ภาคที่ 2 บทที่ 58 ลงโทษ

มู่หนานจือ

จ้าวอี้ได้ยินแล้วโกรธสุดขีด

เจียงเซี่ยนเป็นใคร?

เป็นญาติที่เป็นลูกพี่ลูกน้องทางฝั่งมารดาที่มีสายเลือดเดียวกันกับเขา ซึ่งต่อให้เกิดความขัดแย้งก็ยากที่จะตัดขาดความผูกพันทางสายเลือดได้

ผู้ช่วยขันทีเล็กๆ ที่รับใช้อยู่ที่ภูเขาวั่นโซ่วคิดว่าตนเองเป็นใครกัน?

สิ่งไร้ค่าที่ถูกตอน

ของเล่นที่เหมือนสัตว์เดรัจฉานตัวเล็กๆ

เหยียบเขาก็จะทำให้เท้าสกปรก

กล้ามาฟ้องเรื่องเจียงเซี่ยนด้วยหรือ?

อาศัยเพียงแค่ว่าตนเองเป็นคนของเฉาไทเฮาเท่านั้น

เขาไม่กล้าล่วงเกินเฉิงเต๋อไห่ แล้วเขาก็ไม่กล้าล่วงเกินแม้กระทั่งผู้ช่วยขันทีระดับเจ็ดด้วยอย่างนั้นหรือ?

หน้าของจ้าวอี้เปลี่ยนเป็นหม่นหมองเหมือนอากาศในเดือนหกทันที เดี๋ยวอ้าปากเดี๋ยวหุบปากจะตะโกนเรียกคน

ทว่าไช่ติ้งจงจิ้นอันโหวกลับก้าวเข้ามาขวางตรงหน้าหมิ่นโจว และยิ้มพลางโน้มน้าวจ้าวอี้ทางอ้อม “ฝ่าบาท ผู้ช่วยขันทีหมิ่นล่วงเกินท่านหญิง ไม่อาจยกโทษให้ได้จริงๆ แต่ผู้ช่วยหมิ่นก็พูดจามีเหตุผลเช่นกัน พรุ่งนี้ก็เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของไทเฮาแล้ว ไม่เหมาะที่จะมีเหตุการณ์นองเลือด ไว้ผ่านวันเฉลิมพระชนมพรรษาของไทเฮาไปแล้วค่อยชำระความก็ไม่สายเช่นกัน!” เขาพูดไปก็ยังส่งสายตาให้จ้าวอี้ด้วย ส่งสัญญาณบอกว่าหากเขาอดทนกับเรื่องเล็กน้อยไม่ได้จะทำให้เสียการใหญ่

ซูเพ่ยเหวินก็ส่งสายตาให้จ้าวอี้เช่นกัน

จ้าวอี้รู้ว่าพวกเขาต่างพูดถูก ทว่าพอคิดถึงความไม่เป็นธรรมที่ได้รับมาตลอดหลายปีนี้ที่อยู่ข้างกายเฉาไทเฮา มือก็กำแน่นจนกลายเป็นหมัด เขาสูดหายใจลึกครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วถึงเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “เว้นโทษตายได้ แต่ยังต้องถูกลงโทษอย่างหนัก เจ้าไปขอโทษท่านหญิงเจียหนานด้วยตนเองเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นถึงพรุ่งนี้จะเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของเฉาไทเฮา ข้าก็จะไม่ปล่อยเจ้าไปเช่นกัน”

อย่างไรหลังจากทำงานสำเร็จแล้ว เขาก็ไม่คิดที่จะเก็บหมิ่นโจวไว้อยู่แล้ว

หากล้มเหลว เขาอยากจัดการหมิ่นโจวก็เกรงว่าคงจะไม่สามารถทำสิ่งที่คิดให้เป็นจริงได้แล้ว

หมิ่นโจวอดที่จะแอบดูถูกในใจไม่ได้

คนที่เป็นฮ่องเต้กลับบอกให้เขายอมถอยให้เช่นนี้ จะเห็นได้ว่าฮ่องเต้คนนี้ไร้ความสามารถแค่ไหน

มิน่าเล่าขันทีเฉิงถึงไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา และคิดแต่จะประจบเฉาไทเฮา

ดูท่าทางต่อไปต้องสนิทกับขันทีเฉิงให้มากขึ้นหน่อยถึงจะดี

ทว่าท่านหญิงเจียหนานนั่นก็เจ้าอารมณ์เกินไปหน่อยแล้วเช่นกัน คุยกันไม่ถูกคอก็จะฆ่าจะแกงกัน ทำให้เขาคาดไม่ถึงจริงๆ

ปกติเขากตัญญูและเคารพขันทีเฉิงไม่น้อย ส่วนฮ่องเต้ก็ไม่ซักไซ้เรื่องนี้แล้ว การขอให้ขันทีเฉิงออกหน้าไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้อีกนั้นไม่ยาก ที่ยากคือด้วยนิสัยของขันทีเฉิง ไม่มีทางที่จะปล่อยโอกาสรีดเงินในครั้งนี้ไปอย่างแน่นอน เป็นไปได้มากกว่าเขาจะเสียเงินแล้ว

หมิ่นโจวคุกเข่าอยู่บนพื้น เขาเอ่ยคำขอบคุณ เอาใจ และประจบประแจงไปเป็นกระบุง จนจ้าวอี้ทำหน้ารำคาญ เขาถึงออกมาจากตำหนักเหรินโซ่ว

คิดไม่ถึงว่าจะเจอหลิวเสี่ยวหม่านที่รอเข้าเฝ้าจ้าวอี้อยู่ข้างนอก

เขารีบรั้งหลิวเสี่ยวหม่านไว้ และเอ่ยว่า “ขันทีหลิว เรื่องนี้ทั้งหมดเป็นความผิดของข้า ข้าก็ไม่ได้รับใช้วังทั้งหกนานแล้วจึงไม่รู้ธรรมเนียม และถึงได้ล่วงเกินท่านหญิงเข้า ฝ่าบาทต่อว่าข้าแล้ว ท่านก็เหลือทางรอดไว้ให้ข้าสักทาง ไปขอโทษท่านหญิงเป็นเพื่อนข้าหน่อยแล้วกัน คืนนี้ข้าเลี้ยง ตอบแทนบุญคุณที่พี่ชายช่วยชีวิต”

นี่เป็นการชิงฟ้องก่อนตามแบบฉบับคนเลว

หลิวเสี่ยวหม่านโกรธมากทีเดียว แต่ก็คิดว่าถึงเขาจะเป็นผู้แข็งแกร่ง ทว่าก็ไม่สามารถปราบปรามผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ได้ ดังนั้นจะไม่ไว้หน้าหมิ่นโจวก็ไม่ได้ จึงเอ่ยเพียงว่า “เจ้าก็เห็นแล้วว่าท่านหญิงของพวกเราเป็นคนอย่างไร หากเดี๋ยวนางเจอฝ่าบาทแล้วถามถึงข้าขึ้นมา ข้าก็เกรงว่าคงจะไม่มีชีวิตตามท่านหญิงกลับวังฉือหนิงแล้ว เจ้ากับข้าต่างก็เป็นคนรับใช้ น้องชายก็เห็นใจข้าหน่อยเถอะ!”

หมิ่นโจวไม่มีทางเลือก จึงจำเป็นต้องปล่อยให้หลิวเสี่ยวหม่านไปพบจ้าวอี้

เดิมทีจ้าวอี้ก็รู้สึกไม่สบอารมณ์อยู่แล้วที่ตนเองจัดการแม้กระทั่งบ่าวเลวคนหนึ่งไม่ได้ พอเจอหลิวเสี่ยวหม่านก็ทั้งอายและโกรธ จึงตะโกนใส่หลิวเสี่ยวหม่าน “สุนัขรับใช้อย่างพวกเจ้าดูแลเจ้านายกันอย่างไร? มีคนรังแกท่านหญิงของพวกเจ้า พวกเจ้าก็ขวางไว้ไม่ได้ เช่นนั้นจะให้พวกเจ้าตามมาทำไม?” เขาพูดไปก็หยิบกาน้ำชาบนโต๊ะชาติดมือขึ้นมาด้วยและขว้างใส่หลิวเสี่ยวหม่าน

ใบชาเปียกเต็มตัวหลิวเสี่ยวหม่าน

ยังดีที่อากาศค่อนข้างเย็น น้ำชานั้นจึงเย็นแล้ว ไม่อย่างนั้นก็อาจจะลวกหน้าได้

หลิวเสี่ยวหม่านเข้าวังก็รับใช้อยู่ข้างกายไทฮองไทเฮา ไทฮองไทเฮากับเจียงเซี่ยนเหมือนกัน ต่างใจดีกับคนข้างกายมาก

นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขารู้สึกอับอายแบบนี้ แต่ยังคงฝืนอดทนกับความอับอายและความโกรธแค้นในใจ คารวะจ้าวอี้อย่างนอบน้อม และถอยออกไป

หมิ่นโจวเห็นหลิวเสี่ยวหม่านเป็นแบบนี้ก็รู้สึกดีใจที่คนอื่นโชคร้ายอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทว่าสีหน้ากลับเต็มไปด้วยความเห็นใจ และเรียกขันทีให้ไปเอาผ้าเช็ดหน้ามาให้หลิวเสี่ยวหม่านเช็ดหน้า

หลิวเสี่ยวหม่านไม่มีอารมณ์สนใจหมิ่นโจว เขารับผ้าเช็ดหน้าที่ขันทียื่นให้มาเช็ดหน้าอย่างลวกๆ และไปที่ ‘วารีเคียงพฤกษา’

หมิ่นโจวอยากไล่เจียงเซี่ยนไปเร็วๆ ตอนบ่ายจะได้หาเวลาว่างไปต้อนรับเฝิงเต๋ออวี้จากวังคุนหนิงที่มาถึงก่อน จึงจะไปกับหลิวเสี่ยวหม่านให้ได้

หลิวเสี่ยวหม่านสลัดเขาไม่หลุด จึงจำเป็นต้องตกลง

เจียงเซี่ยนรู้นิสัยของจ้าวอี้ดีเกินไปแล้ว

เขาถูกเฉาไทเฮาบงการอย่างแน่นหนาตั้งแต่เด็ก

ทว่าเฉาไทเฮาก็ไม่มีเวลามาควบคุมและกระตุ้นจ้าวอี้มากขนาดนั้น และยังให้จ้าวอี้อยู่ใกล้ชิดกับไทฮองไทเฮา ดังนั้นจึงมักจะมอบหน้าที่ดูแลจ้าวอี้ให้กับพวกขันทีและนางในข้างกายที่ไว้วางใจ

เฉิงเต๋อไห่รับคำสั่งจากเฉาไทเฮามาไม่น้อย เขาคอยถือไม้บรรทัดควบคุมและกระตุ้นให้จ้าวอี้ท่องหนังสือ

ตอนที่เฉาไทเฮายังมีชีวิตอยู่ จ้าวอี้หวาดกลัวพวกเฉิงเต๋อไห่มากจากก้นบึ้งของหัวใจ

คนที่คบหากับเฉิงเต๋อไห่ก็ไม่กล้าล่วงเกินเช่นกัน

ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาเจียงเซี่ยนก็ไม่เคยคิดว่าจ้าวอี้จะออกหน้าให้นางอยู่แล้ว

ยิ่งกว่านั้นชาติก่อนพวกเขาต่างก็เกลียดกันและกัน

ดังนั้นฟังคำขอโทษของหมิ่นโจวแล้ว สีหน้าของนางจึงไม่ขยับแม้แต่นิดเดียว หลังจากหมิ่นโจวพูดสิ่งที่ควรพูดจบ นางก็เอ่ยกับขันทีสองคนที่รูปร่างสูงใหญ่กำยำที่ยืนอยู่ในห้องโดยสารบนเรืออย่างเย็นชาว่า “โยนเขาลงไปในทะเลสาบ จะเป็นหรือตายก็แล้วแต่โชคของเขา”

ขันทีสองคนได้รับการมอบหมายงานจากฉิงเค่อมาก่อนแล้ว พอได้ยินจึงไม่ลังเลแม้แต่นิดเดียว พวกเขาเดินเข้าไปหามหมิ่นโจวอย่างรวดเร็วและเดินออกไปนอกห้องโดยสารบนเรือ

ในภาพจำของหมิ่นโจว ชนชั้นสูงในวังต่างรักเกียรติกันทั้งนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาสมาชิกในครอบครัวที่เป็นผู้หญิง ก็เพียงแค่เล่าทั้งน้ำตาและสาบานต่อฟ้า ถึงจะรู้สึกไม่พอใจ ก็จะถอยก้าวหนึ่ง

ต่อให้เขาฝันก็คิดไม่ถึงว่าเจียงเซี่ยนจะฆ่าคนได้อย่างเยือกเย็น

ตอนที่ได้ยินเจียงเซี่ยนสั่งขันทีสองคนนั้น เขาคิดว่าตนเองฟังผิดไป จึงยังคงงุนงงเล็กน้อย จนกระทั่งออกมาจากห้องโดยสารบนเรือ นิ้วเท้าเตะโดนธรณีประตูที่สูงมาก และรู้สึกเจ็บนิ้วเท้า เขาถึงได้สติกลับมา และร้องเสียงดังว่า “ช่วยด้วย”

น่าเสียดายที่เหมือนจะสายไปเสียแล้ว

บนเรือเป็นคนของจ้าวอี้และเจียงเซี่ยนทั้งหมด คนของเจียงเซี่ยนนั้นไม่จำเป็นต้องพูดถึงเพราะต้องเชื่อฟังนางอย่างแน่นอน ถึงแม้คนของจ้าวอี้ไม่เข้ามาช่วย แต่ก็ไม่กล้าขวางเจียงเซี่ยนเช่นกัน ทว่าอย่างแรกหมิ่นโจวก็คิดไม่ถึงว่าเจียงเซี่ยนจะไม่ไว้หน้าแม้กระทั่งจ้าวอี้ บอกว่าลงมือก็ลงมือ อย่างที่สองเขาคิดว่าที่นี่เป็นที่ของตนเอง จึงประมาทไป พาขันทีมาด้วยแค่สองคน แถมยังให้พวกเขาเฝ้าอยู่ริมฝั่งตามมารยาท

เขาถูกโยนลงไปในทะเลสาบ

หมิ่นโจวว่ายน้ำเป็น

ทว่าวันนี้อากาศหนาวมาก และต้องต้อนรับขุนนางระดับสูงและผู้มีอำนาจที่มาตลอดเวลา เขาจึงสวมเครื่องแบบขุนนางหลายชั้นตามกฎ น้ำในทะเลสาบก็เย็นยะเยือกไปถึงกระดูก เขาตกลงไปในน้ำ มือเท้าก็เย็นจนแข็ง เสื้อผ้าทั้งหนาหนักที่แช่อยู่ในน้ำก็ยิ่งหนักขึ้นเรื่อยๆ จนฉุดเขาลงไปในน้ำ เขาตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ พยายามดิ้นรนและตะโกนว่า “ช่วยด้วย” อย่างสุดชีวิต

ขันทีสองคนที่ติดตามเขาก็ตกใจแทบแย่แล้วเช่นกัน พวกเขาตะโกนเรียกคนเสียงดังอยู่ริมฝั่งอย่างลนลานจนทำอะไรไม่ถูก

หมิ่นสี่ที่รอข่าวอยู่ที่ริมฝั่งยิ่งตกใจจนนั่งลงตรงริมฝั่งอย่างอ่อนแอไร้เรี่ยวแรง

เพราะงานวันเกิดของเฉาไทเฮาอยู่ทางด้านนี้ คนของกรมพิธีการจึงต่างเตรียมการสำหรับสถานการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น

แต่ไม่นานก็มีคนมาช่วย

วารีเคียงพฤกษากลายเป็นเหมือนตลาดผักที่เสียงคนอึกทึกครึกโครมและเอะอะโวยวาย

องครักษ์กลุ่มหนึ่งมาถึงแล้ว คนที่นำมานั้นรูปร่างผอมบางและสูงเพรียว ท่าทางสง่างามและเอาแต่ใจตนเอง เขาแหวกฝูงชนบุกเข้าไปข้างใน “เกิดอะไรขึ้น? ขบวนเสด็จอยู่ตรงนี้ พวกเจ้ากล้าส่งเสียงเอะอะเช่นนี้ได้อย่างไร?”

เสียงของเขาดังและชัดเจน เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา ทำให้คนฟังแล้วรู้สึกมีพลังขึ้นมา

เจียงเซี่ยนตกใจ

นางเปิดหน้าต่างที่ฉลุลายแล้วก็เห็นหลี่เชียนยืนอยู่ข้างเสาหินอ่อนสีขาวสลักรูปมังกรและหงส์พันรอบเสาตรงท่าเรือ

————————–