บทที่ 34 ใช้สามปีของข้าเป็นข้อแลกเปลี่ยน

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

บทที่ 34 ใช้สามปีของข้าเป็นข้อแลกเปลี่ยน Ink Stone_Romance

ซ่งชูอีไปถึงสถานที่ที่หญิงสาวทั้งสองคนถูกคุมขังโดยไร้อุปสรรค มันเป็นเพียงผ้ากระสอบที่ขึงรอบพื้นที่เปิดด้านตะวันออกของค่ายเพื่อกันลม มีทหารมากกว่าสิบนายคอยเฝ้า

เมื่อซ่งชูเห็นว่าไม่มีผู้ใดขวาง นางหยุดเดิน ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเดินเข้าไปภายในกระโจม

หญิงสาวหมดสติผู้นั้นนอนอยู่บนหญ้าแห้ง ยังไม่ฟื้นตื่น เมื่อหญิงสาวอีกคนเห็นแขกผู้มาเยือนท่ามกลางแสงไฟริบหรี่  ก็หมอบลงกับพื้นทันที “ผู้มีพระคุณ”

ซ่งชูอีพิจารณาครู่หนึ่ง ปรับท่าทีของตนให้ไม่กะตือรือร้นจนเกินไปแต่ก็ไม่เยือกเย็นมากนัก “ไม่ต้องมากพิธี เจ้าลุกขึ้นเถิด”

“เจ้าค่ะ” หญิงสาวลุกขึ้นยืน

ซ่งชูอีนั่งขัดสมาธิลงตรงพื้นที่ว่าง มองหญิงสาวที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดเบื้องหน้า ดูจากแขนขาที่เพรียวบางของนาง สามารถประมาณได้ว่าอายุของนางไม่เกินสิบเจ็ดปีมากสุด ซ่งชูอีเอ่ยถาม “เจ้าเป็นคนที่ใด?”

“ข้าน้อยเป็นชาวเว่ย” นางพูดจบ ราวกับรู้สึกว่าฟังแล้วจะเกิดความคลุมเครือ จึงรีบกล่าวเสริม “ท่านอ๋องของข้าคือ

เว่ยอ๋อง”

“เหตุใดจึงเคราะห์ร้ายถึงเพียงนี้?” ซ่งชูอีถามต่อ

หญิงสาวเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนเอ่ยขึ้น “บิดาของข้าถูกคนชั่วให้ร้าย ทั้งบ้านต้องตกเป็นทาส ข้ากับพี่สาวและมารดาถูกแยกให้อยู่แห่งเดียวกัน มารดาป่วยหนักใกล้ตาย อีกทั้งเห็นว่าผู้คุมผู้นั้นมีจิตใจชั่วร้าย กลัวว่าข้ากับพี่สาวจะถูกล่วงเกิน จึงใช้ความตายช่วยให้พวกเราหนีออกมา”

ซ่งชูอีฟังแล้วก็ทอดถอนใจ “ความรักและเมตตาของผู้เป็นมารดาน่าประทับใจยิ่งนัก แต่เมื่อหนีออกมาได้แล้วจะอย่างไรหรือ มันเป็นเพียงการหนีเสือปะจระเข้ ใต้หล้านี้…ไม่โอบอ้อมอารีเอาเสียเลย”

หญิงสาวตัวสั่นเทาเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าคำพูดของซ่งชูอีกระตุ้นความทรงจำอันน่าผวาของนางเข้า อย่าว่าแต่เรื่องอื่นเลย เพียงฉากที่ถูกเหล่าทหารล้อมดูเมื่อครู่ ก็เพียงพอที่จะทำให้นางตัวสั่นได้

“เจ้ารู้หรือไม่ ว่าเว่ยอ๋องทำอะไรกับเว่ย์อ๋องบ้าง?” ซ่งชูอีเอ่ยด้วยถ้อยคำที่ธรรมดาและเข้าใจง่ายที่สุด “เว่ยอ๋องขู่บังคับให้เว่ย์โหวออกทัพโจมตีรัฐซ่ง รัฐเว่ย์เล็กและอ่อนแอไม่กล้าขัดคำสั่ง หลังจากรัฐเว่ย์ออกทัพแล้ว เว่ยอ๋องกลับเข้ายึดครองนครในรัฐเว่ย์ถึงเจ็ดแห่ง บัดนี้ฝูงชนกำลังลุกฮือ พวกเจ้าบุกเข้ามาในค่ายทหารของรัฐเว่ย์เช่นนี้ ชะตาช่างไม่เข้าข้างเจ้าโดยแท้!”

หญิงสาวตัวแข็งทื่อ ทันใดนั้นก็หมอบลงไปกับพื้นอีกครั้ง เอ่ยเสียงอู้อี้ “ได้โปรดท่านช่วยข้าสองพี่น้องด้วย ข้าน้อยยอมเป็นวัวเป็นม้า ตอบแทนบุญคุณของท่านที่ช่วยชีวิต”

ซ่งชูอีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น ผ่านไปครู่หนึ่ง จึงเอ่ยขึ้น “ข้าจัดการเอง เพราะเห็นพวกเจ้าสองคนน่าสงสาร จู่ๆ ก็เกิดความเห็นใจ บัดนี้รัฐเว่ย์คิดจะเก็บข้าไว้ เงื่อนไขคือภายในสามปี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ไปจากรัฐเว่ย์มิได้ ถ้าข้าเสนอเงื่อนไขให้พวกเจ้าสองคนได้อยู่ต่อ รัฐเว่ย์จะต้องปล่อยพวกเจ้าไปอย่างแน่นอน แม้นข้ามีความทะเยอะทะยาน แต่ว่าใช้สามปีแลกกับชีวิตคนสองคนก็คุ้มค่า ข้าเพียงอยากถามพวกเจ้าว่าจะยินยอมติดตามข้าหรือไม่?”

หญิงสาวดีใจยิ่ง เงยหน้าขึ้นมองซ่งชูอี ราวกับต้องการมั่นใจว่านางพูดความจริงหรือเปล่า นางเห็นว่าซ่งชูอียังคงนั่งในท่าทางสงบนิ่ง ดูเหมือนไม่ได้พูดเล่น รีบโค้งคำนับ กล่าวด้วยความตื้นตัน “ท่านผู้มีคุณธรรม ข้าน้อยยินยอมที่จะติดตามท่าน! พี่สาวก็ต้องยินยอมด้วยแน่”

ถ้าหากซ่งชูอีไม่ช่วยพวกนาง สุดท้ายก็จะถูกทหารรัฐเว่ย์รังแกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หญิงสาวมองไม่ออกว่าแท้จริงแล้วซ่งชูอีเป็นหญิง พวกนางก็เกิดในตระกูลผู้ดี จึงอดไม่ได้ที่จะมีความรู้สึกสนิทสนมกับบัณฑิต ยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่าจะกลายเป็นของเล่นบนเตียงของคนอื่น ก็ยังดีกว่าถูกคนที่นี่รังแกอย่างไม่เลือกหน้ามากกว่านัก

“ฉะนั้นจงวางใจเถิด” ซ่งชูอีบรรลุเป้าหมายก็พลันลุกขึ้น ถอดเสื้อคลุมบนตัวออกแล้วโยนให้นาง ก้าวเท้าจากไป

สองมือของหญิงสาวถือเสื้อคลุมไว้ ค้อมตัวเอ่ย “ขอบคุณนายท่าน!”

เหล่านายทหารที่กอดกันอยู่หน้ากองไฟเห็นว่าซ่งชูอีแต่งกายเรียบร้อยเข้าไป ทว่าไม่มีเสื้อคลุมออกมา อดไม่ได้ที่จะทอดสายตาคลุมเครือ

ซ่งชูอีตัดสินใจที่จะอยู่ในรัฐเว่ย์อยู่แล้ว สามปีนั้นนับว่าไม่นานสำหรับอายุของนางในปัจจุบัน หลังจากสามปี นางก็อายุเพียงสิบแปดเท่านั้นซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สามารถทำการใหญ่ได้พอดี

หญิงงามสองนางนี้ เป็นเพียงผลประโยชน์เล็กน้อยที่เก็บเกี่ยวได้ตามทางเท่านั้น โดยมากแล้วรัฐเว่ย์คงไม่สนใจความเป็นความตายของสาวชาวเว่ยสองคนนี้

ลมเหนือพัดโหยหวนตลอดคืน

วันรุ่งขึ้น ท้องฟ้าเพิ่งสว่างรำไร จี๋อวี่ก็ยืนอยู่หน้ากระโจมของซ่งชูอีแล้ว แต่เขามิได้รบกวน เพียงแต่ยืนตรง มือค้ำดาบ

ลมแรงหวีดหวิวพัดผมที่ยุ่งเหยิงของเขา ดูสะบักสะบอมอย่างเห็นได้ชัดในสายลม แต่ไม่ละทิ้งซึ่งความองอาจ

จนกระทั่งฟ้าสว่าง ซ่งชูอีจึงแหวกตัวออกมาจากกระโจม เห็นจี๋อวี่ยืนตรงตัวราวกับป้ายศิลาก็ตะลึงงันเล็กน้อย หาวทีหนึ่ง ยื่นมือกระชับเสื้อที่บางเบา เอ่ยขึ้น “ท่านนายพลจี๋ตื่นเช้าเสียจริง?”

จี๋อวี่หันมามองสำรวจนาง “ท่านตัดสินใจแล้วหรือว่าจะใช้สามปีแลกเปลี่ยนกับสาวชาวเว่ยสองคนนั้น?”

“ใช่” ซ่งชูอีรู้อยู่แล้วว่าเขาจะต้องได้รับข่าว จึงไม่รู้สึกประหลาดใจ เพียงแต่เอ่ยถามด้วยความสงบ “ไม่ทราบว่ารัฐเว่ย์อาวรณ์เด็กสาวสองคนนั้นรึ?”

“เดิมทีหาใช่ชาวเว่ย์ของข้า หากท่านต้องการก็เอาไปเถิด แต่ว่าตัวตนของสาวชาวเว่ยสองคนนั้นไม่ธรรมดา อาจเป็นสายลับจากรัฐเว่ยก็เป็นได้ ฉะนั้นพวกข้าจะไม่ปล่อยให้คลาดสายตา ท่านได้โปรดให้อภัยในจุดนี้” จี๋อวี่กล่าว

ซ่งชูอีตอบรับเสียงหนึ่ง “แน่นอนอยู่แล้ว ถ้าหากพบว่าพวกนางทำตัวไม่เหมาะสม ขอให้บอกกล่าว”

“ได้” จี๋อวี่เก็บดาบ ยกมือขึ้นคารวะซ่งชูอี

สายลับ? ซ่งชูอียิ้มเยาะ นางเพียงคิดจะใช้ประโยชน์จากหน้าตาของพวกนางก็เท่านั้น ถ้าหากพวกนางภักดี แน่นอนว่านางก็จะมีวิธีใช้ความภักดีนั้น ถ้าหากพวกนางทรยศก็จะมีแผนการที่ต่างกัน เพียงแต่หากสาวชาวเว่ยสองคนเป็นสายลับจริง เช่นนั้นระดับการใช้ประโยชน์ของนางก็จะลดลงไปมาก

ถึงกระนั้นซ่งชูอีก็ไม่ค่อยจุกจิกกับของที่ได้มาโดยไม่ต้องลงแรง

จี๋อวี่พูดคำไหนคำนั้น ไม่นานก็ส่งสาวชาวเว่ยทั้งสองมาแล้ว

กองทัพเตรียมเก็บของกลับซุยหยาง กองทหารที่รอมาหนึ่งคืนเต็มไม่ได้ยินคำสั่งว่าจะจู่โจมทหารเว่ย แต่จู่ๆ บอกว่าให้กลับซุยหยางตามแผนเดิม ในขณะที่ประหลาดใจอยู่นั้นก็ไม่มีใครไปถามท่านแม่ทัพ เนื่องด้วยผ่านไปหนึ่งราตรีแล้ว ความโกรธแค้นภายในใจของทุกคนก็ค่อยๆ ทุเลาลงบ้าง บวกกับอาการอ่อนล้าของการเร่งเดินทัพเข้าถาโถม ทันใดนั้นพวกเขาก็สูญเสียความมั่นใจในการโจมตี ท้ายที่สุดแล้วรัฐเว่ยมีทหารหลายแสนนาย ทหารสามหมื่นนายก็เหมือนตีหินด้วยไข่

บรรยากาศของทั้งกองทัพต่างจากเมื่อวานราวฟ้ากับเหว เสื้อเกราะแตกหัก บนร่างของพวกเขามีเพียงรอยบาดแผลที่หลงเหลือจากการสู้รบกับทหารซ่ง และมีเพียงความอ่อนระโหยจากการเร่งเดินทัพ เดินลากเท้าไปตลอดทางไม่ต่างกับผู้ลี้ภัย ความประสงค์ในการต่อสู้เกิดขึ้นเพียงชั่ววูบเท่านั้น

เล่ห์เหลี่ยมชั่วร้ายของรัฐเว่ยครานี้ทำให้รัฐเว่ย์พ่ายแพ้ยับเยิบ จนเกือบทำให้รัฐตกอยู่ในอันตราย

ซ่งชูอีไม่มีความหวังใดๆ ต่อเว่ย์โหว ไม่ว่าจะเป็นรัฐเว่ย์หรือเว่ย์โหวต่างไร้คุณสมบัติในการยึดครองใต้หล้า นางอยู่ต่อเพียงเพื่อให้เวลาตัวเองเสริมพลังก็เท่านั้น

ในอดีตอุดมคติของซ่งชูอีคือการปักหลักปักฐานอย่างสงบ ด้วยเหตุนี้หากอยู่ที่ไหนได้นางก็จะอยู่ที่นั่น อย่างไรก็ตามสภาพจิตในของนางในบัดนี้คือการยอมรับ เลือกผู้นำ และจะต้องเป็นผู้นำที่อาจหาญ แม้ว่าสุดท้ายจะต้องตายเมื่อหมดประโยชน์ อย่างน้อยก็เคยเฉิดฉายความสามารถของตัวเองให้เป็นที่ประจักษ์และทิ้งประวัติศาสตร์ไว้ให้จารึก

……………………………