บทที่ 48 น้ำกล้ามเนื้อเทพคุณภาพเลว

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

หลังจากถูกด่าทอ ในที่สุดจินเฟยเหยาก็นั่งลงดีๆ ฟังหวาซีแนะนำมดหนึ่งผลึก

“มดหนึ่งผลึกตัวนี้ถ่ายหินผลึกได้แน่นอน ข้าเลือกมาให้เจ้าโดยเฉพาะ เจ้าเลี้ยงดีๆ ต่อไปถ้าวันหนึ่งถ่ายมาก้อนหนึ่ง หนึ่งปีก็เท่ากับสามร้อยหกสิบห้าก้อน เจ้าก็ทำเงินได้เยอะแล้ว มันเลี้ยงง่ายมาก ชอบกินกบผานอวิ๋นที่สุด กินไม่เยอะ วันละหนึ่งตัวก็ได้”

จินเฟยเหยามองเขาเงียบๆ ร่างกำยำแผ่พลังกดดันอันไร้รูปออกมา ทำให้หวาซียิ่งพูดยิ่งขาดความมั่นใจ เขาเช็ดเหงื่อ พร้อมกับเอ่ยยิ้มๆ “ถึงแม้ศิลาวิญญาณก้อนหนึ่งจะสามารถซื้อกบผานอวิ๋นที่โตเต็มที่ได้แค่ยี่สิบตัว ทว่าข้าสามารถแนะนำร้านที่ขายสามสิบตัวต่อหนึ่งศิลาวิญญาณซึ่งเพียงพอให้มดหนึ่งผลึกกินหนึ่งเดือนให้เจ้าได้”

“อืม…หวาซี เจ้าเห็นว่าข้าเป็นคนที่โง่มากใช่หรือไม่ ถ้ามดหนึ่งผลึกของเจ้าสามารถให้ศิลาวันละก้อนจริง เจ้าจะยอมตัดใจมอบให้ข้าได้หรือ ข้าไม่อยากเปลืองคำพูดกับเจ้า มดหนึ่งผลึกตัวนี้ข้าจะรับไว้ ทว่าข้าจะไม่ให้มันกินกบผานอวิ๋น ข้าจะให้มันกินอุจจาระของกบผานอวิ๋นแทน”

“หา?” หวาซีตกตะลึง ได้สติคืนมาทันที ยอมรับไว้ก็ดีแล้ว “ไม่เป็นไร เจ้าอยากจะให้อะไรมันกินก็ได้ทั้งนั้น ดังนั้นข้าจึงบอกอย่างไรเล่า ว่าพวกเราสองคนเป็นสหายสนิทกัน”

“เจ้าจะเข้าร่วมการช่วงชิงยาสร้างฐานในครั้งนี้หรือ?” จินเฟยเหยาพลันเปลี่ยนหัวข้อสนทนา เอ่ยถามอย่างสงสัย

“เข้าร่วม ปริมาณยาสร้างฐานในสำนักมีไม่มาก อีกอย่างหนึ่ง ได้เพิ่มอีกเม็ดหนึ่งก็จะเพิ่มโอกาสเลื่อนเป็นขั้นสร้างฐานได้ ครั้งนี้แม้แต่ศิษย์น้องที่เป็นขั้นฝึกปราณช่วงต้นก็คิดจะไปลงสมัคร จำนวนที่กำหนดมีมากเกินไปจริงๆ บางทีอาจจะเบียดเข้าไปตำแหน่งท้ายๆ ได้”

“ท่าทางเจ้ามั่นใจมาก”

หวาซียิ้มแย้มหน้าระรื่นเอ่ยว่า “พอไหว ข้อสำคัญคือจำนวนที่กำหนดไว้มีมาก” หลังจากนิ้วมือเปลี่ยนเป็นหยาบใหญ่ ก็รู้สึกเหมือนเปลือกถั่วเปลี่ยนเป็นเล็กลง จินเฟยเหยาคว้าทีได้หลายเม็ด โยนใส่ปากอย่างไม่ใส่ใจ นางเอ่ยอย่างไม่อินังขังขอบ “สหายเซียนหวา เจ้าต้องเบียดเข้าไปในห้าร้อยคน ยาสร้างฐานของเจ้าข้าจะเอาแน่แล้ว”

“มีคนที่ปล้นกันจะจะอย่างเจ้าด้วยหรือ? ยาสร้างฐานเป็นสิ่งของใด ผู้ใดจะให้เจ้า” หวาซีสั่นศีรษะปิดปากเงียบ ยายนี่ มิน่าเล่าจึงรับมดหนึ่งผลึกไว้อย่างสบายอกสบายใจขนาดนี้ ที่แท้คิดจะรีดไถยาสร้างฐานของข้า

“เรื่องนี้มีอะไรยาก หลังจากประลองเสร็จสิ้น เจ้าฆ่าสตรีร่วมสำนักที่ได้ยาสร้างฐานหลายคนตามสบาย ก็ได้มาแล้วมิใช่หรือ ข้าไม่เอามาก ขอแค่หนึ่งเม็ดก็พอ คุณสมบัติของข้าไม่ดี ไม่เตรียมเพิ่มไว้สักหลายเม็ดข้าจะบรรลุขั้นสร้างฐานได้อย่างไร” จินเฟยเหยาเข้าไปใกล้เขา ลดเสียงลงเอ่ยเบาๆ

“เจ้านี่อำมหิตจริงๆ ข้าสำนึกตัวว่าสู้ไม่ได้” หวาซีมองนางอย่างพินิจพิเคราะห์ ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่ายายนี่จิตใจอำมหิตลงมือเหี้ยมโหด โดยเฉพาะหลังจากทำเรื่องเลวร้าย นางไม่มีความรู้สึกสำนึกผิดเลยสักนิด เหมือนการฆ่าคนผู้หนึ่งเป็นเรื่องที่ถูกทำนองคลองธรรม

ได้ยินหวาซีเอ่ยชมตนเอง จินเฟยเหยาดูเหมือนจะนึกขึ้นได้อย่างกะทันหัน ยิ้มชั่วร้ายเอ่ยว่า “พี่หวา ได้ยินว่าสัตว์ปิศาจที่กินแต่ผู้บำเพ็ญเซียนสตรี ไม่ได้ปรากฏตัวนานแล้ว ถูกใครบางคนฆ่าทิ้งแล้วใช่หรือไม่ สัตว์ปิศาจตัวนั้นน่าชังเกินไปจริงๆ ฆ่าผู้บำเพ็ญเซียนสตรีไปมากมายปานนั้น น่าจะถูกกำจัดเร็วๆ จึงถูกต้อง”

เห็นนางยิ้มอย่างกระหยิ่มยินดี หวาซีพลันไม่เข้าใจขึ้นมา ว่าเหตุใดตอนนั้นตนเองจึงไม่กำจัดนางทิ้ง ทั้งยังสุมหัวรวมกับนางจนมีความสัมพันธ์เช่นนี้ นี่คือชักศึกเข้าบ้านโดยสมบูรณ์ มีความรู้สึกเหมือนถูกแมลงดูดเลือดเกาะทั่วร่าง ทว่าเขากลับลืมไป ถ้าหากมิใช่เพราะตัวเขาเอง ก็คงไม่ถูกแมลงดูดเลือดเช่นนี้พัวพันหรอก

“รู้แล้ว แต่ว่าหลังจากครั้งนี้ เจ้าอย่าวางแผนกับข้าอีก ข้าจะไม่ให้อะไรเจ้าเลย” หวาซีกุมหน้าผากเอ่ยอย่างช่วยไม่ได้

จินเฟยเหยาส่งเสียงขึ้นจมูกอย่างไม่พอใจ “สิ่งของห่วยๆ เหล่านี้ของเจ้า ข้าไม่ต้องการหรอก ดูของหายากของเจ้าสิ”

“เอาละ มื้อนี้เจ้าเลี้ยง ข้ายังมีธุระต้องไปทำอีก หลังจากการประลองเริ่ม พวกเราค่อยพบกัน”

จินเฟยเหยาเช็ดปากแล้วลุกขึ้น เก็บมดหนึ่งผลึกที่ยังพัวพันอยู่เข้ากระเป๋าสัตว์ภูติ เรียกพั่งจื่อให้จากไป

เห็นกบผานอวิ๋นกระโดดลงบนพื้น คิดไม่ถึงว่าเรือนร่างจะกลายเป็นสูงสี่ฉื่อเต็มๆ จินเฟยเหยายังหิ้วกระเป๋าใบใหญ่ที่วางอยู่ใต้โต๊ะออกมาให้มันแบกบนหลัง

ทุกคนมองนางอย่างตกตะลึง คิดไม่ถึงว่าจะมีคนเลี้ยงกบผานอวิ๋นตัวใหญ่ขนาดนี้ ทั้งยังใช้เป็นแรงงานด้วย หวาซีเป็นยอดฝีมือเลี้ยงสัตว์ภูติ เห็นกบผานอวิ๋นตัวอ้วนใหญ่เหนือธรรมดา เขาก็ตกตะลึงอย่างยิ่ง นี่เลี้ยงอย่างไร ถ้าทำให้สัตว์ภูติแบบที่แข็งแกร่งเติบโตตามอัตราส่วนนี้ ใช้เท้าเดียวก็สามารถเหยียบจนพื้นปริแตกได้จะมีพลังมากมายเพียงใด

เขาคิดจะเอาตัวจินเฟยเหยามาถามดู ทว่านางจากไปแล้ว เห็นเพียงเรือนร่างสูงใหญ่และกบตัวโตแทรกเข้าไปในฝูงชนอยู่ไกลๆ พอนึกถึงว่าอีกหนึ่งเดือนจึงจะมีการประลอง พอเจอกันตอนนั้นค่อยถามนางก็ได้

จินเฟยเหยาพากบผานอวิ๋นที่เด่นสะดุดตาเดินอย่างไม่หยี่หระไปบนถนน พั่งจื่อยังมีสีหน้าซึมเซาดังเดิม ติดตามข้างกายนางไปอย่างตาบอด บนกระเป๋าใบใหญ่ที่แบกไว้บนหลังยังเย็บถุงใบเล็กไว้จำนวนมาก ทั้งหมดบรรจุอาหารไว้จนเต็ม เพียงแค่คนที่ผ่านทางไปมาไม่รู้ว่าตนเองตาฝาดไปหรือไม่ รู้สึกว่าในพริบตา อาหารในถุงผ้าจะหายไปนิดหน่อย

ในสองปีที่จินเฟยเหยาปิดด่านกักตน เกิดเรื่องราวขึ้นมากมาย สองปีมานี้สำนักหลิงคงไม่ทราบว่าเสาะหาสายสัมพันธ์มากมายเพียงใด ถึงกับผูกสัมพันธ์กับสำนักเฉวียนเซียน ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นขึ้นมาก ไม่ได้มาหาเรื่องนางอีก กลับเป็นผู้อาวุโสของตระกูลจินที่มาหานางที่สำนักเฉวียนเซียนหลายครั้ง เพราะว่านางกำลังปิดด่านกักตน ดังนั้นแม้แต่ประตูใหญ่ก็ไม่ได้ให้พวกเขาเข้ามา แต่กลับส่งข่าวมาว่า จินเฟยหยาง น้องชายของนางหายสาบสูญ ไม่ว่าจริงหรือเท็จ พวกเขาก็ไม่สามารถนำตัวจินเฟยเหยากลับไปได้

การต่อสู้ชิงตำแหน่งหัวหน้ากลุ่มของอู๋เฮ่าคงกับซานเชียนจื่อ สุดท้ายจบลงด้วย อู๋เฮ่าคงรักษาตำแหน่งได้สำเร็จ แต่ว่าเรื่องที่ทำให้คนไม่เข้าใจคืออู๋เฮ่าคงชนะทว่ากลับบาดเจ็บหนัก แม้แต่การประลองชิงยาสร้างฐานของสำนักเฉวียนเซียนในปีนั้นก็เข้าร่วมไม่ได้ ถึงแม้ซานเชียนจื่อจะแพ้ กลับไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร เข้าร่วมการประลองได้อย่างราบรื่น ได้รับยาสร้างฐานมาหนึ่งเม็ด ที่น่าเสียดายคือได้ยินว่าเขาขึ้นขั้นสร้างฐานไม่สำเร็จ การประลองชิงยาสร้างฐานห้าร้อยเม็ดในเดือนหน้า เขาต้องมาแน่นอน

เรื่องที่ทำให้จินเฟยเหยารู้สึกยินดีคือ หลังจากนางปิดด่านกักตนไม่นานหลิ่วฉี่ปอก็ฟื้น ภายในร่างยังมีฤทธิ์ยาหลงเหลืออยู่ ทำให้นางรู้ว่าตนเองเคยกินยาอันล้ำค่าเข้าไปเม็ดหนึ่ง เดิมทีนึกว่าผู้อาวุโสสำนักเฉวียนเซียนมอบให้ ต่อมาหลังจากสอบถามแล้วจึงรู้ว่าไม่ใช่

ทั้งได้ยินว่าระยะนี้มีเพียงจินเฟยเหยาที่เคยมาเยี่ยมนาง จึงคาดเดาว่าจินเฟยเหยาเป็นคนมอบยาให้นาง