เฉียนเพ่ยอิงกินเสร็จก็เดินมาอยู่ข้างกายซ่งฝูเซิง เงยหน้าพูดอย่างเอาใจ “นี่ ได้ยินว่า ถ้ากินไอ้นั่น จะช่วยบำรุงพลังด้านหยาง เจ้าไม่กินจริงหรือ?”
ซ่งฝูเซิงโบกมือปฏิเสธ “ไปๆ อย่ามาพูดกับข้า”
“ดูท่านสิ ถ้างั้นท่านจะกินอะไร? เดิมทีในท้องก็ไม่มีอาหาร คนอื่นก็กินกันหมดแล้ว”
ซ่งฝูเซิงไม่อยากกินอะไรทั้งนั้น
เขารู้สึกตนเองหมดสิ้นหนทาง ไม่มีใครล่วงรู้ถึงความรู้สึกไม่ดีในอดีตที่ฝังใจเขา เมื่อได้ยินเสียงคนกำลังกินเนื้องูอย่างเอร็ดอร่อยจึงรู้สึกปวดหัวขึ้นมา
ให้เขายืนกินลมชมวิวอยู่ตรงนี้เถอะ เขาอยากอยู่เงียบๆ เพียงคนเดียว
ซ่งฝูเซิงรู้สึกโดดเดี่ยวเดียวดาย ภายในถ้ำ ผู้คนนั่งกินเนื้องูกันเป็นกลุ่มอย่างครึกครื้น มีเพียงเขาอยู่คนเดียว ภรรยากับบุตรสาวของเขาดีต่อเขามาก อุตส่าห์ออกมาอยู่เป็นเพื่อนเขา
“โอ่ว” นี่คือเสียงของเฉียนเพ่ยอิง
ซ่งฝูหลิงอ้วกตามแม่ของนาง “โอ่ว!”
สองคนเหมือนแข่งขันกันอ้วกไม่หยุด
ซ่งฝูเซิงร้อนใจมาก ตบหลังคนโน้นทีคนนี้ที “นี่ไง ข้าบอกแล้วว่าอย่ากิน เป็นไงล่ะ!”
ซ่งฝูหลิงอาเจียนจนตาแดง นางส่ายศีรษะและชี้ไปทางถ้ำ ความหมายคือ เพราะไม่ใช่เนื้องู ไม่ใช่ว่าเรากินเนื้อนั่นไม่ได้ แต่มันเป็นเนื้อ… “โอ่ว โอ่ว!” นึกถึงมันไม่ได้จริงๆ
ซ่งฝูเซิงไม่เข้าใจ ก็สองแม่ลูกกล้ากินเนื้องู แล้วนี่มันคืออะไร? คนอื่นก็ดูปกติดี ทำไมมีแค่ภรรยากับลูกของเขาที่ผิดปกติ
เกาถูฮู่กับเฉียนหมี่โซ่วเฉลยคำตอบกับเขา
เกาถูฮู่รู้สึกเสียหน้า “ไม่คิดว่าพวกนางจะกลัวหนู พอได้เห็นก็เลยเป็นแบบนี้”
เฉียนหมี่โซ่วจับมือซ่งฝูเซิง “ท่านลุง ที่เห็นไม่ใช่หนูธรรมดา เป็นหนูตัวไม่ใหญ่”
เกาถูฮู่พูดเสริม “ใช่ สี่ฟาพาคนไปจับหนูบนเขาได้หลายตัว ไม่คิดว่าตัวที่ใส่กรงนำมาให้ข้าจะคลอดลูก พอเอาเข้าไปในถ้ำมันก็คลอดหนูตัวเล็กออกมาอีกสิบสองตัว”
เฉียนหมีโซ่วรีบพูด “ขนาดแค่ฝ่ามือข้าเอง” เขารู้สึกว่ามือตนเองเล็กเกินไป ก็คว้ามือขวาของซ่งฝูเซิงให้แบมือออกมา
“ฝ่ามือของข้าไม่ได้ ต้องขนาดฝ่ามือของท่านลุง หนูตัวเล็กสิบสองตัว วางบนฝ่ามือได้พอดี แต่ละตัวเล็กมาก เขาจิ้มซอสกินทั้งสิบสองตัว”
หลังจากกล่าวหาเกาถูฮู่เสร็จ เฉียนหมี่โซ่วก็เลียนเสียงร้องของหนูตัวน้อยที่ถูกเกาถูฮู่จุ่มซอสกิน
“ตอนใช้ตะเกียบคีบตรงกลางตัว ข้าได้ยินเสียงชัดเจน หนูตัวเล็กร้องเสียงแหลมทันที แล้วเขาก็จิ้มซอสใส่ปากกัดกินแบบสดๆ พอหนูตัวกลมๆ เล็กๆ สีแดงๆ ขาวๆ ส่งเสียงร้องเสียงดังอีกครั้ง พี่สาวก็เลยวิ่งออกไปและท่านป้าก็อาเจียน”
โอ่ว ซ่งฝูเซิงอ้วกไม่ออกได้แต่เรอออกมา
แม่ของเขาอุตส่าห์เดินฝ่าสายฝนมา เพียงเพราะต้องการเรียกให้พวกเขากลับไปกินเนื้อจริงๆ หรือ?
สี่คนอาเจียนจนขาเป็นตะคริว ก่อนจะกลับเต็นท์
แต่ละคนดูอิดโรย
ด้านนอกมีเสียงฟ้าร้องเป็นระยะ พวกเขาซุกตัวใต้ผ้าห่มอันอ่อนนุ่ม แต่ก็นอนไม่หลับ นอนลืมตาด้วยใบหน้าสิ้นหวัง
“ท่านแม่ แปรงฟันกันไหม?” ซ่งฝูหลิงถามขึ้นขณะนอนหงาย
“แปรงฟันทำไมกัน เปลืองยาสีฟัน บ้วนปากก็พอแล้ว”
ซ่งฝูหลิงชะงักสักพักก่อนจะตอบ “ก็ได้”
ตอนนี้ท่านย่าหม่าก็ฝ่าสายฝนที่ตกหนักมาอีกครั้ง ครั้งนี้มีลูกชายคนโตเดินมาเป็นเพื่อนนางด้วย
เมื่อมาถึงใต้ต้นไม้ นางกำลังจะสั่งให้ลูกชายคนโตปีนขึ้นต้นไม้เพราะนางปีนเองไม่ไหวจริงๆ ตะโกนก็ไม่ได้ยินเสียง ซ่งฝูไฉเดินเข้ามาใกล้จึงดึงเชือก
เสียง ติงติงตังตัง ดังขึ้น นั่นคือกระป๋องเบียร์แบบฝาดึงที่ดื่มหมดแล้ว ซ่งฝูเซิงใช้ก้อนหินใส่ลงไปข้างในเพื่อนำมาทำเป็นกระดิ่งชั่วคราว
ม่านประตูถูกเปิดออกจากด้านใน
ท่านย่าหม่า “…”
ง่ายขนาดนี้เลยหรือ? เพียงแค่เขย่าให้มันสั่น มีเสียงติงติงตังตังก็ใช้เรียกคนได้ ก่อนหน้านั้นนางจะปีนต้นไม้ทำไมกัน ทำไมนางถึงไม่เห็นมันก่อนนะ?
“ท่านแม่ พี่ใหญ่ ทำไมพวกท่านมาอีกแล้ว ไปกลับลำบาก ไม่กลัวไม่สบายหรือ รีบขึ้นมา ข้าจะหาผ้าเช็ดมือให้พวกท่านเช็ด”
ซ่งฝูไฉปฏิเสธ “ไม่ล่ะ ท่านแม่ต้มข้าวต้มมาให้พวกเจ้า”
พอพูดถึงเรื่องนี้ ท่านย่าหม่าก็นำหม้อดินออกมาจากอ้อมแขน
ซ่งฝูเซิงจินตนาการได้ว่าเมื่อเปิดหม้อดินนั้นออกมาจะต้องมีไอร้อนพวยพุ่งขึ้นมา แม่ของเขาเป็นคนตระหนี่ นางยังอุตส่าห์ทำข้าวต้มมาให้เป็นพิเศษและยังถือมาให้ เขาเอ่ยขึ้นด้วยความตื้นตันใจ “ท่านแม่”
ท่านย่าหม่าโบกมือด้วยสีหน้ารำคาญ “รีบรับไปซะ พวกข้าจะได้ไปสักที ข้าไม่รู้จะทำอย่างไรกับพวกเจ้าดีแล้ว ถ้ายังอ้วกอีกพวกเจ้าต้องละอายใจต่อข้า”
นางเสียดายข้าว เสียดายมาก
ท่านย่าหม่าไม่รู้ว่าในยุคปัจจุบัน มีคำศัพท์หนึ่งคือคำว่า ‘ดัดจริต’ ถ้ารู้ศัพท์คำนี้ นางต้องพูดออกมาอย่างแน่นอน
พวกเจ้านี่ดัดจริตใช่ไหม? ไม่กินเนื้องู เห็นหนูก็อาเจียน อาเจียนให้ใครดู? คนในเมืองนี่เรื่องเยอะจริง! หรือว่าพวกเจ้ายังไม่หิว รอพวกเจ้าหิว แม้แต่เปลือกไม้ก็คงต้องแทะ โคลนก็ต้องแย่งกันกิน