ตอนที่ 52 พักที่โรงเตี๊ยม

ปฏิญญาค่าแค้น

ภายใต้อารมณ์สับสนวุ่นวาย หอพระพุทธตามแบบฉบับดั่งเดิมที่ต้องให้ความเคารพอย่างเคร่งครัดจึงมีแต่จะทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกยำเกรงจนถึงขึ้นอึดอัดอยู่ลึกๆ ในใจ และนั่นส่งผลให้หายใจหายคอไม่สะดวกขึ้นมาเสียแล้ว หลินหลันจึงเลือกที่จะออกไปด้านนอกเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์ให้เต็มปอด 

 

 

ตงจึและหยินหลิ่วคอยตามไปอย่างนิ่งเงียบ 

 

 

หลินหลันเดินออกนอกวัดไปเรื่อยๆ จนตงจึเกรงว่าอีกประเดี๋ยวหากเส้าเหยียมาแล้วจะไม่เจอพวกตนเข้า จึงให้หยินหลิ่วคอยติดตามไว้ ส่วนตนเองแยกตัวออกไปหาเส้าเหยีย 

 

 

เมื่อขึ้นไปยังประภาคารชมวิวท้องทะเล ดวงตาคู่สวยของนางกำลังทอดสายตามองไกลออกไป ทว่าเมื่อเห็นท้องทะเลอันไร้ซึ่งขอบเขตบวกกับสายคลื่นที่ซัดกระหน่ำ มันช่างเสมือนกับอารมณ์ของนางในขณะนี้ที่ยากแก่การสงบลงได้ 

 

 

หลินหลันกำลังคิดว่า นางควรคิดหาวิธีการรับมืออย่างจริงจังได้แล้ว ตระกูลหลี่นั่นไม่ใช่ตัวปัญหาแบบธรรมดาทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นนางแม่มดชราหรือว่าพ่อหลี่สาระเลว ล้วนมิใช่ธรรมดาทั่วไปเลย หากว่าตนเองไม่รวบรวมพละกำลังจิตวิญญาณใส่ให้เต็มกำลัง เกรงก็แต่ว่าจะถูกเล่นงานจนไม่เหลือชิ้นดีเป็นแน่ ดังนั้น การพบกันในครั้งแรกจึงถือเป็นกุญแจสำคัญอย่างยิ่ง หลินหลันไม่ต้องใช้ความคิดก็รู้เป็นอย่างดีว่าตระกูลหลี่ไม่มีทางยอมให้นางเข้าไปอย่างง่ายดาย แต่นางจำเป็นต้องเข้าไปให้ได้ ไม่เพียงแต่เพื่อผลประโยชน์เหล่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นก็เพื่อช่วยเหลือหลี่หมิงอวินต่างหาก 

 

 

“เหตุใดจึงขึ้นมาถึงที่นี่” น้ำเสียงอันแสนอบอุ่นดังขึ้นจากด้านหลัง 

 

 

หลินหลันกล่าวตอบไปอย่างเลื่อนลอย “ที่นี่กว้างขวางมากอีกทั้งอากาศก็ปลอดโปร่งดีด้วย” 

 

 

เขาและนางยืนเคียงข้างกันและทอดสายตามองไปยังท้องทะเลที่ไกลสุดลูกหูลูกตา สายลมแห่งท้องทะเลพัดมาเอื่อยๆ แล้วจิตใจก็สงบลงอย่างช้าๆ 

 

 

“เจ้ารับรู้หมดแล้ว?” 

 

 

คำเอ่ยถามของเขาราวกับเสียงถอนหายใจซึ่งช่างบางเบาเป็นยิ่งนัก ทว่าหลินหลันกลับสัมผัสได้ถึงความรู้สึกอันหนักอึ้งภายในใจของเขา 

 

 

“อืม…” หลินหลันพยักหน้า 

 

 

“เจ้ากลัวไหม” เขาหันมามองนางด้วยนัยน์ตาที่เรียบเฉยขณะเดียวกันก็เผยรอยยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อย ร้อยยิ้มซึ่งมีกลิ่นอายแห่งความขมขื่น 

 

 

“ไม่เลย เพียงแค่รู้สึกว่าเรื่องราวมันยากลำบากกว่าที่ข้าคิดไว้น่ะ” หลินหลันไตร่ตรองอยู่เล็กน้อยก่อนจะกล่าวออกมา 

 

 

“ตอนนี้ยังคงไม่สายเกินไปหากเจ้าจะเปลี่ยนใจ” สีหน้าของเขาดูจริงจังขึ้นมา 

 

 

หลินหลันเหลือบมองไปทีเขา “เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนที่ไร้สัจจะขนาดนั้นเชียวหรือ” 

 

 

มองดูนางเผยสีหน้าไม่พึงพอใจเท่าไหร่นัก หลี่หมิงอวินจึงยิ้มออกมาเล็กน้อยพร้อมกับใบหน้าที่ก้มลง ก่อนจะหันไปทอดสายตามองข้ามไปยังท้องทะเลซึ่งไกลสุดลูกหูลูกตา 

 

 

“เจ้าไม่ต้องเกรงกลัวไปหรอก” 

 

 

นัยน์ตาของเขาเผยความเยือกเย็นอย่างเด่นชัดขณะเอื้อนเอ่ยประโยคนั้นออกมา ทำให้เขาทั้งคนดูเปลี่ยนไปเป็นผู้ที่เฉียบขาดและมั่นคงแน่วแน่ 

 

 

หลินหลันเผยรอยยิ้มบางเบา “ข้าพูดว่าข้ากลัวงั้นหรือ” 

 

 

“สิ่งสำคัญที่สุดของท่านพ่อข้าก็คือตำแหน่งชื่อเสียงในอนาคตของเขา นอกนั้นล้วนเป็นเรื่องรอง อันที่จริงแล้ว…การกลับเมืองหลวงของข้าครั้งนี้ ครอบครัวของข้าได้เจรจาเรื่องการแต่งงานของข้าไว้แล้ว นางคือบุตรสาวของตระกูลใต้เท้าเหว่ยรองเสนาบดีกรมกลาโหมฝ่ายขวา…” 

 

 

หลินหลันตกตะลึง ความหมายของเขาคือ การแต่งงานครั้งนี้เป็นหมากตัวสำคัญในมือของท่านพ่อหลี่สาระเลวผู้นั้นงั้นหรือ นางจึงตั้งหน้าตั้งตาฟังเขากล่าวต่อไป “เช่นฉางผิง [1] ในปัจจุบันนี้ เจ้าชายหลายพระองค์ค่อยๆ เติบใหญ่ขึ้น ในบรรดาพวกเขาเจ้าชายลำดับที่สี่นั้นมีพระปรีชาสามารถโดดเด่นที่สุด น่าเสียดายที่ว่าพระองค์ไม่ใช่รัชทายาท…” 

 

 

นี่เป็นการเริ่มต้นแสดงจุดยืนแล้วใช่ไหม หลินหลันครุ่นคิด 

 

 

“หลี่หมิงเจ๋อได้สู่ขอบุตรสาวของผู้ตรวจราชการพิเศษเป็นภรรยาแล้ว และหากข้าสู่ขอบุตรสาวแห่งตระกูลใต้เท้าเหว่ยรองเสนาบดีกรมกลาโหมฝ่ายขวาอีก ตระกูลหลี่ของพวกเราก็เท่ากับว่าได้เชื่อมความสัมพันธ์กับองค์รัชทายาทและองค์ชายทั้งสี่พระองค์ อย่างไรก็ตามข้าไม่รู้ว่าท่านพ่อของข้ายืนอยู่ข้างไหนกันแน่ และข้าก็ไม่ต้องการเป็นเบี้ยในมือของเขา ข้าจะลิขิตชีวิตด้วยตัวของข้าเอง” หลี่หมิงอวินไม่ได้คาดหวังว่าหลินหลันจะเข้าใจความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนพวกนี้ หวังเพียงแค่หลินหลันจะเข้าใจประเด็นนี้ที่ว่าเขาไม่อาจเห็นด้วยกับการแต่งงานครั้งนี้เป็นอย่างแน่นอน ดังนั้น หลินหลันจึงสำคัญเป็นอย่างยิ่ง 

 

 

คำพูดของเขามีนัยลึกซึ้งซ่อนเอาไว้อยู่มากมาย จะว่าถึงขั้นชวนให้สับสนก็ยังว่าได้ แต่หลินหลันกลับฟังแล้วเข้าใจเป็นอย่างดี ท่านพ่อหลี่สาระเลวนั่นต้องการเหยียบเรือสองแคม อาจเพื่อเป็นการแสดงตนว่าเขาเป็นขุนนางผู้บริสุทธิ์ผู้หนึ่ง โดยการเลือกยืนหยัดทั้งสองฝั่งก็เท่ากับว่าไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือไม่อาจมีการสมรู้ร่วมคิดการอื่นเช่น ทำให้ผู้คนสับสน การต่อสู้ทางการเมืองความจริงแล้วประเด็นหลักก็คือเรื่องของการยืนหยัด หากเลือกยืนหยัดอยู่กับฝ่ายที่ถูกต้อง ก็มีแต่จะเจริญก้าวหน้าในตำแหน่งยศถาบรรดาศักดิ์และรุ่งเรืองยิ่งขึ้นไป หากเลือกยืนหยัดผิดฝ่ายแล้วล่ะก็ ผลที่ตามมาจะร้ายแรงใหญ่หลวง ดังนั้นหลี่หมิงอวินจึงไม่ต้องการที่จะทำให้ตัวเองตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ถูกคนอื่นใช้เป็นเครื่องมือและถูกทอดทิ้งในท้ายที่สุด 

 

 

สรุปก็คือท่านพ่อหลี่สาระเลวมีความคิดอันซับซ้อน ขณะที่หลี่หมิงอวินมีความคิดเป็นของตนเองอย่างมาก และนางจึงกลายเป็นมหันต์ภัยร้ายที่จะเข้ามาทำลายแผนการของท่านพ่อหลี่สาระเลวผู้นั้น ซึ่งหนทางข้างหน้าก็ไม่ใช่เรื่องที่จะผ่านไปได้อย่างง่ายดาย 

 

 

“เจ้าหวังให้ข้าทำเช่นไร” หลินหลันมองไปยังเขาอย่างสงบ 

 

 

หลี่หมิงอวินยิ้มแล้วคว้ามือของนางมากอบกุมเอาไว้ “เชื่อมั่นในตัวข้าก็เป็นพอ” 

 

 

มือของเขามีความเย็นอยู่เล็กน้อยแต่กลับมีพละกำลังยิ่ง ราวกับต้องการทำให้นางรู้สึกสบายใจ ทว่าหลินหลันกลับรู้สึกได้ว่าเป็นเขาต่างหากที่ไม่สบายใจ 

 

 

หลินหลันฉีกยิ้ม “ตกลง นับแต่วันนี้เป็นต้นไป พวกเราก็คือสหายร่วมรบของจริงแล้ว พวกเราต่างต้องเชื่อมั่นซึ่งกันและกัน” 

 

 

มือของเขากระชับแน่นยิ่งขึ้นและดวงตาก็ฉายให้เห็นถึงความสว่างสดใสมากยิ่งขึ้นด้วยเช่นกัน ราวกับกำลังแฝงความรู้สึกขอบคุณเอาไว้ 

 

 

ระฆังวัดโบราณดังขึ้นด้วยเสียงกึกก้องและทรงพลัง แผ่กระจายออกไปไกลผสมผสานกับเกลียวคลื่น หลินหลันยิ้มอย่างขมขื่น ภายใต้ความรู้สึกและสถานที่นี้ ราวกับการสาบานรัก เพียงแต่นี้ไม่เกี่ยวข้องกับความรัก นางขอให้คำมั่นสัญญาว่าครั้งนี้นางต้องการช่วยเขาด้วยใจจริง 

 

 

ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าการเดินทางมาวัดว่านซงครั้งนี้ มิใช่เพื่อเยี่ยมเยียนสหายเก่า แต่เป็นการถ่ายทอดความจริงให้แก่นางต่างหาก 

 

 

สองวันถัดมา เรือล่องไปถึงเมืองปักกิ่ง [2]  

 

 

บนฝั่งมีทั้งคนตระกูลเยี่ยและตระกูลหลี่มารอคอยอยู่แต่แรก โดยต่างพร้อมใจกันเข้ามาให้การต้อนรับ 

 

 

“เอ้อร์เส้าเหยีย [3] …” 

 

 

“เปี่ยวเส้าเหยีย [4] …” 

 

 

หลี่หมิงอวินพยักหน้าให้ผู้ดูแลเหวินของตระกูลเยี่ย แล้วหันไปสั่งการเหวินซาน “เหวินซาน เจ้าไปจัดการทีสิ” 

 

 

เหวินซานขานรับ “พ่อ ท่านมากับข้า” 

 

 

ผู้ดูแลกวนตบศรีษะของเหวินซานอย่างหยอกล้อเข้าไปหนึ่งทีภายใต้รอยยิ้มรักใคร่เอ็นดู “เจ้าเด็กน้อย ใช้ได้แล้วนะเรา” 

 

 

เหวินซานยิ้มอย่างซื่อๆ 

 

 

ผู้ดูแลของตระกูลหลี่เหลือบมองไปยังหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างกายเอ้อร์เส้าเหยีย และหลุบสายตาลงอย่างไม่เผยสีหน้าอารมณ์ใดๆ ทำเพียงรออย่างเงียบๆ ให้ผู้เป็นนายเปิดปากเอ่ยขึ้น 

 

 

“ผู้ดูแลจ้าว ที่บ้านทุกอย่างเรียบร้อยดีใช่ไหม” หลี่หมิงอวินกล่าวถามด้วยเสียงนุ่มนวล 

 

 

ผู้ดูแลจ้าวก้มศรีษะลงพร้อมแสดงท่าคาราวะ “เรียนเอ้อร์เส้าเหยีย ทุกอย่างเรียบร้อยดีขอรับ เหล่าเหยียตั้งหน้าตั้งตารอคอยเส้าเหยียกลับมาเมืองหลวงอยู่ตลอด จึงให้ข้าน้อยมาเฝ้ารออยู่ที่นี่ทุกวันขอรับ” 

 

 

หลี่หมิงอวินยิ้มเล็กน้อยขณะเดียวกันก็ยกมือขึ้นบีบนวดขมับ “นั่งเรือมาเป็นระยะเวลาตั้งสองเดือนกว่า เล่นเอาข้ามึนหัวไปหมดแล้ว” 

 

 

“รถม้าเตรียมพร้อมแล้ว ขอเรียนเชิญเส้าเหยียขึ้นรถขอรับ” ผู้ดูแลจ้าวเผยรอยยิ้มที่แสดงให้เห็นถึงความเคารพ 

 

 

หลี่หมิงอวินพยักหน้าหันมองหลินหลันซึ่งอยู่ข้างกาย “ไปเถอะ! กลับจวนของพวกเรากัน” 

 

 

สีหน้าของผู้ดูแลจ้าวเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาก้าวเดินขึ้นไปหนึ่งฝีก้าวและกล่าวขึ้นพร้อมท่าคาราวะ “เอ้อร์เส้าเหยีย…” 

 

 

หลี่หมิงอวินเลิกคิ้วขึ้นขณะมองเขา “ฮืม?” 

 

 

ผู้ดูแลจ้าวกล่าวอย่างติดๆ ขัดๆ “เอ้อร์เส้าเหยีย เหล่าเหยีย…เหล่าเหยียสั่งการว่า ให้เพียงเอ้อร์เส้าเหยียกลับจวนเท่านั้น ในส่วน…แม่นางหลิน เหล่าเหยียได้ให้ข้าน้อยจองห้องพักที่โรงเตี๊ยม ‘หลินเซียนจวี’ ในเมืองไว้แล้วขอรับ” 

 

 

อ๋า! นี่คงเริ่มต้นขึ้นแล้วสินะ? ไม่ให้นางเข้าจวนหลี่และให้นางไปพักที่โรงเตี๊ยม สมกับเป็นความคิดของท่านพ่อหลี่สาระเลวนั่นเสียจริง 

 

 

หลี่หมิงอวินขมวดคิ้วและกล่าวด้วยความไม่พอใจ “เจ้าควรเรียกนางว่าเอ้อร์เส้าหน่ายนาย [5] ” 

 

 

สีหน้าของผู้ดูแลจ้าวยิ่งดูแย่ขึ้นไปอีกขณะเดียวกันเขาก็ก้มศีรษะลงต่ำมากขึ้น “ขอเอ้อร์เส้าเหยียโปรดเข้าใจข้าน้อยด้วยขอรับ” 

 

 

น้ำเสียงขอหลี่หมิงอวินเคร่งขรึมรุนแรงขึ้นมา “นี่เป็นคำพูดของใครงั้นรึ ไม่ว่าอย่างไรเอ้อร์เส้าหน่ายนายก็จะต้องกลับจวนไปกับข้า ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะให้นางไปพักยังโรงเตี๊ยม” 

 

 

ผู้ดูแลจ้าวดูกังวลและไม่กล้าพูดออกมา ก่อนจะแสดงท่าคาราวะอย่างต่อเนื่อง “ใช่ขอรับ ใช่ขอรับ เพียงแต่เหล่าเหยียกำชับเป็นพิเศษ…” 

 

 

หลี่หมิงอวินชักสีหน้าเคร่งขรึม “ในเมื่อเอ้อร์เส้าหน่ายนายต้องพักที่โรงเตี๊ยม เช่นนั้นข้าก็ไปโรงเตี๊ยมด้วยแล้วกัน” 

 

 

แม่โจวและคนอื่นๆ ซึ่งอยู่ด้านหลังต่างแอบปาดเหงื่อเมื่อได้ยินเช่นนั้น ตระกูลหลี่ช่างได้รับข่าวสารรวดเร็วเสียจริง คนยังไม่ทันถึง ทางด้านนั้นก็เตรียมมาตรการรับมือไว้เรียบร้อยแล้ว 

 

 

หลินหลันเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยและกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “หมิงอวิน เจ้าอย่าทำเช่นนี้เลยน่า! ท่านพ่อยังไม่เคยพบเจอข้ามาก่อน เป็นธรรมดาที่จะไม่สามารถยอมรับได้ในชั่วขณะหนึ่ง…” 

 

 

ผู้ดูแลจ้าวรำพึงรำพันในใจ พบเจอแล้วก็ใช่ว่าจะยอมรับได้ 

 

 

“ไม่ได้ ข้าจะให้เจ้าไปพักที่โรงเตี๊ยมได้อย่างไรกัน” หลี่หมิงอวินจับมือของหลินหลันเอาไว้พลางส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด 

 

 

หลินหลันกล่าวอย่างคร่ำครวญ “เจ้าอย่าทำเช่นนี้เลย หากทำเช่นนี้ท่านพ่อจะไม่พอใจเอาได้ เจ้ากลับจวนไปก่อน ส่วนข้าจะไปที่บ้านท่านจิ้งปั๋วโหวพูดคุยเสวนากันสักสองสามวัน” 

 

 

หลี่หมิงอวินเข้าใจความหมายของหลินหลันในทันที เขาได้ขอให้เฉินจื่ออวี้สร้างมธุรวาจาอันเป็นประโยชน์ต่อเขาและหลินหลันในเมืองหลวงไว้ก่อนหน้าแล้ว กลอุบายนี้เป็นวิธีที่พ่อของเขามักใช้อยู่เป็นประจำ เพียงเพราะท่านพ่อต้องการรักษาไว้ซึ่งหน้าตาชื่อเสียง จึงยอมรับความจริงที่ว่าลูกชายของเขาแต่งงานกับหญิงสาวชาวบ้านมิได้ การที่หลินหลันจะไปยังบ้านของจิ้งปั๋วโหวในเวลานี้ เท่ากับเป็นการกดดันท่านพ่อของเขาทางอ้อม มีแต่ได้ประโยชน์และไร้ซึ่งข้อเสียใดๆ ทั้งสิ้น 

 

 

 

 

 

—— 

 

 

[1] ฉางผิง (昌平) เป็นประตูทางทิศเหนือของเมืองหลวงปักกิ่ง 

 

 

[2] เมืองปักกิ่ง คือเมืองหลวง 

 

 

[3] เอ้อร์เส้าเหยีย (二少爷) แปลว่า คุณชายรอง 

 

 

[4] เปี่ยวเส้าเหยีย (表少爷) เป็นคำเรียก ผู้ชายซึ่งมีศักดิ์เป็นนาย และเป็นลูกพี่ลูกน้องของคุณในตระกูลที่รับใช้ 

 

 

[5] เอ้อร์เส้าหน่ายนาย (二少奶奶) เอ้อร์ (二) ในที่นี่หมายถึง ลำดับที่สอง, รอง และเส้าหน่ายนาย (少奶奶) ใช้เรียกภรรยาของบรรดาคุณชายทั้งหลาย ดังนั้นเอ้อร์เส้าหน่ายนาย (二少奶奶) จึงเป็นคำเรียก ภรรยาของคุณชายรอง