ภาคที่ 2 บทที่ 59 ขออภัยโทษ

มู่หนานจือ

เจียงเซี่ยนยืนมองท่าเรือวารีเคียงพฤกษาที่อยู่ห่างออกไป จากห้องโดยสารบนเรือด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ และนิ่งไปนานมาก

แต่หลี่เชียนไม่รู้ว่าเจียงเซี่ยนกำลังมองเขาอยู่บนเรือ จึงยังคงเอ่ยเสียงดังอยู่ตรงนั้นว่า “เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ใครเป็นคนดูแลงานทางด้านนี้ ใครก็ได้ตอบข้ามา!”

กรมพิธีการมองเจ้ากรมพิธีการ กรมวังมองเจ้ากรมวัง สายตาของเหล่าขันทีบ้างก็จับจ้องอยู่ที่คนสองคนที่อยู่ข้างกายหมิ่นโจวที่กำลังตะโกนให้คนช่วย บ้างก็จับจ้องอยู่ที่หมิ่นสี่ที่นั่งอยู่บนพื้นอย่างอ่อนแอไร้เรี่ยวแรง ใครก็ไม่กล้าออกหน้าทั้งนั้น

หลี่เชียนเห็นว่ากรมพิธีการนั้นเป็นขุนนางระดับเก้า และถึงอย่างไรหมิ่นสี่ก็เป็นขุนนางระดับแปด เขาจึงเลือกถามหมิ่นสี่ “เกิดอะไรขึ้น?”

หมิ่นสี่ตัวสั่นเทา เวลานี้เพิ่งจะตั้งสติได้ จึงตะโกนอย่างหวาดกลัวจนตัวสั่นงันงก “เร็วเข้า รีบช่วยคน! ผู้ช่วยขันทีของพวกเรา…” คำพูดที่ว่าคนของท่านหญิงโยนลงไปในทะเลสาบวนเวียนอยู่ตรงปากเขา แล้วก็ถูกเขากลืนลงไป

ท่านหญิงเจียหนานกล้าขัดขืนแม้กระทั่งคำพูดของฮ่องเต้อย่างเปิดเผย ตอนนี้เขายึดติดกับความผิดของท่านหญิงเจียหนาน หากหมิ่นโจวรอดกลับมาก็ยังสามารถโต้เถียงกับท่านหญิงเจียหนานได้บ้าง ทว่าหากหมิ่นโจวตาย ไม่มีชื่อเสียง ผลประโยชน์ และทรัพย์สินเงินทอง ใครจะอยากไปหาเรื่องออกหน้าแทนหมิ่นโจวกัน!

เวลานี้ช่วยหมิ่นโจวให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน

“ผู้ช่วยขันทีของพวกเราตกลงไปในน้ำแล้วขอรับ!” หมิ่นสี่เอ่ย พลางคิดว่าหากช่วยหมิ่นโจวกลับมาไม่ได้แล้ว ถ้าท่านหญิงเจียหนานหาเรื่องเขา เขากลัวว่าจะไม่มีใครช่วยพูดแม้แต่คนเดียว จึงรู้สึกกลัวไปพักหนึ่ง จนเสียงกลายเป็นสูงและแหลมขึ้น “ใต้เท้าท่านนี้ โปรดช่วยชีวิตคนด้วย ผู้ช่วยขันทีเป็นผู้ดูแลงานที่ภูเขาวั่นโซ่วของเรา อีกไม่นานคนในวังก็จะทยอยมาถึงกันแล้ว ไม่มีคนคุมงานจะทำอย่างไรขอรับ?”

หลี่เชียนแปลกใจเล็กน้อย แล้วมองผิวน้ำครั้งหนึ่ง หลายคนที่กระโดดลงไปต่างก็หายไปแล้ว

เขารู้สึกกระวนกระวาย กำลังอยากถามพอดีว่าใครว่ายน้ำเก่ง ก็มีศีรษะของคนสองคนโผล่ขึ้นมาเหนือผิวน้ำ

หนึ่งในนั้นตะโกนว่า “มองไม่เห็น ไม่รู้ว่าจมไปถึงไหนแล้ว”

หมิ่นสี่ตกใจจนตัวสั่น

ใครบางคนตะโกนจากริมฝั่ง “พวกเจ้ารีบขึ้นมา น้ำนี้เย็นเกินไปแล้ว ระวังมือเท้าเป็นตะคริว ช่วยคนกลับมาไม่ได้ จะพาตนเองไปเดือดร้อนแทน”

แล้วใครบางคนก็เอ่ยด้วยเสียงร้อนใจว่า “เร็วเข้า รีบไปต้มน้ำขิง เอาพรมสักหลาดมา หาที่ก่อกองไฟให้พวกคนที่ลงไปในน้ำอบอุ่นร่างกาย…อย่าให้เป็นหวัด…หากเป็นหวัดหน้านี้ อาจจะตายได้”

ระหว่างที่เอ่ยนั้นก็มีคนโผล่ขึ้นมาเหนือผิวน้ำอีก แต่กลับเหมือนกระบวยตักน้ำ เดี๋ยวก็ลอยขึ้นมา เดี๋ยวก็จมลงไป ตอนที่ลอยขึ้นมาเหนือผิวน้ำได้ก็ตะโกนเสียงแหบไปด้วย “ใครก็ได้มาช่วยหน่อย…เจ้านี่กอดข้าไว้ไม่ปล่อย…ข้าจะจมลงไปด้วยแล้ว…”

หาตัวเจอแล้ว

มีคนสองสามคนกระโดดดลงไปในทะเลสาบทันที

หลี่เชียนโล่งอก

หากเกิดเหตุการณ์นองเลือดขึ้นเวลานี้คงเป็นเรื่องใหญ่

เขาเดินไปสังเกตที่ริมฝั่งอย่างรอบคอบ พร้อมลงมือช่วยคนตลอดเวลา

เจียงเซี่ยนปิดหน้าต่างที่ฉลุลายนั้น

ในห้องโดยสารบนเรือเงียบกริบ ใครก็ไม่กล้าส่งเสียงทั้งนั้น

หลิวเสี่ยวหม่านส่งสายตาให้ฉิงเค่อครั้งหนึ่ง แล้วเดินไปข้างหน้าอย่างแผ่วเบา พลางเอ่ยเสียงเบาเหมือนหยั่งเชิงว่า “ท่านหญิง หมิ่นโจวนั่น…”

เจียงเซี่ยนเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “ก็บอกแล้วไม่ใช่หรือ? จะเป็นหรือตายก็แล้วแต่โชคของเขา”

หลิวเสี่ยวหม่านจึงไม่กล้าถามอีก

ความเงียบสงัดในห้องโดยสารบนเรือยิ่งส่งให้เสียงโหวกเหวกบนท่าเรือเด่นขึ้น เสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็ดังเข้ามาอย่างต่อเนื่องเช่นกัน

“เร็วเข้า รีบดึงตัวขึ้นมา”

“ทำไมถึงตกลงไปในทะเลสาบได้? คนที่รับใช้อยู่ข้างกายผู้ช่วยขันทีหมิ่นมัวทำอะไรอยู่?”

“รีบคลุมพรมสักหลาดนี้ไว้ น้ำขิงล่ะ? คนที่ต้มน้ำขิงไปตายที่ไหนแล้ว? เวลาที่ต้องการพวกเขาก็ไม่อยู่กันสักคน เวลาที่ไม่ต้องการพวกเขาก็มากระจุกรวมกันอยู่ตรงหน้าหมด”

หลี่เชียนมองหมิ่นโจวที่เปียกโชกไปทั้งตัวและหมดสติไปแล้ว พลางครุ่นคิดและแอบขมวดคิ้ว

การตกน้ำนี้ช่างน่าสงสัย!

คนมากขนาดนี้ มีแต่ผู้ช่วยขันทีหมิ่นที่ตกลงไปในน้ำ แต่คนที่อยู่ข้างกายกลับมาเป็นอะไรเลย…

เขาเอ่ยอย่างเยือกเย็นว่า “เชิญหมอมาหรือยัง? ผู้ช่วยขันทีหมิ่นอาการหนักหรือไม่?” ทว่าสายตากลับมองไปยังเรือมังกรที่จอดอยู่ริมฝั่ง

หากไม่ใช่ว่าได้ข่าวที่เชื่อถือได้มาว่าฮ่องเต้พักที่ตำหนักเหรินโซ่วแล้ว เขายังคิดว่าขันทีหมิ่นล่วงเกินฮ่องเต้และถูกฮ่องเต้สั่งให้คนโยนลงน้ำ

“เชิญหมอมาหรือยัง?” หลี่เชียนเอ่ยอย่างจิตใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว “ผู้ช่วยขันทีหมิ่นเป็นอย่างไรบ้าง? เป็นอันตรายถึงชีวิตหรือไม่?”

ใครบางคนกำลังรีบรักษาหมิ่นโจวด้วยการกดร่องตรงกลางระหว่างริมฝีปากกับจมูกของเขาอยู่ และตอบว่า “ก็ขึ้นอยู่กับว่าจะกลับมาหายใจได้หรือไม่แล้ว”

ผู้คนที่มุงดูต่างแย่งกันพูดจนเริ่มเอะอะเสียงดัง

ใครบางคนเดินมาหยุดตรงหน้าหลี่เชียนอย่างรวดเร็ว และรายงานเสียงเบาว่า “องครักษ์หลี่ เป็นฝีมือของท่านหญิงเจียหนาน! ไม่รู้ว่าผู้ช่วยขันทีหมิ่นล่วงเกินท่านหญิงเจียหนานอย่างไร จึงถูกคนของท่านหญิงเจียหนานโยนลงไปในทะเลสาบจากบนเรือ…”

คนที่รายงานเสียงไม่ดังและไม่เบาไป คนที่อยู่ใกล้หลี่เชียนต่างก็ได้ยินกันหมดแล้ว

“เป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร?”

“ล่วงเกินท่านหญิงเจียหนานเรื่องอะไรกันแน่?”

บางคนไม่รู้จะทำอย่างไรดี บางคนสอบถามเสียงเบา

ริมฝั่งเงียบลงอย่างน่าประหลาด

บางคนมองเรือมังกรที่จอดเทียบริมฝั่งอย่างไม่สบายใจ

หลี่เชียนหน้าตาตกตะลึงจนแทบปิดไม่มิด

ท่านหญิงเจียหนานมาได้อย่างไร?

ไม่ใช่ว่านางไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นที่ภูเขาวั่นโซ่วเสียหน่อย?

ไทฮองไทเฮาและเจิ้นกั๋วกงปล่อยให้นางมาได้อย่างไร?

เขาทุ่มเทอย่างสุดกำลังแล้ว ส่วนจะสำเร็จหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตาแล้ว วางแผนรอบคอบแค่ไหนก็อาจจะเกิดความผิดพลาดได้ทั้งนั้น หากล้มเหลว นางจะทำอย่างไร?

หลี่เชียนว้าวุ่นใจขึ้นมาทันที

ในความทรงจำของเขา เจียงเซี่ยนไม่ใช่คนที่ใช้อำนาจบาตรใหญ่แบบนี้

ไม่เพียงเท่านี้ นางยังเงียบมากด้วย

กระทั่งเงียบจนเหมือนปลีกตัวอยู่เหนือเรื่องราวทั้งหมด

หากเรื่องไม่ไปถึงตัวนาง นางก็จะไม่ออกหน้าอย่างเด็ดขาด

เรื่องอะไรที่ทำให้นางโกรธจนกลายเป็นแบบนี้ได้?

พอคิดถึงตรงนี้ หลี่เชียนก็หน้านิ่งไปเล็กน้อย

เขาทำแบบนี้ ถือว่าช่วยชีวิตผู้ช่วยขันทีหมิ่นแล้วหรือไม่…

เฉาไทเฮามีอำนาจมาก ไทฮองไทเฮาก็หลบเลี่ยงอำนาจที่แข็งแกร่งของศัตรูตลอด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงท่านหญิงเจียหนานที่ได้รับการปกป้องจากไทฮองไทเฮา

หากไม่ใช่ว่าโกรธสุดขีดแล้ว นางจะทำแบบนี้ได้อย่างไร?

นางคงจะต้องโกรธมากแน่ๆ!

นัยน์ตากลมโตตอนที่เจียงเซี่ยนจ้องตนเองปรากฏขึ้นในความทรงจำของหลี่เชียน

เขารู้สึกกระวนกระวายเป็นอย่างมากในทันใด ไม่สบายใจเหมือนนั่งอยู่บนพรมเข็ม เขายิ้มให้อวิ๋นหลินที่มารายงานเขาอย่างเจ็บปวด และเดินไปข้างกาบเรืออย่างรวดเร็ว แล้วเอ่ยเสียงดังว่า “หลี่เชียนหลี่จงเฉวียนองครักษ์วังคุนหนิงขอพบท่านหญิงเจียหนาน ขอท่านหญิงเจียหนานโปรดเมตตาเจียดเวลาอันมีค่าให้ด้วยขอรับ”

จากคำพูดที่ใช้เขายอมรับว่าเขาล่วงเกินเจียงเซี่ยนแล้ว

เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นอื้ออึงที่ริมฝั่ง

หมิ่นสี่ยิ่งหน้าซีด ท่าทางเหมือนจะเป็นลม

บนเรือมังกรเงียบสนิท ราวกับไม่มีใครอยู่บนนั้น

ทีนี้แม้แต่ใจของหลี่เชียนก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวด

คนที่ไม่อยากก่อเรื่องขนาดนั้น ต้องตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแค่ไหน สะสมความกล้าไว้เท่าไรถึงจะสามารถโยนคนที่พึ่งพาอาศัยเฉาไทเฮาลงไปในทะเลสาบได้…ตัวเขาก็ดันยุ่งเรื่องคนอื่นจนทำลายงานของนางเสียได้

หากรู้ว่าเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรก เขาน่าจะส่งคนไป ‘ช่วย’ หมิ่นโจว…

ทว่าเวลานี้พูดอะไรก็สายไปแล้ว

หลี่เชียนครุ่นคิดเล็กน้อย และคุกเข่าข้างเดียวลงข้างกาบเรือเสียเลย แล้วเอ่ยเสียงดังอีกครั้งว่า “ข้าหลี่เชียนหลี่จงเฉวียนองครักษ์วังคุนหนิง ขอพบท่านหญิงเจียหนาน หวังว่าท่านหญิงเจียหนานจะเมตตาเจียดเวลาอันมีค่าให้ขอรับ”

บนเรือยังคงเงียบสนิทเช่นเดิม

หลี่เชียนทำได้เพียงคุกเข่าอยู่ตรงนั้นอย่างว่าง่าย

ใต้ต้นไม้สูงใหญ่ที่ห่างจากท่าเรือไปไม่ไกล อวิ๋นหลินที่ไม่รู้ว่าถอนตัวออกจากฝูงชนไปอย่างเงียบเชียบตั้งแต่เมื่อไรเห็นสถานการณ์ก็อดที่จะเอ่ยเสียงเบากับเซี่ยหยวนซีที่อยู่ข้างๆ ไม่ได้ “คุณชายทำแบบนี้ จะไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”

ตระกูลหลี่กับตระกูลเจียงมีสัญญาต่อกันแล้ว

หากถูกสงสัยเพราะหลี่เชียนสนิทกับเจียงเซี่ยนมากเกินไปก็ยุ่งยากแล้ว

“ไม่เป็นไรหรอก!” เซี่ยหยวนซีมองหลี่เชียนที่คุกเข่าตัวตรงและสูงเหมือนต้นสนเขียวขจี ความงุนงงฉายวาบผ่านไปในดวงตา และเอ่ยว่า “คุณชายมีค่ามากแค่ไหนในสายตาของเจ้ากับข้า ในสายตาของราชนิกุลในเมืองหลวงก็เป็นแค่ลูกชายของแม่ทัพคนหนึ่งเท่านั้น เวลานี้เขาล่วงเกินท่านหญิงเจียหนานแล้วไม่ไปขออภัยโทษต่างหากที่จะทำให้คนสงสัย ดังนั้นตอนนี้ทำแบบนี้ก็เหมาะสมแล้ว!”

————————–