี่มังกรพ่นวารีของเขาได้เท่านั้น ทั้งยังเอาชนะเขาได้อีกด้วย

แม้จะบอกว่าคนที่เดินหมากเป็นสวีฉิงเทียน แต่ก็เปรียบเสมือนเขาเป็นผู้เดินเองเช่นกัน

วินาทีนี้ผู้สืบทอดตำแหน่งเทพแห่งหมากที่จะมีการแต่งตั้งในเกือบทุก ๆ หมื่นปี รู้สึกจิตใจสั่นไหวมิน้อย

สวีฉิงเทียนถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก “ผู้อาวุโสหนานกง ความจริงแล้วจุดสำคัญในการแพ้ชนะของหมากตานี้ อยู่ที่ใครจะสามารถยึดจุดกำเนิดสวรรค์ได้ อีกทั้งสองฝ่ายยังขับเคี่ยวกันไปมาจนสุดท้ายหมากขาวก็เป็นฝ่ายได้เปรียบขอรับ”

“แน่นอนว่าเมื่อครู่นี้ข้ามิได้เดินผิด หากข้ายึดครองตำแหน่งกำเนิดสวรรค์ก่อน หมากตานี้ก็จะเสมอกันเท่านั้น แต่เมื่อหมากขาวยึดตำแหน่งกำเนิดสวรรค์ได้ กลับใช้โอกาสนี้เป็นฝ่ายพลิกกลับมาชนะได้”

“อีกทั้งการเดินหมากตานี้ช่างตื่นเต้นยิ่งนัก เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นอะไรเยี่ยงนี้นับตั้งแต่เกิดมา เช่นนั้นข้าจึงขอยอมแพ้ด้วยใจจริงขอรับ”

เมื่อสวีฉิงเทียนเอ่ยจบ เนิ่นนานกว่าหนานกงเสวียนจีที่อยู่อีกฝั่งของศิลาสื่อจิตจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย

“เจ้าสำนักจื่อชิงตอนนี้ท่านอยู่ที่ใด และเดินหมากอยู่กับผู้ใดกัน ? ” หนานกงเสวียนจีเอ่ยถามขึ้น

สวีฉิงเทียนจึงตอบกลับตามตรงว่า “ข้าอยู่ที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนทางด้านเหนือของแคว้นต้าเยี่ยน กำลังดวลหมากกับเจ้าสำนักของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนขอรับ เพียงแต่ข้ามั่นใจว่าเจ้าสำนักไท่เสวียนจะต้องได้รับการชี้แนะมาจากปรมาจารย์ท่านหนึ่งอย่างแน่นอน มิเช่นนั้นวันนี้เขามิมีทางชนะข้าได้เป็นแน่”

“ปรมาจารย์ เป็นผู้อื่นจริง ๆ สินะ”

หลังจากนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง หนานกงเสวียนจีจึงเอ่ยขึ้นอีกครั้งว่า “ปรมาจารย์ท่านนั้นน่าจะยังมิได้จากไปไหนกระมัง”

สวีฉิงเทียนจึงตอบว่า “น่าจะยังขอรับ”

หนานกงเสวียนจีจึงเอ่ยอีกว่า “ข้าเข้าใจแล้ว หากมิมีสิ่งใดผิดพลาด สามวันให้หลังข้าจะไปถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน”

หลังจากมิมีเสียงตอบโต้จากศิลาสื่อจิตแล้ว สวีฉิงเทียนก็เก็บหมากดำในมือลง และเงยหน้าขึ้นมองนักพรตฉางเสวียน พลางเอ่ยขึ้นว่า “พี่เหอ หมากตานี้ข้าแพ้แล้ว”

ทันทีที่สวีฉิงเทียนเอ่ยออกมา ก็มิต่างอะไรกับหินก้อนเดียวที่สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งมหาสมุทร

วินาทีนี้ มิว่าจะเป็นเหล่าผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิง หรือเหล่าผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน ต่างก็มีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสับสนงุนงงทันที

หมากตานี้เดิมพันด้วยสมบัติโบราณถึง 2 ชิ้นเชียวนะ

เมื่อเจ้าสำนักจื่อชิงเอ่ยยอมแพ้เช่นนี้ ย่อมหมายความว่าต้องมอบสมบัติโบราณ 2 ชิ้นให้แก่นักพรตฉางเสวียน

สมบัติโบราณ 2 ชิ้น !

สมบัติโบราณถึง 2 ชิ้นเชียวนะ !

“ท่านเจ้าสำนัก หรือว่าจะแพ้จริง ๆ แล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

ผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงผู้หนึ่งเอ่ยถามขึ้น ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความมิพอใจ

สวีฉิงเทียนหันไปมองผู้อาวุโสท่านนั้น ก่อนจะพยักหน้าให้พร้อมรอยยิ้มขมขื่น

รอยยิ้มบนใบหน้าของนักพรตฉางเสวียนค่อย ๆ จางไป ก่อนจะมองสวีฉิงเทียนด้วยสีหน้าจริงจัง “พี่สวี แม้หมากตานี้ข้าจะชนะไปได้อย่างหวุดหวิด แต่ข้าว่าหมากตานี้เป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมอย่างมิเคยมีมาก่อน”

สวีฉิงเทียนถอดถอนใจออกมา แล้วจึงพยักหน้าเห็นด้วย

1พญาเสือลงเขา หมายถึง ท่วงท่าสง่างามในทุกย่างก้าว แข็งแกร่งและดุดัน