เหวินซานถูกทิ้งให้อยู่บนเรือเพื่อช่วยเหลือแม่โจวดูแลงานบางส่วน จึงมีเพียงตงจึและหยินหลิ่วที่ติดสอยห้อยตามไปด้วยเท่านั้น ทั้งสี่คนขึ้นนั่งบนรถม้าและมุ่งหน้าไปยังวัดว่านซง
วัดว่านซงตั้งอยู่บนชายฝั่งผานซานอันแสนงดงามด้วยภูเขาลำธารสีเขียวชอุ่ม
หลี่หมิงอวินพาหลินหลันเข้าไปเยี่ยมชมและสักการะภายในตัวโบสถ์เป็นอันดับแรก
ทั้งสองคุกเข่าลงข้างกันเบื้องหน้าพระพุทธรูป โดยในมือกอบกุมธูปสำหรับสักการะ ราวกับว่าทั้งคู่กำลังเอ่ยคำสาบาน ให้ความรู้สึกที่แปลกประหลาดชอบกล
หลินหลันเหลือบสายตามองหลี่หมิงอวิน เห็นเพียงเขาฉายแววตาแห่งความสงบนิ่งภายใต้การแสดงออกอันเคร่งขรึมและเป็นท่าทีราวกับผู้เคร่งศาสนาเป็นอย่างมาก นางจึงอดไม่ได้ที่จะทำตัวเคร่งขรึมตามไปโดยปริยาย ความจริงแล้ว ควรเป็นนางที่จะต้องขอบคุณพระพุทธเจ้ามากที่สุด ที่ได้ให้โอกาสนางในการเกิดใหม่อีกครั้ง แม้ว่าประสบการณ์ในชีวิตนี้จะไม่สวยหรูดั่งชาติที่แล้ว แต่ก็ยังโชคดีที่พระพุทธเจ้าไม่ได้พรากความทรงจำในชาติก่อนๆ ของนางไป หลินหลันเชื่อว่าด้วยความพยายามของนางเอง นางจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุขเป็นแน่นอน
“พระพุทธเจ้า พระองค์ต้องปกปักษ์รักษาข้าให้ภารกิจในการเดินทางครั้งนี้สำเร็จราบรื่นไปได้ด้วยดี ให้ยายแม่มดร้ายโกรธจนอกแตกตาย ให้คนชั่วร้ายได้รับโทษทัณฑ์อย่างสาสม…” หลินหลันกล่าวออกมาทีละประโยค
หลี่หมิงอวินได้ยินสองประโยคหลังถึงกับอดขำไม่ได้ แต่ด้วยพระพุทธรูปที่ตั้งเด่นตระหง่านเบื้องหน้าซึ่งแน่นอนว่าเขาไม่ควรหลุดหัวเราะออกมาอย่างไร้ความเกรงใจ เขาจึงลุกขึ้นยืนแล้วนำธูปไปปักลง แล้วหย่อนเงินลงในกล่องทำบุญ
พระเณรน้อยซึ่งอยู่ด้านข้างเมื่อมองเห็น จึงยกมือขึ้นพนมให้การคารวะแด่หลี่หมิงอวิน “อามิตาพุทธ ผู้มีเมตตาจิตอันใหญ่หลวง…”
หลี่หมิงอวินให้การคาราวะกลับ ก่อนจะเอ่ยถาม “พระอาจารย์จือหยวนอยู่หรือไม่”
พระเณรน้อยเห็นรูปลักษณ์ที่หล่อเหลาและสง่างามของหลี่หมิงอวิน อีกทั้งยังมีลักษณะซึ่งดูเป็นเอกลักษณ์ตลอดจนการกระทำที่ดูเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เมื่อครู่นั่น จึงเป็นธรรมดาที่จะให้การนับถือเขาในฐานะแขกผู้มีเกียรติ แต่ทว่าท่านอาจารย์ไม่ได้พบผู้แสวงบุญอย่างง่ายดายเท่าไหร่นัก
เมื่อสังเกตเห็นว่าพระเณรน้อยดูมีท่าทีลังเลใจ หลี่หมิงอวินจึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “โปรดไปเรียนท่านแทนข้าทีว่า หลี่หมิงอวินจากเมืองหลวงขอเข้าพบ”
พระเณรน้อยแสดงความเคารพก่อนจะหันหลังกลับเข้าไปทางด้านหลังโบสถ์
หลินหลันหลังจากขอพรเสร็จสิ้นก็ก้มลงคำนับเป็นจำนวนสามครั้ง แล้วหยินหลิ่วจึงประคองนางลุกขึ้น
“ตงจึ เจ้าพาเส้าฟูเหรินขึ้นไปเดินชมหอพระพันองค์ที่ด้านบนที” หลี่หมิงอวินกล่าวสั่งการ
หลินหลันเอ่ยขึ้น “แล้วเจ้าล่ะ?”
หลี่หมิงอวินยิ้มเล็กน้อย “ระหว่างข้ากับท่านพระจารย์จือหยวนมีสัมพันธ์ไมตรีกันมายาวนาน ข้ามาที่นี่เพื่อขอคำชี้แนะเกี่ยวกับพุทธศาสนาจากท่าน เจ้าไปเที่ยวเล่นเองก่อนแล้วกัน! อีกประเดี๋ยวข้าจะไปหาเจ้า”
เป็นเช่นนั้นก็ดี ด้วยหลินหลันไม่ค่อยสนใจเรื่องพระพุทธศาสนาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ดังนั้นจึงพาหยินหลิ่วและตงจึไปยังหอพระพันองค์ในทันที
หอพระพันองค์ มีชื่อเสียงเรียงนามคู่บ้านคู่เมือง ภายในมีพระพุทธรูปจำนวนนับไม่ถ้วนประดิษฐานอยู่ และสิ่งแรกที่ดึงดูดสายตาก็คือรูปปั้นพระศากยมุนีสำริดที่ตั้งตระหง่านตา เมื่อเดินเข้าไปข้างใน มีเจ้าแม่กวนอิมประดิษฐานอยู่ ตลอดจนพระอรหันต์สิบแปดองค์และพระพุทธรูปขนาดน้อยใหญ่อีกนับไม่ถ้วน
เห็นได้ชัดว่าตงจึดูคุ้นเคยกับที่นี่เป็นอย่างดี โดยเขาค่อยๆ กล่าวอธิบายขึ้นมาทีละอย่าง
“เจ้ากับเส้าเหยียมาที่แห่งนี้เป็นประจำหรือ” หลินหลันเอ่ยถามขึ้นขณะเดินชม
“ก็ไม่ถือว่าบ่อยขอรับ นับรวมครั้งนี้ด้วย ก็รวมเป็นสามครั้งขอรับ” ตงจึเอ่ยตอบ ก่อยจะบอกเล่าต่อโดยไม่รีรอให้เอ่ยถาม “ครั้งแรกคือเส้าเหยียและเฉินกงจื่อพวกเขามาเที่ยวกัน ส่วนครั้งที่สองก็คือเมื่อสามปีก่อน ฮูหยินพาเส้าเหยียกลับมณฑลเฟิงอานและในระหว่างทางก็ได้แวะเข้ามาที่นี่ขอรับ เดิมทีเส้าเหยียต้องการเรียนเชิญให้พระอาจารย์จือหยวนช่วยให้คำชี้แนะเปิดทางสว่างให้แก่ฮูหยิน แต่น่าเสียดายที่ฮูหยินก็ยังคงมิอาจคิดได้ และยังไม่ทันถึงเฟิงอานก็เกิดป่วยหนักขึ้นมาเสียก่อน…”
เกี่ยวกับท่านแม่ของหลี่หมิงอวินซึ่งได้ผ่านเหตุการณ์แย่ๆ อะไรมาบ้างนั้น ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาหลี่หมิงอวินไม่เคยปริปากเล่าให้นางฟังมาก่อน ทั้งหมดล้วนเป็นการที่นางคาดเดาจากปฏิกิริยาตอบสนองของเหล่าฟูเหรินและลักษณะท่าทีของหลี่หมิงอวินทั้งนั้น
“เช่นนั้น…เหตุใดฮูหยินจึงถูกฝั่งไว้ที่หลังภูเขาในหมู่บ้านเจี้ยนซีล่ะ” ประเด็นนี้เป็นอะไรที่หลินหลันคิดไม่ตกจริงๆ
“เรื่องนี้…ข้าน้อยก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่นัก ล้วนเป็นคำสั่งเสียของฮูหยินน่ะขอรับ ทว่าเคยได้ยินเส้าเหยียพูดว่า เมื่อครั้งฮูหยินยังเยาว์วัยเคยตามเหล่าไทเหย่ไปยังหมู่บ้านเจี้ยนซีรับซื้อผ้าไหม ผลคือดันเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นมาเล็กน้อย จนเกือบจะ…” ตงจึเหลือบตาขึ้นและแลบลิ้นออกมา แสดงถึงความหมายที่ว่าเกือบเอาชีวิตไม่รอด
“หลังจากนั้นฮูหยินก็กล่าวว่าสถานที่เกิดใหม่ของนางคือหมู่บ้านเจี้ยนซี บางทีอาจจะเป็นด้วยเหตุผลนี้กระมัง! ดังนั้นฮูหยินจึงให้เส้าเหยียนำนางฝั่งไว้ที่หลังภูเขาในหมู่บ้านเจี้ยนซี” ตงจึกล่าว
หลินหลันรู้สึกตระหนกตกใจอยู่ลึกๆ ต่อคำพูดที่ได้ยิน สถานที่เกิดใหม่ การพูดด้วยคำนี้มันช่างฟังดูแปลกประหลาดยิ่งนัก หรือว่าท่านแม่ของหลี่หมิงอวินก็เป็น…
“ใช่ใช่ เรื่องนี้ข้าก็เคยได้ยินมาก่อนซึ่งเป็นคำพูดของผู้ชราในจวนซึ่งต่างพูดกันว่า เมื่อครั้งฮูหยินอายุเจ็ดขวบ ฮูหยินได้ติดตามเหล่าไทเหย่ไปยังหมู่บ้านเจี้ยนซี หลังจากนั้นก็เป็นลมสลบไปอย่างแปลกประหลาดที่หลังภูเขานั่น ต้องให้การรักษากันอยู่ตั้งหลายวันถึงจะได้สติฟื้นคืนมา” หยินหลิ่วกล่าวเสริม
ในใจของหลินหลันกลับยิ่งเกิดความสงสัยมากขึ้น
ตงจึถอนหายใจออกมาอย่างอ่อนแรง “ตอนแรกที่ฮูหยินแต่งกับเหล่าเหยีย [1] เหล่าฟูเหรินและเหล่าไทเหย่ต่างคัดค้านหัวชนฝา แต่เป็นฮูหยินที่ดื้อดึงจะแต่งให้ได้ เหล่าฟูเหรินไม่สามารถกีดกันนางได้สุดท้ายจึงปล่อยเลยตามเลย แต่จะว่าไปแล้ว ที่ฮูหยินปฏิบัติต่อเหล่าเหยียนั้นช่างดีมากจริงๆ ขอรับ คอยช่วยเหลือเหล่าเหยียอย่างทุ่มเทสุดใจ เหล่าเหยียจึงค่อยๆ ไต่เต้าจากนักปรัชญาผู้ยากจนไร้ซึ่งชื่อเสียงและกลายเป็นฮู่ปู้ซื่อหลาง [2] แต่คาดคิดไม่ถึงเลยว่ามีสิ่งหนึ่งที่เหล่าเหยียปิดบังฮูหยินมาโดยตลอด นั่นก็คือเมื่อสามปีก่อนนั้น นางสกุลฮานซึ่งเป็นอดีตภรรยาของเหล่าเหยียได้พาบุตรชายและบุตรสาวเข้ามาถึงที่ ฮูหยินถึงได้รับรู้ว่าเหล่าเหยียเคยมีครอบครัวมาแล้วก่อนหน้า โดยเหล่าเหยียให้คำอธิบายว่าในปีนั้นที่บ้านเกิดของเขามีภัยน้ำท่วมครั้งใหญ่และได้เห็นกับตาตนเองว่านางสกุลฮานถูกสายน้ำพัดพาหายจมลงไป จึงคิดว่านางสกุลฮานได้ตายจากไปแล้ว เช่นนี้จึงสู่ขอ…”
หลินหลันตกตะลึง คำบอกเล่านี้ฟังดูแล้วชักสมเหตุสมผล! นี่ท่านแม่ของหลี่หมิงอวินคงไม่ใช่ด้วยเหตุนี้จึงปล่อยวางไม่ได้หรอกนะ!
ตงจึยังคงกล่าวต่อไป “ฮูหยินแม้ว่าในใจจะไม่มีความสุข แต่เมื่อคิดว่าในเมื่อนางฮานก็เป็นภรรยาที่เคยเข้าพิธีแต่งงานอย่างถูกต้องตามประเพณีโบราณทุกประการของเหล่าเหยียและยังให้กำเนิดบุตรชายหนึ่งคน จึงจำใจยอมรับนางฮานให้อยู่ในสถานะที่เท่าเทียมกัน ทว่าในภายหลังฮูหยินกลับพบว่าเรื่องราวมันไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสียแล้ว ด้วยความจริงที่ว่าหลังจากเหล่าเหยียและฮูหยินแต่งงานกัน เขามีการแอบไปมาหาสู่กันอย่างลับๆ กับนางฮานมาโดยตลอด เมื่อครั้งฮูหยินให้กำเนิดเส้าเหยียนั้นเป็นการคลอดอย่างยากลำบาก ทว่ากลับไม่เห็นแม้แต่เงาของเหล่าเหยียตลอดทั้งคืน ข้ารับใช้ภายในบ้านต่างวิ่งวุ่นพากันตามหาเหล่าเหยีย ทีนี้เส้าฟูเหรินท่านลองเดาดูสิขอรับว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
หลินหลันส่ายหน้า
ตงจึเผยสีหน้าอารมณ์โกรธแค้นและสบทฮึออกมา “ต้าเส้าเหยียกำเนิดก่อนหน้าเส้าเหยียเพียงแค่ชั่วยามเดียวเท่านั้นขอรับ และตอนนั้นเหล่าเหยียก็คอยอยู่ข้างกายนางฮาน ในขณะที่ฮูหยินเกือบเอาชีวิตไม่รอดจากการให้กำเนิดอันแสนยากลำบาก”
หลินหลันตกใจยิ่งนัก หากเป็นเช่นนี้แล้วรูปการก็จะแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง นี่มันเท่ากับว่าเป็นการหลอกลวงกันเห็นๆ จากการคำนวณระยะเวลาแล้ว ชัดเจนเลยว่าท่านพ่อหลี่สารเลวผู้นั้นเพิ่งสู่ขอหญิงอีกคนหลังจากที่รู้ว่านางฮานยังมีชีวิตอยู่ การที่เขากระทำเช่นนี้ก็เพื่อหวังพึ่งพาความร่ำรวยของตระกูลเยี่ยเป็นใบเบิกทางสำหรับอนาคตของตัวเขาเอง เมื่อหมดประโยชน์แล้ว หลังจากนั้นก็หวนคืนครอบครัวสุขสันต์กันอีกครั้ง ท่านพ่อหลี่คนสารเลว วางแผนการไกลนี้ไว้เพื่อตนเองได้อย่างไม่ธรรมดาเลย!
“แล้วฮูหยินรับรู้เรื่องราวเหล่านี้ได้อย่างไรหรือ” หลินหลันเอ่ยถาม
ตงจึขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความเกลียดชัง “เป็นนางฮานที่บอกกล่าวฮูหยินด้วยตนเอง นางฮานรู้ดีว่าฮูหยินรักใคร่เหล่าเหยียเป็นอย่างยิ่งและไม่มีทางไปฟ้องร้องเหล่าเหยียต่อศาลด้วยเรื่องเช่นนี้ นางจึงจงใจทำให้ฮูหยินโกรธจนอกแตกตายไปข้างหนึ่ง ไม่ใช่เพียงเท่านี้ นางยังตั้งใจพูดต่อหน้าฮูหยินว่าเหล่าเหยียรักตนมากมายเพียงใดและนางก็รักเหล่าเหยียมากมายเพียงใด และเพื่อที่จะให้เหล่าเหยียประสบความสำเร็จ นางจึงยอมอดทนมาเป็นเวลาหลายปี…”
หลินหลันเป็นโกรธเป็นแค้นขึ้นมาเสียแล้ว หญิงนางนี้ช่างน่ารังเกียจเกินไปแล้ว มิน่าล่ะหลี่หมิงอวินจึงได้จงเกลียดจงชังนางขนาดนี้
“ฮูหยินก็ยอมปล่อยให้เป็นเช่นนั้นจริงๆ หรือ” หลินหลันรู้สึกว่านั่นมันไม่ยุติธรรมต่อท่านแม่ของหลี่หมิงอวินเอาเสียเลย อีกทั้งยังคิดว่านางอ่อนแอและไร้ความสามารถไปหน่อย หากเป็นนางแล้วล่ะก็ นางจะต้องกำราบให้ชายหญิงสุนัขคู่นั้นไม่ได้ตายดีอย่างแน่นอน
หยินหลิ่วเองก็รู้สึกอัดอั้นไปด้วยความขุ่นเคืองและโกรธโมโหเป็นอย่างมากเช่นกัน
“เส้าฟูเหรินคงยังไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วฮูหยินเป็นผู้ที่เคารพยึดมั่นถือมั่นในตนเองอย่างแข็งแกร่งผู้หนึ่ง นางคิดมาโดยตลอดว่าเหล่าเหยียจริงใจต่อนาง ดังนั้นจึงแต่งงานกับเขาโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น เรื่องนี้สร้างรอยบาดแผลให้แก่ฮูหยินอย่างใหญ่หลวง จนฮูหยินตรอมใจและยอมล่ะทิ้งทุกอย่างปล่อยให้พวกเขาเสวยสุขกันไป และพาเส้าเหยียกลับมายังเฟิงอานขอรับ ทว่าตอนนั้นเส้าเหยียยังไม่รับรู้เรื่องราวเหล่านี้ จึงคิดเพียงว่าเป็นเพราะฮูหยินไม่ยินยอมใช้สามีรวมกับนางฮานและคิดว่าเป็นเพียงการข่มขู่เหล่าเหยียก็เท่านั้น ดังนั้นเมื่อเรือล่องมาถึงท่าปักกิ่ง-เทียนจิน เส้าเหยียจึงตั้งใจเป็นพิเศษที่จะพาฮูหยินมายังวัดว่านซง เพื่อช่วยคลายปมในใจของฮูหยิน ต่อมาภายหลังฮูหยินถึงได้บอกเล่าเรื่องราวความเป็นจริงให้เขารับรู้ โดยฮูหยินแสดงเจตนารมณ์ว่าไม่ต้องการพบเจอเหล่าเหยียและนางฮานอีกต่อไปแล้ว เมื่อเส้าเหยียได้ฟังเช่นนั้นก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟและต้องการกลับไปยังเมืองหลวงเพื่อพูดคุยกับเหล่าเหยียในทันที ขณะนี้เองฮูหยินกลับเกิดป่วยขึ้นมากะทันหัน ซึ่งหลังจากฮูหยินให้กำเนิดเส้าเหยียแล้ว นางก็ร่างกายอ่อนแอมาโดยตลอดและอาการป่วยนี้เองที่กำเริบขึ้นมาอีกครั้งอย่างรุนแรง เส้าเหยียไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากทำตามความปรารถนาของฮูหยิน จึงส่งนางกลับเฟิงอาน และหลังจากนั้น…เป็นอย่างที่เส้าฟูเหรินได้รับรู้มาหมดแล้วนั่นแหละขอรับ”
หลินหลันโมโหจนแทบจะระเบิดออกเป็นจุล! นางอยากพูดว่าท่านแม่ของหลี่หมิงอวินเป็นหญิงที่โง่เขลาผู้หนึ่งก็ว่าได้ เพียงเพื่อศักดิ์ศรีบ้าบออะไรนี่ และกับอีแค่ผู้ชายสารเลวที่ปิดบังหลอกลวงตนเองมาเป็นเวลากว่าสิบปีแล้วยังจะไปรักใคร่อะไรอีก! นอกจากนั้นยังช่วยปกป้องชื่อเสียงหน้าตาของเขาอยู่ได้! ทั้งๆ ที่ควรจะตอบโต้เล่นงานให้เขากลับมาตกอยู่ในสภาพเดิมถึงจะถูกสิ แล้วสำหรับหญิงผู้ที่ต้องการเข้ามาแทนที่นาง ยิ่งไม่ควรปลอยให้นางลอยหน้าลอยตาอยู่ได้ ควรสั่งสอนนางให้รู้สึกถึงความผิดแล้วต้องหลบซ่อนภายในมุมมืดตลอดไปซะ!
“เรื่องที่ชวนให้โมโหเสียยิ่งกว่านี้ยังอยู่ช่วงท้ายๆ ขอรับ! หลังจากฮูหยินออกมาแล้ว เหล่าเหยียก็ไปพูดกับคนภายนอกว่า ฮูหยินใจแคบ ทนไม่ไหวกับอดีตภรรยาของเขาที่รอดจากความตายและเดินทางหลายพันลี้เพื่อมาขอพักพิงพึ่งพาอาศัยเขา ทันทีที่ฮูหยินเสียชีวิตไป เหล่าเหยียก็ครองคู่กับนางฮานใหม่อีกครั้ง ท่ามกลางคำครหาของเหล่าผู้คน เขายังพูดให้ตนเองเกิดความชอบธรรมขึ้นมาได้และด้วยเหตุนี้ยังทำให้ได้รับคำชื่นชมสรรเสริญจนได้ขึ้นเป็นเสนาบดีกรมพระคลัง”
หลินหลันไม่รู้จะสรรหาคำอะไรมาพูดอีกแล้ว บัญชีแค้นอันวุ่นวายสับสนนี้เดิมทีก็วุ่นวายมากพอแล้ว แล้วยังมีการปั้นน้ำเป็นตัวที่แสนเลวร้ายนี่ขึ้นมาอีก ไม่รู้ว่าท่านแม่ของหลี่หมิงอวินซึ่งหลับใหลตลอดกาลอยู่ใต้พื้นดิน หากรับรู้เข้าจะโกรธจนฟื้นคืนชีพขึ้นมาเลยไหม นางเพื่อรักษาไว้ซึ่งศักดิ์ศรีของตน จึงปล่อยให้คู่ชายหญิงสาระเลวได้สมดั่งความปรารถนา ขณะที่ตนเองต้องทนแบกรับความโกรธแค้นจนตายจากไป ทำไปทำมา ผู้ที่รู้สึกเสียใจมากที่สุดก็คือหลี่หมิงอวินผู้นี้ หลินหลันตระหนักได้อย่างชัดเจนแล้วว่า การเดินทางไปยังเมืองหลวงครั้งนี้ คู่ต่อสู้ของนางนั้นไร้ยางอายเพียงใดและนี่ไม่ใช่งานที่ง่ายดายเอาเสียเลย
——
[1] เหล่าเหยีย (老爷) คำเรียนผู้เป็นเจ้านาย และในอีกความหมายหนึ่งยังหมายถึง พ่อสามี
[2] ฮู่ปู้ซื่อหลาง (户部侍郎) ตำแหน่ง ขุนนางหลวงกรมคลัง