ภาคที่ 2 บทที่ 57 ถึง

มู่หนานจือ

เรือโคลงเคลง เจียงเซี่ยนจึงหลับไปอย่างรวดเร็ว

ตอนที่นางถูกไป่เจี๋ยปลุก อีกสามเค่อจะถึงยามอู่ เรือก็ถึงท่าเทียบเรือใหญ่แล้ว

กรมพิธีการกับกรมวังรับผิดชอบวันเฉลิมพระชนมพรรษาของเฉาไทเฮาในครั้งนี้ ซูเพ่ยเหวินรองเสนาบดีกรมพิธีการ เจ้ากรมวังจั่วจากกรมวัง และไช่ติ้งจงจิ้นอันโหวพาเหล่าขุนนางที่มาราชการที่ภูเขาวั่นโซ่วในครั้งนี้มารออยู่ที่ริมฝั่งตั้งนานแล้ว

จ้าวอี้เรียกซูเพ่ยเหวินกับไช่ติ้งจงมาพบ และคุยกับพวกเขาอย่างสนิทสนมเล็กน้อย แล้วก็ให้ทั้งสองคนไป ‘วารีเคียงพฤกษา’ ท่าเรือที่ขึ้นฝั่งเป็นเพื่อน

เจียงเซี่ยนยืนอยู่หน้าลายฉลุหน้าต่างของห้องโดยสารบนเรือ มองไปยังเสาหินอ่อนสีขาวสลักรูปมังกรและหงส์พันรอบเสาที่มีคำว่า ‘วารีเคียงพฤกษา’ ไกลๆ ด้วยความรู้สึกหลากหลาย

วารีเคียงพฤกษาเป็นตำหนักห้าห้องที่เชื่อมกับตำหนักเล่อโซ่วที่อยู่ทางด้านหลังโดยตรง ทุกครั้งที่เฉาไทเฮามาภูเขาวั่นโซ่วก็ชอบพักที่นี่

แม้จ้าวอี้จะยังไม่ได้ว่าราชการด้วยตนเอง ทว่าถึงอย่างไรเขาก็เป็นฮ่องเต้ เฉาไทเฮาจึงจัดให้เขาอยู่ที่ตำหนักเหรินโซ่วใกล้ประตูวังทางทิศตะวันออก

เวลาเฉาไทเฮาพักร้อนที่ภูเขาวั่นโซ่วก็จะจัดการข้อราชการและพบเหล่าขุนนางใหญ่ที่ตำหนักเหรินโซ่วพร้อมกับจ้าวอี้

ตำหนักอี๋อวิ๋นที่อยู่ใกล้ตำหนักเล่อโซ่วและอยู่ระหว่างสองตำหนักจึงกลายเป็นสถานที่พักผ่อนของเหล่าสตรีบรรดาศักดิ์ข้างในและข้างนอกที่มาพักร้อนเป็นเพื่อนเฉาไทเฮา ส่วนตำหนักอวี้หลานที่อยู่ใกล้ตำหนักเหรินโซ่วก็กลายเป็นสถานที่พักกลางวันของเฉาไทเฮา

หลังจากเฉาไทเฮาเสียชีวิต จ้าวอี้ยังคงมาพักร้อนที่ภูเขาวั่นโซ่วทุกหน้าร้อนเหมือนกับตอนที่เฉาไทเฮายังมีชีวิตอยู่เช่นเดิม

เขาอยู่ที่ตำหนักเหรินโซ่วต่อ และจัดให้เจียงเซี่ยนอยู่ที่ตำหนักเล่อโซ่ว

ส่วนพวกคนสกุลฟางนั้นเข้าไปพักที่ตำหนักอี๋อวิ๋นแล้ว

ตอนหลังจ้าวอี้ไม่ชอบที่ตำหนักเหรินโซ่วอยู่ไม่สบาย จึงย้ายไปอยู่ที่ตำหนักอวี้หลาน

นางวางยาฆ่าคนสกุลฟางที่ตำหนักอี๋อวิ๋น และฆ่าจ้าวอี้ที่ตำหนักเล่ออี๋ซึ่งตั้งอยู่หลังตำหนักเล่อโซ่ว

หลังจากนั้นเจ็ดปีก็ไม่ย่างเท้าเข้าภูเขาวั่นโซ่วอีก

นางไม่ชอบที่นี่เลย

เรือถึงท่าเรือ ‘วารีเคียงพฤกษา’ แล้ว จ้าวอี้ถูกห้อมล้อมไปด้วยขุนนาง ขันที และองครักษ์และขึ้นเกี้ยวไปตำหนักเหรินโซ่วแล้ว ทว่ากลับให้เสี่ยวโต้วจึมาบอกเจียงเซี่ยนว่าให้นางหยุดพักที่ตำหนักอี๋อวิ๋นก่อน อีกสักครู่รับประทานอาหารกลางวันกับเขาที่ตำหนักอวี้หลาน

เจียงเซี่ยนไม่อยากไปไหนทั้งนั้น

นางถามหลิวเสี่ยวหม่าน “ใครเป็นคนดูแลงานที่ภูเขาวั่นโซ่วหรือ?”

หลิวเสี่ยวหม่านยิ้มและตอบว่า “หมิ่นโจวพี่น้องร่วมสาบานของเฉิงเต๋อไห่ขอรับ”

เจียงเซี่ยนเอ่ยว่า “เจ้าเรียกหมิ่นโจวมาพบข้าหน่อย!”

หลิวเสี่ยวหม่านยิ้มพลางเอ่ยว่า “ท่านหญิงมีธุระอะไรสั่งให้ข้าไปทำก็ได้ขอรับ ทำไมจะต้องติดต่อกับพวกเขาด้วย?”

เจียงเซี่ยนเอ่ยว่า “เจ้าแค่ฟังคำสั่งข้าและเรียกคนมาก็พอแล้ว”

หลิวเสี่ยวหม่านเห็นนางท่าทางเด็ดขาดก็ไม่อาจพูดอะไรได้อีก เขาไปประมาณสองก้านธูป[1] ถึงเดินเข้ามากับชายที่อายุสามสิบปีและสวมเครื่องแบบขันที

“ท่านหญิง!” ชายผู้นั้นค้อมตัวคารวะเจียงเซี่ยน ทว่ากลับแสดงสีหน้าไม่ใส่ใจออกมา และเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าคือหมิ่นสี่อาลักษณ์แห่งภูเขาวั่นโซ่ว ผู้ช่วยขันทีหมิ่นของเราไปตำหนักเหรินโซ่วเป็นเพื่อนฝ่าบาทแล้ว…”

คนที่รับใช้ในวังก็แบ่งหลายระดับเช่นกัน

คนที่ทำงานมากมายเป็นขุนนางที่ไม่มีระดับ ไม่ว่าเจ้าอายุเท่าไรก็เรียกได้ว่าขันทีเท่านั้น

แล้วตั้งแต่ระดับสี่ถึงระดับแปดก็แตกต่างกัน แบ่งเป็นหัวหน้าขันที รองหัวหน้าขันที ผู้ช่วยขันที หัวหน้าฝ่าย คนที่ติดตามรับใช้ขุนนาง และอาลักษณ์

หมิ่นโจวเป็นผู้ช่วยขันทีระดับห้า เจียงเซี่ยนเรียกเขา แต่เขากลับให้อาลักษณ์ระดับแปดคนหนึ่งมาตอบนาง…เดิมทีก็เป็นการเมินเฉยและเหยียดหยามนางอยู่แล้ว

ไม่ใช่ว่าเจียงเซี่ยนไม่เคยถูกรังแก

ทว่าเมื่อก่อนนางก็อดทนแค่กับจ้าวอี้เท่านั้น และตอนหลังก็อดทนกับหลี่เชียนเพียงคนเดียว

คนแรกเป็นสามีของนาง ส่วนคนหลังนั้นนางไม่รู้จะทำอย่างไรดี

เจ้าคนสกุลหมิ่นนี่คิดว่าตนเองเป็นใครกัน เขายังไม่มีวาสนาที่จะทำให้นางกล้ำกลืนความเจ็บช้ำน้ำใจ!

นางเอ่ยแทรกหมิ่นสี่โดยไม่รอให้เขาพูดจบ และเอ่ยกับหลิวเสี่ยวหม่านว่า “ข้าเรียกคนที่ดูแลงานที่นี่มาตอบ แต่เจ้ากลับพาคนใช้ที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยมาหาข้า เจ้าพาเขามาจากไหนก็รีบส่งเขากลับไปที่นั่น อย่าให้ข้าเห็นเขาอีก แล้วเจ้าก็ไปที่ตำหนักของฝ่าบาทเดี๋ยวนี้ บอกว่าเจ้าคนที่ชื่อหมิ่นโจวนั่นไม่ฟังคำสั่ง ข้าจะจัดการเขา ฝ่าบาทไม่ต้องออกหน้าช่วยพูดให้เขา ไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่ไว้หน้าฝ่าบาท”

หมิ่นสี่ตกตะลึงจนตาค้าง คำพูดที่ยังพูดไม่จบติดอยู่ในลำคอ

สีหน้าของหลิวเสี่ยวหม่านก็ไม่ได้ดีไปกว่าหมิ่นสี่เท่าไรนัก

ปกติเจียงเซี่ยนอ่อนโยนกับคนอื่นมาก ต่อให้นางในที่อยู่ข้างกายทำแกงหกใส่นาง หากไม่ได้ตั้งใจ นางก็จะไม่ถือสา การคุยกันไม่ถูกคอเลยแบบนี้ ไม่สิ กระทั่งยังพูดไม่จบก็โกรธแล้ว เขาเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก

ทว่าถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนเก่าแก่ในวังแล้ว ยิ่งเจอเรื่องที่ผิดปกติแบบนี้ก็ยิ่งรู้จักปรับตัวไปตามสถานการณ์

เขาดึงหมิ่นสี่ไว้จะเดินออกไปข้างนอกทันที และยังคงเอ่ยอย่างหวาดหวั่นว่า “ท่านหญิง ข้าจะพาคนไปเดี๋ยวนี้…”

หมิ่นสี่ยังไม่ทันตั้งตัวได้ก็ถูกลากออกมาจากห้องโดยสารบนเรือแล้ว

เขาอดที่จะชี้แจงไม่ได้ว่า “ขันทีหลิว ผู้ช่วยขันทีของเราไม่ว่างจริงๆ และเดี๋ยวขันทีเฝิงก็จะมาแล้ว…”

ขันทีเฝิงชื่อเฝิงเต๋ออวี้ เป็นรองหัวหน้าขันทีของวังคุนหนิง เข้าวังมาพร้อมกับเฉิงเต๋อไห่ ภายนอกทั้งสองคนดูสนิทสนมกันเหมือนพี่น้อง

หลิวเสี่ยวหม่านเอ่ยว่า “หมิ่นสี่ เจ้าคงเป็นคนใช้อยู่ที่ภูเขาวั่นโซ่วตลอดกระมัง? สิ่งที่ท่านหญิงของพวกเราพูดออกมานั้น อย่าว่าแต่ฝ่าบาทเลย ต่อให้เป็นไทเฮา ขอเพียงไม่เกี่ยวพันถึงแคว้น แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยปฏิเสธ หากเจ้าไม่เชื่อ ไว้ขันทีเฝิงมาแล้วลองถามขันทีเฝิงดูก็ได้ว่าจะจัดการอย่างไร หรือไม่เจ้าก็รีบให้คนไปส่งข่าวแก่ขันทีเฉิง ดูว่าขันทีเฉิงจะว่าอย่างไร” พอเอ่ยจบ เขาก็เรียกหลิวตงเยว่ลูกบุญธรรมของตนเองมาเสียงดัง “ข้าต้องไปที่ตำหนักของฝ่าบาท เจ้าคอยอยู่ที่นี่ ต้องรับใช้ท่านหญิงให้ดี ไม่อย่างนั้นเจ้ากับข้ากลับไปก็ต้องไปดื่มชาที่กองพิจารณาคดี”

หากหลิวตงเยว่ไม่เฉลียวฉลาด หลิวเสี่ยวหม่านก็คงจะไม่รับเป็นลูกบุญธรรมแล้วเช่นกัน

เขาขานรับอย่างขลาดกลัว และคอยอยู่ในห้องโดยสารบนเรืออย่างระมัดระวัง

หมิ่นสี่ไม่เคยเป็นคนรับใช้ในวังทั้งหกจริงๆ ชื่อของท่านหญิงเจียหนาน เขาก็ได้ยินมานานแล้ว ทว่าเจียงเซี่ยนในความทรงจำของเขาเป็นเงาที่หลบอยู่หลังไทฮองไทเฮาตลอดเท่านั้น

ยิ่งกว่านั้นตามกฎและตามหลักแล้วหมิ่นโจวก็ควรจะรับใช้จ้าวอี้ก่อนถึงจะถูก ก็ไม่แปลกที่พวกเขาจะไม่เห็นเจียงเซี่ยนอยู่ในสายตา

หมิ่นสี่เห็นว่าเรื่องนี้ไม่ค่อยดีนัก จึงวิ่งเหยาะๆ ตามหาหมิ่นโจวไปตลอดทาง

หมิ่นโจวกำลังสั่งเหล่าขันทีให้เตรียมอาหารกลางวันของจ้าวอี้

เมื่อก่อนเขาเคยรับใช้จ้าวอี้ จ้าวอี้ยังประทับใจในตัวเขามาตลอด

และเมื่อครู่ก็ยังทักทายเขาด้วย

พอหมิ่นโจวได้ยินก็ไปตำหนักเหรินโซ่วด้วยทางลัดทันที

จ้าวอี้กำลังฟังจิ้นอันโหวพูดเรื่องงานเลี้ยงวันเกิด “…ถึงเวลานั้นซื่อจื่อจิ้งไห่โหวจะเป็นตัวแทนพระญาติถวายของขวัญวันเฉลิมพระชนมพรรษาแก่ไทเฮา ราชเลขาธิการเหยียนอ่านคำอวยพร…”

หมิ่นโจวไม่มีเวลาสนใจเรื่องนี้มากนัก จึงบุกเข้าไป

จ้าวอี้ขมวดคิ้ว

จิ้นอันโหวหยุดพูด เขากับซูเพ่ยเหวินที่ยืนอยู่ข้างๆ มองหมิ่นโจวอย่างสนใจ

หมิ่นโจวคุกเข่าลงตรงหน้าจ้าวอี้แล้วเรียก “ฝ่าบาท” ครั้งหนึ่งด้วยเสียงเศร้าสร้อย พลางเอ่ยว่า “ขอฝ่าบาทโปรดไว้ชีวิตกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”

จ้าวอี้ไม่ชอบพวกขันทีที่พึ่งพาอาศัยเฉิงเต๋อไห่นี้มาโดยตลอด แต่ก็ไม่กล้าแตกคอกับพวกเขาเพราะเฉาไทเฮา

เวลานี้เห็นเขาบุ่มบ่ามบุกเข้ามาแบบนี้ ในใจก็ยิ่งไม่สบอารมณ์ ทว่านึกถึงเฉาไทเฮา จึงยังเอ่ยว่า “เจ้าเป็นอะไรไป? มีอะไรก็พูดจากันดีๆ ส่งเสียงเอะอะโวยวาย เกิดอะไรขึ้นกันแน่”

หมิ่นโจวได้ยินก็คลานมาข้างหน้าอีกเล็กน้อย และมองจ้าวอี้ด้วยสายตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว พลางเอ่ยว่า “เมื่อครู่ท่านหญิงเจียหนานเรียกกระหม่อมไปสอบถาม แต่กระหม่อมกำลังเตรียมพระกระยาหารเที่ยงให้ฝ่าบาทกับท่านหญิงอยู่พอดี ไปไหนไม่ได้ชั่วขณะ จึงส่งหมิ่นสี่อาลักษณ์ที่เป็นขุนนางที่มีระดับเพียงคนเดียวของภูเขาวั่นโซ่วนอกจากกระหม่อมไป ปรากฏว่าล่วงเกินท่านหญิงเข้า ท่านหญิงจึงจะลงโทษกระหม่อมเพื่อเป็นการตักเตือน”

“กระหม่อมทราบดีว่าไม่อาจยกโทษให้ได้”

“แต่พรุ่งนี้ก็เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของไทเฮาแล้ว ให้ท่านหญิงค่อยลงโทษกระหม่อมเพื่อเป็นการตักเตือนหลังวันเฉลิมพระชนมพรรษาของไทเฮาได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ให้กระหม่อมสัมผัสบารมีของไทเฮาก่อนสักหน่อย…”

————————————-

[1] เวลาหนึ่งก้านธูป = 30 นาที ดังนั้นเวลาสองก้านธูป = 1 ชั่วโมง