บทที่ 35 นักพิณแห่งราตรี

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

บทที่ 35 นักพิณแห่งราตรี Ink Stone_Romance

รัฐเว่ย์ดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดภายใต้อำนาจของอาณาจักรทั้งเจ็ด แต่มันก็เคยมีช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์เช่นกัน

นครหลวงของรัฐเว่ย์ในยุคต้นคือเฉาเกอ เคยย้ายไปยังตี้ชิวในสมัยชุนชิว ในขณะนั้น จูโหวมักจะอยู่ที่ชีเฉิงของรัฐเว่ย์เพื่อประชุมสนธิสัญญาต่างๆ เนื่องด้วยประโยชน์จากการอนุรักษ์แม่น้ำเหลือง เกษตรกรรมและเศรษฐกิจของรัฐเว่ย์จึงรุ่งเรืองเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังเป็นผู้นำด้านสิ่งทอ เครื่องหนัง ไม้ไผ่ การหลอมและการหล่อในขณะนั้น

พลบค่ำถึงซุยหยาง ทหารสามหมื่นนายตั้งค่ายอยู่นอกเมือง หลงกู่ชิ่งและกงซุนชื่อพาทหารกว่าสองพันนายเข้านคร และซ่งชูอีก็เป็นหนึ่งในนั้น

แม้นผูหยางกำลังย่างเข้าสู่ราตรี บัดนี้ผู้คนบนถนนค่อยๆ บางตาแล้ว มีเพียงร้านเหล้าบางแห่งที่มีแสงไฟสลัวเล็ดลอดออกมา

ผู้คนบนถนนเห็นกองทัพก็ต่างค้อมตัวหลบไปด้านข้าง อากัปกิริยาของทุกคนล้วนเฉยชา ไม่มีใครเงยหน้าขึ้นมาซุบซิบกัน และไม่มีใครแสดงท่าทีประหลาดใจ ราวกับว่ากองทัพในสภาพพ่ายแพ้ยับเยินเช่นนี้เป็นเรื่องปกติเหลือล้น

กองทหารที่ตามมาทำได้เพียงรออยู่ด้านนอกพระราชวัง หลงกู่ชิ่งไปเข้าเฝ้าเว่ย์โหวเพียงลำพัง

ภายในพระราชวังมีทหารเฝ้ายามยืนห่างกันทุกสองถึงสามจั้ง บันไดหลักสองข้างที่มุ่งสู่ท้องพระโรงมีโคมไฟแกะสลักด้วยหินสูงประมาณเอว รูปทรงเหมือนศาลา ภายในมีตะเกียงน้ำมันที่ปกคลุมด้วยผ้าไหมบางๆ รอบด้าน มันส่องแสงเพียงวอมแวม

หลงกูชิ่งยืนสงบนิ่งอยู่ที่ตีนบันไดสองสามลมหายใจ ยื่นมือจับด้ามดาบเย็นเฉียบที่เอว ข่มความรู้สึกเศร้าโศกและอ้างว้างที่ก่อตัวในใจฉับพลัน ก้าวเท้าเดินขึ้นไป

เมื่อมาถึงประตูท้องพระโรง ก็มีขันทีก้าวมาข้างหน้าเพื่อรับดาบของเขา

หลงกู่ชิ่งถอดรองเท้า เยื้องย้างเข้าไปในท้องพระโรง เหล่าขุนนางชั้นสูงแห่งรัฐเว่ย์ยังมิได้กลับจวน รอคอยอยู่กับเว่ย์โหว หลงกู่ชิ่งเงยหน้ามองเว่ย์เฉิงโหวบนพระที่นั่งผู้ซึ่งบัดนี้ชราภาพมากแล้ว ราวกับว่าชรากว่าตอนที่เขาจากไปเสียอีก

“ถวายบังคมฝ่าบาท” หลงกู่ชิ่งถวายคำนับ

“ไม่ต้องมากพิธี ท่านแม่ทัพรายงานสถานการณ์ทางทหารให้ข้าฟังเถิด” จะไม่ให้เว่ย์โหวร้อนใจได้เยี่ยงไร ทหารสามหมื่นนายแน่นอนว่าเป็นเรื่องเล็กสำหรับเจ็ดมหานครรัฐ แต่ว่าสำหรับรัฐเว่ย์นับว่าเป็นจำนวนมหาศาล บัดนี้ได้ระดมกองทัพส่วนใหญ่จากทั่วรัฐแล้ว ยกเว้นเสียแต่กองทหารรักษาการณ์ของผูหยาง

“พะยะค่ะ” หลงกู่ชิ่งเอ่ยทันที “กราบทูลฝ่าบาท ทหารสามหมื่นนายของกระหม่อมนั้นสูญเสียทหารกว่าสี่พันนายขณะที่สู้รบกับรัฐซ่ง จากนั้นทหารกระหม่อมรอเนิ่นนานก็ไร้ซึ่งกองกำลังโจมตีหลักจากรัฐเว่ย กระหม่อมจึงสั่งการให้ถอยทัพ แต่เคราะห์ซ้ำถูกทหารซ่งโอบล้อม ช่วงต้นฤดูหนาว มีฝนและหิมะตกติดต่อกันสองวัน บวกกับบาดแผลที่ทหารซ่งทิ้งไว้ในขณะต่อสู้ กระหม่อมจึงเสียไปอีกมากกว่าสองพันนาย และสูญเสียมากกว่าร้อยนายระหว่างทางกลับรัฐ บัดนี้มีทหารมากกว่าสองหมื่นสามพันนายที่กลับผูหยางมาอย่างปลอดภัย”

หลงกู่ชิ่งในฐานะท่านแม่ทัพได้พยายามอย่างเต็มที่แล้วเพื่อรักษาความแข็งแกร่ง หากเขามิได้ถอยทัพด้วยความเด็ดขาดและบัญชาการอย่างเยี่ยมยอด เกรงว่าอาจเสียทหารทั้งสามหมื่นนายในรัฐซ่งแล้ว

เว่ย์เฉิงโหวสำลักเล็กน้อย ใบหน้าเปี่ยมด้วยความเศร้าโศก “เว่ยอ๋องหยามข้ามากเกินไปแล้ว! หยามข้ามากเกินไปแล้ว!”

บรรดาขุนนางยกแขนเสื้อขึ้นปิดหน้า ร่ำไห้เงียบๆ เพียงพริบตาเดียว เสียงร้องไห้ก็ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องในท้องพระโรง

“ฝ่าบาท” แม้นหัวใจของหลงกู่ชิ่งจะทรมานเหลือคณานับ แต่สุดท้ายแล้วเขาคือแม่ทัพที่ต่อสู้ในสนามรบนานนับปี และยังควบคุมตัวเองได้ดีจนบัดนี้

ทันทีที่หลงกู่ชิ่งเอ่ยปาก เสียงภายในท้องพระโรงก็เงียบลงมาก เขาประสานมือคารวะ “พวกกระหม่อมสามารถถอนตัวจากปัญหาได้อย่างราบรื่นครานี้ ทั้งหมดเป็นเพราะราชทูตสองท่าน รัฐเว่ย์มีเพื่อนบ้านผู้แข็งแกร่ง กำลังรัฐก็อ่อนแอ ไม่สามารถต่อสู้ได้ มันเป็นการดีกว่าที่จะรับผู้มีความสามารถดังกล่าวเพื่อปกป้องรัฐเว่ย์ของเรา”

เว่ย์โหวนิ่งไปครู่หนึ่ง ตรัสถาม “สองท่าน?”

“พะยะค่ะ” ในช่วงเวลานี้หลงกู่ชิ่งก็ได้ให้ความสนใจกับซ่งชูอี เขาหาใช่ผู้ชำนาญด้านกลยุทธ์ แต่ด้วยวัยวุฒิและประสบการณ์ในการอ่านผู้คน รู้สึกว่าซ่งชูอีเป็นผู้รอบรู้ที่สามารถใช้งานได้ จึงกราบทูลเรื่องที่จี๋อวี่พบจางอี๋และซ่งชูอีโดยบังเอิญ และเรื่องที่ส่งซ่งชูอีไปยังรัฐซ่งในฐานะราชทูตให้เว่ย์โหวฟังอีกรอบ

“ความหมายของท่านแม่ทัพหลงกู่ก็คือ คนของข้าไปเจรจาพร้อมกับของกำนัลและหนังสือรับรองจากรัฐเว่ย์ก่อน แต่สุดท้ายทุกอย่างกลับเป็นเพราะความสามารถของบัณฑิตผู้นั้นรึ?” ชายชราอายุกว่าห้าสิบปีท่านหนึ่งเอามือสอดไว้ในแขนเสื้อ มองดูหลงกู่ชิ่งด้วยความเฉยเมย น้ำเสียงราบเรียบเป็นอย่างมาก ราวกับว่าเพียงต้องการยืนยันเรื่องนี้ เขาพ่นลมหายใจเย็นชา “หากเป็นเช่นนี้จริง เช่นนั้นข้าไม่ต้องเก็บคนของข้าไว้ก็ได้ วันหน้าข้าจะไล่ตะเพิดเขาออกไปเอง”

“ท่านอาวุโสกล่าวเกินไปแล้ว” หลงกู่ชิ่งกราบทูลเว่ย์โหวต่อ “สถานการณ์ในรัฐซ่งเป็นเยี่ยงไรนั้น กระหม่อมมิทราบ เพียงแต่จากประสบการณ์การอ่านคนหลายสิบปีของข้า คิดว่าท่านซ่งหวยจินก็เป็นผู้เก่งกาจ สามารถใช้งานได้”

ท่านอาวุโสเย้ยหยันอยู่ในใจ แขกที่ปรึกษาของเขามีเกือบร้อยคน ยังมิกล้าพูดว่าดูคนออก นักรบคนหนึ่งจะมีประสบการณ์อะไรในการอ่านคน! อย่างไรก็ดีหลงกู่ชิ่งกล่าวเช่นนี้ก็นับว่าไว้หน้าเขาแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ก่อกวนอีกต่อไป

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านก็จัดแจงห้องหับในจวนเสีย แล้วค่อยนัดหมายให้มาพบกว่าเหริน พวกท่านก็ออกไปเถิด” คนรับใช้ภายในสองคนประคองให้เว่ย์เฉิงโหวลุกขึ้นยืน

แม้นว่าจะเตรียมใจไว้นานแล้ว และแม้นว่าข่าวที่ได้รับจะดีกว่าที่เว่ย์เฉิงโหวคาดคะเนหลายเท่านัก แต่เมื่อได้ยินว่าทั้งรัฐสูญเสียกองกำลังจำนวนมากถึงเพียงนี้ ก็ดูเหมือนว่าเขาจะอิดโรยและแก่ลงอย่างเห็นได้ชัดภายในพริบตา

หลงกู่ชิ่งมองดูเงาที่โงนเงนของเว่ย์เฉิงโหว ยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะติดตามฝูงชนออกไป

ซ่งชูอีในฐานะแขกที่ปรึกษาของหลงกู่ชิ่ง เป็นธรรมดาที่จะถูกเขาจัดแจงทุกอย่างไว้ให้ สกุลหลงกู่เป็นครัวเรือนขนาดใหญ่ซึ่งมีที่นาล้อมรอบ ครอบครัวค่อนข้างมีฐานะ อีกทั้งแขกที่ปรึกษาของเขามีไม่มาก มีเพียงไม่ถึงสิบคน ฉะนั้นแต่ละคนจึงได้รับการปฏิบัติอย่างดี อย่างน้อยก็ไม่ต้องใช้ห้องร่วมกับใคร

สถานที่ที่จัดแจงให้ซ่งชูอีนั้นเป็นบ้านกระดานชนวนสี่ห้อง ในลานสองข้างซ้ายขวามีบ้านเล็กอยู่สองสามหลัง ในบ้านเล็กนั้นไม่มีพื้นกระดาน มีไว้สำหรับเก็บของไม่สลักสำคัญจำนวนหนึ่งเท่านั้น ไม่สามารถอยู่อาศัยได้

ด้วยเหตุนี้ซ่งชูอีจึงได้ห้องสองห้อง หนึ่งในนั้นแบ่งให้พี่น้องชาวเว่ยได้พัก ตัวเองพักอีกห้องหนึ่ง

เมฆดำเหนือนครซุยหยางค่อยๆ เกาะตัวเป็นกลุ่มก้อน ลมหนาวส่งเสียงคำรามหวีดวิว อุญหภูมิลดลงฮวบฮาบ ผู้ดูแลบ้านสกุลหลงกู่นำสิ่งของเครื่องใช้มาให้ที่ห้องของซ่งชูอีอย่างรวดเร็ว กล่าวด้วยความเกรงใจสองสามคำ จากนั้นก็เร่งรุดจากไป

เวลาไม่นับว่ายังไม่ดึกมาก ซ่งชูอีนอนไม่หลับ จึงคลำจัดของอยู่ในห้องมืด

สกุลหลงกู่ปฏิบัติต่อซ่งชูอีอย่างธรรมดาสามัญ แต่ในแง่ของต้นทุนก็นับว่าใจกว้างยิ่ง อย่างไรก็ดีเพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับนาง

ซ่งชูอีกำลังจัดเสื้อผ้า พลันแว่วเสียงพิณจากด้านนอก นางหยุดชะงัก ตั้งใจฟังครู่หนึ่งแล้วเปิดประตูออกไป

มองไปตามที่มาของเสียงพิณ เห็นเพียงบุรุษในชุดธรรมดาผู้หนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงเฉลียง ลำตัวสูงเพรียว ลำคอยาวกว่าคนทั่วไปแต่ไม่รู้สึกแปลกแยก กลับสง่างามดุจนกกระเรียน สายลมบ้าคลั่งพัดผมดำที่มิได้ถูกมัดให้พริ้วไหว เส้นผมที่เต้นระบำอยู่นั้นบดบังโครงหน้าอันหล่อเหลาเสียครึ่งหนึ่ง แต่ละท่วงท่ามีอิสระและงดงามเหลือล้ำ เขาหลับตาลงคล้ายกำลังดื่มด่ำอยู่ในท่วงทำนองของตน

ซ่งชูอีรวบแขนเสื้อยืนฟังอยู่ที่ประตูสักพัก

แต่เสียงพิณของผู้นั้นกลับหยุดชะงัก จู่ๆ ก็ลืมตาจ้องนางราวกับขุ่นเคือง จากนั้นก็ยกพิณแล้วหมุนตัวกลับเข้าห้องไป

ปากของซ่งชูอีอ้าออกเล็กน้อย รู้สึกพิศวงอยู่ในใจ พลางคิดว่าเจ้ามาดีดพิณตรงเฉลียงก็เพื่อให้คนอื่นฟังมิใช่หรอกหรือ? ในเมื่อข้าก็มาชื่นชมแล้ว เหตุใดจึงยังทำหน้าบอกบุญไม่รับเล่า?

…………………………