ซ่งฝูเซิงมองท่านแม่กับพี่ชายใหญ่เดินจากไป เขาหุบร่มและสะบัดน้ำออก หลังจากนั้นจึงหันกลับมาเปิดหม้อดิน
ครั้งนี้ไม่เพียงแค่ซ่งฝูเซิงที่ตื้นตันใจ เฉียนเพ่ยอิงได้กินข้าวต้มไปหลายคำก็รู้สึกซาบซึ้งใจเช่นกัน
“เป็นข้าวต้มจริงด้วย และยังใส่ผักอีก…
…ครั้งนี้ผักในข้าวต้มไม่มีใบสีเหลือง มีแต่ใบสีเขียวทั้งหมด…
…ลูกสาวรีบมากินสิ หมี่โซ่วก็มากินด้วยกัน เป็นการยากมากเลยที่ย่าของเจ้าจะยอมใส่เกลือ นี่เป็นครั้งแรกที่นางใส่เกลือในข้าวต้ม”
เฉียนหมี่โซ่วพยักหน้าเห็นด้วย “อร่อยมาก ท่านย่าใจดีมากเลย”
คำพูดนี้กลับทำให้ซ่งฝูเซิงประหลาดใจ เป็นที่รู้กันดีว่าครั้งแรกที่เฉียนหมี่โซ่วเจอท่านย่าหม่านั้น เขารู้สึกหวาดกลัวจนอยากจะแอบหนีไปไกลๆ แต่ตอนนี้กลับให้คะแนนนางเพิ่ม
“นางดีกับเจ้าอย่างไร?”
“เสี่ยวจิ่วตีข้า ท่านย่าอาศัยจังหวะช่วงไม่มีคนสนใจหยิกเขาและยังตีเขาด้วย แถมบอกให้กลับบ้านไปฟ้องย่าของเขาเอา”
เสี่ยวจิ่วเป็นหลานชายคนเล็กของครอบครัวลุงใหญ่ จึงเป็นการยากที่ป้าใหญ่จะไม่มาหาเรื่องกับท่านย่าหม่าและด่าทอกัน
ท่านย่าหม่านี่ก็ใช่ย่อย แอบหาโอกาสท้าทายคนอื่น
นี่เป็นจิตวิทยาแบบไหนกัน หรือว่าถ้าไม่ได้ทะเลาะกับป้าใหญ่แล้วมันไม่สบายใจ? ซ่งฝูเซิงนึกคิด
……
ฝนตกหนักเป็นเวลาสามวันติดต่อกัน
ทำให้คนในครอบครัวของซ่งฝูเซิงรู้สึกราวกับว่าการใช้ชีวิตบนภูเขาเหมือนไม่มีเวลากลางวัน
ทุกวันเมื่อลืมตาขึ้นมา ภายนอกมืดครึ้มมาก ยิ่งตอนบ่ายหรือตอนค่ำ ท้องฟ้ายิ่งมืดมิด แม้ตอนกลางวัน ท้องฟ้าด้านนอกก็มืดมัว บางทีก็มีสายฟ้าแลบ
ในช่วงสามวันนี้ เพิงพักพิงที่สร้างขึ้นในยามฉุกเฉินเริ่มปรากฏรอยรั่วมากขึ้น ผ้าปูที่นอนของหลายครอบครัวเปียกชื้น ทำให้คนพักอาศัยเริ่มเกิดความวิตกกังวลอีกครั้ง
ซ่งอิ๋นเฟิ่งกับเถาฮวาก็เข้ามาอยู่ในเต็นท์บนต้นไม้ของซ่งฝูหลิง
มีสองแม่ลูกคู่นี้เพิ่มเข้ามา และในเต็นท์ยังมีสิ่งของที่ไม่สามารถเปียกชื้นได้วางไว้เป็นกองๆ ในค่ำคืนนี้ ซ่งฝูหลิงจึงต้องหลับแบบไม่สามารถพลิกตัวได้ นอนได้เพียงแค่ตะแคงตัวนอน
ทุกคนที่อยู่บนต้นไม้ก็ไม่กล้าขยับตัวมากเกินไปเพราะเกรงว่าเต็นท์บนต้นไม้จะรับน้ำหนักไม่ไหวแล้วพังลงมา
แต่ในถ้ำกลับแตกต่างกัน มันดีกว่าสถานที่อื่นมาก
ตรงปากทางเข้าถ้ำ ซ่งฝูเซิงสร้างเตาผิงไว้สำหรับทุกคน ไฟในเตาผิงสามารถขับไล่ความชื้นออกไปได้ กระทะทั้งสองใบบนเตาก็ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนใช้งานกันตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงโดยที่ไฟไม่มอดดับ ไม่ทำอาหารก็รมควันบางอย่าง
เนื่องจากบางครอบครัวเลี้ยงไก่ เลี้ยงหมู เช่น ครอบครัวของเกาถูฮู่ ครอบครัวของพวกเขากังวลใจมากเรื่องเนื้อหมูจะเปลี่ยนสภาพ และไม่สนใจว่าคนอื่นจะรู้สถานะครอบครัวของเขา เขาจำเป็นต้องนำเนื้อไปรมควัน มิเช่นนั้นจะเก็บไว้ไม่ได้นาน เนื้อหมูเป็นอาหารสำคัญของครอบครัวตระกูลเกา ตอนนี้จะกินก็เสียดาย จะไม่กินก็เป็นกังวล
แต่ครอบครัวส่วนใหญ่ต่างคิดหาวิธีการในการถนอมอาหาร พวกผู้หญิงใช้มือบดและมีใช้ครกตำเพื่อบดหมูจนเป็นผง สิ่งไหนสามารถผัดข้าวได้ก็นำไปผัดข้าว ที่สามารถคั่วให้แห้งได้ก็คั่วให้แห้ง
คงตากแดดไม่ได้แน่นอน เดิมทีเป็นผลผลิตที่เพิ่งเก็บเกี่ยวมา บางครัวเรือนยังไม่ได้นำไปตากแดด ตอนนี้ฝนตกหนักมาสามวัน อาหารแห้งในถุงจะยังคงสภาพดีอยู่ได้อย่างไร?
แต่ว่าในที่นี้ไม่รวมท่านย่าหม่า ท่านย่าหม่าค่อนข้างจะสบายหน่อย
เพราะอะไรนะหรือ เพราะว่านางมีหลานสาวที่เฉลียวฉลาด ครั้งนี้นางยอมรับแล้วว่ามันสมองของหลานสาวคนเล็กนี้ดีจริงๆ
ซ่งฝูหลิงให้ป้าของนางที่มีฝีมือในการเย็บปักถักร้อย เย็บถุงกระดาษน้ำมันหลายถุง มีปูนขาวใส่ในถุงกระดาษน้ำมันไว้
สำหรับกระดาษน้ำมัน ต้องขอบคุณหนิวจั่งกุ้ยที่ให้มา
ก่อนที่พวกเขาจะออกจากตัวเมือง หนิ่วจั่งกุ้ยกับเถ้าแก่ไป๋ที่เปิดร้านขายของชำ ได้ร่ำลากัน เถ้าแก่ไป๋มอบสิ่งของมากมายที่ใช้งานได้จริง เช่นถุงน้ำ ร่ม และกระดาษน้ำมัน ซึ่งของทั้งหมดนี้เขาเป็นคนให้มา
สำหรับปูนขาว ต้องขอบคุณชุนฮวาที่ตอนนี้ยังไร้ข่าวคราว
นำกระดาษน้ำมันแต่ละแผ่นเย็บติดกันเพื่อใส่อาหารแห้งไว้ด้านใน ป้องกันไม่ให้เปียกชื้นได้
ของสิ่งนี้ดีมาก อาจจะได้ใช้ระหว่างการเดินทาง แต่กังวลว่าตนเองอาจจะมีไม่พอใช้ ท่านย่าหม่าจึงไม่ยอมให้หลานสาวคนเล็กแบ่งปันถุงกระดาษน้ำมันให้คนอื่นและไม่ให้พูดเรื่องนี้ออกไป
ซ่งฝูเซิงเคยถามบุตรสาว เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าปูนขาวสามารถใช้เป็นสารกันชื้นได้? ทำไมข้ารู้แต่เพียงว่าเวลานำมันมาใส่ในน้ำจะสามารถฉาบผนังได้
ซ่งฝูหลิงสวมบทบาทนักเรียนเรียนดี “Cao+H2O เท่ากับ…”
ซ่งฝูเซิง “พูดให้มันเข้าใจง่ายๆ หน่อย” ไม่รู้หรือว่าพ่อเจ้ากว่าจะเรียนจบชั้นมัธยมต้นได้นั้นลำบากขนาดไหน นี่เจ้ายังจะมาอ่านสมการปฏิกิริยาทางเคมีอะไรให้ข้าฟังอีก