ตอนที่ 51 ชีวิตในชนบท

หมอหญิงจ้าวดวงใจ

ซูอวี้เหิงได้ยินคำๆ นี้ จึงหน้าแดงพลางกดเสียงต่ำ “ข้าจะไปดูว่าพวกบ่าวชงชาไปถึงไหนแล้ว เหตุใดถึงยังไม่เสร็จอีก” นางพลันหลีกเลี่ยงบทสนทนานี้ทันที

องค์หญิงต้าจั่งส่ายหน้าเบาๆ “แน่นอนว่าบรรดาทหารที่อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของเจิ้นกั๋วกง แต่ละคนนั้นใช่ย่อยจริงๆ เพียงแต่เหิงเอ๋อร์ของพวกเรามีนิสัยที่ตรงไปตรงมา หากให้หาคู่ครองที่เป็นทหาร ชีวิตของพวกเขาสองคนคงจะไปกันไม่รอดแน่ๆ นางมีนิสัยเยี่ยงนี้ ก็ควรที่จะหาบุรุษที่เป็นปัญญาชนที่มีนิสัยอ่อนโยนและละเอียดอ่อน ชีวิตคู่ถึงจะไปกันได้รอด”

ลู่ฮูหยินได้ยินเช่นนี้จึงพยักหน้า เฟิงฮูหยินน้อยก็ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก กลับเป็นซุนฮูหยินน้อยที่นัยน์ตาเปล่งประกายเต็มไปด้วยความสุข ราวกับคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

ถึงแม้จะไม่สามารถจัดงานเลี้ยงวันเกิดที่อลังการ ทว่าฮูหยินของมหาบัณฑิตเฟิงเซ่าผิง ที่เป็นฮูหยินตระกูลผู้ให้กำเนิดเฟิงฮูหยินน้อย และฮูหยินของซื่อหลาง[1]ซุนอวี้ซึ่งเป็นขุนนางฝ่ายพิธีกรรม ตระกูลผู้ให้กำเนิดซุนฮูหยินน้อย ต่างก็พาสะใภ้และบุตรีที่ยังไม่ได้ออกเรือนมาร่วมเฉลิมฉลองด้วย

พวกนางถึงนอกประตูทางเข้าเรือนพักผ่อนแล้ว จึงมีคนมาแจ้งให้คนด้านในทราบแต่เนิ่นๆ ลู่ฮูหยินเลยกล่าวเชิญด้วยความยินดีซ้ำๆ แล้วยังลุกขึ้นต้อนรับด้วยตัวเอง ถึงแม้เฟิงฮูหยินและซุนฮูหยินจะมีฐานันดรศักดิ์ที่ต่ำกว่าลู่ฮูหยิน ทว่าทั้งสองครอบครัวต่างก็เป็นแม่ยายของบุตรชาย และพวกนางยังอุตส่าห์เดินทางมาเรือนพักผ่อนอย่างเร่งด่วนเช่นนี้ ถึงแม้จะไม่แสดงท่าทีว่าจะมาร่วมอวยพรเนื่องในวันคล้ายวันเกิดอย่างชัดเจน ทว่าทุกคนต่างเข้าใจกันโดยปริยาย ลู่ฮูหยินจึงไม่อาจเพิกเฉยและไม่ให้ความสำคัญกับพวกนางได้

ลู่ฮูหยินเดินออกไปต้อนรับ ทางด้านเฟิงฮูหยินน้อย ซุนฮูหยินน้อยและเหยาเฟิ่งเกอก็ไม่ได้รอช้า พวกนางพลันเหยียดกายลุกขึ้นพลางติดตามไปด้วย

ไม่นาน เฟิงฮูหยินก็พาสะใภ้เฟิงหลี่ฮูหยินน้อย และบุตรีอนุภรรยานามว่าเฟิงซิ่วอวิ๋น ส่วนซุนฮูหยินพาสะใภ้ซุนหยางฮูหยินน้อยและบุตรชายคนเล็กนามว่าซุนจิ่งเหยาเข้ามาถวายบังคมองค์หญิงต้าจั่งพร้อมกัน และบรรดาอนุชนก็น้อมคำนับให้กับลู่ฮูหยินสามครั้ง จากนั้นก็เอ่ยถามสารทุกข์สุขดิบกับพี่น้องที่เป็นรุ่นราวคราวเดียวกันเป็นการส่วนตัว

ทันใดนั้นในศาลาเล็กๆ ก็แออัดไปด้วยผู้คนมากมาย ทุกคนต่างก็พูดคุยกันอย่างมีความสุข ทำให้บรรยากาศดูครึกครื้นขึ้นมาก ระหว่างที่พูดคุยเล่นกัน ซุนฮูหยินน้อยดึงตัวน้องชายที่มีอายุเพียงสิบห้าปี นามว่าซุนจิ่งเหยาไปถวายบังคมองค์หญิงต้าจั่งเป็นการส่วนตัว

ซุนจิ่งเหยากลับเป็นเด็กที่รู้จักกฎระเบียบและมารยาท มีใบหน้าที่หล่อเหลาและดูสะอาดสะอ้าน ทว่ากลับดูเป็นชายหนุ่มที่อ่อนแอไปสักหน่อย องค์หญิงต้าจั่งสังเกตชายหนุ่มผู้นี้ไปสักพัก จากนั้นก็แย้มยิ้มพลางเอ่ยถามถึงอายุ และยังเอ่ยชมว่าเขามีหน้าตาที่หล่อเหลายิ่งนัก จากนั้นก็ค่อยสั่งการซุนฮูหยินน้อย “เจ้าสั่งคนพาเด็กคนนี้ไปหาท่านซื่อจื่อ บอกให้พวกเขาดูแลเด็กคนนี้ดีๆ”

ซูจิ่นเซวียนจูงมือซุนจิ่งเหยาไว้ และขานเรียกท่านน้าท่านน้าไม่ยอมปล่อยมือ ทำให้ซุนฮูหยินน้อยไม่มีทางเลือกจึงทำได้เพียงสั่งให้แม่นมติดตามซุนจิ่งเหยาไปด้วย ลู่ฮูหยินได้ยินจึงไม่เห็นด้วย นางเลยกวักมือเรียกซูจิ่นเซวียน “เซวียนเอ๋อร์ กลับมา!”

ซูจิ่นเซวียนได้ยินท่านย่าของตนเองเรียกชื่อตน จึงได้ปล่อยมือท่านน้าด้วยอาลัยอาวรณ์ จากนั้นก็วิ่งกลับไปอยู่ในอ้อมกอดของลู่ฮูหยิน ซุนฮูหยินยิ้มพลางชื่นชมในท่าทีที่รู้จักกาลเทศะของหลานชายคนนี้ เหตุเพราะเด็กคนนี้เชื่อฟังคำพูดของท่านย่า ลู่ฮูหยินจึงโอบกอดหลานชายคนโตของตนด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มที่เบิกบาน

จากนั้นซูจิ่นอวิ๋นเข้าไปในอยู่ในอ้อมกอดของท่านยายเฟิงฮูหยินและพูดคุยอ้อแอ้ไม่หยุด ทำให้เฟิงฮูหยินหัวเราะไม่หยุด เฟิ่งหลี่ฮูหยินน้อยก็พูดจาหยอกล้ออย่างขำขันอยู่ข้างๆ ซูจิ่นอวิ๋นเอามือคล้องคอของท่านยายไว้แล้วหัวเราะคิกๆ ไม่หยุด

ทุกคนต่างก็หัวเราะกันอย่างมีความสุข มีเพียงเหยาเฟิ่งเกอเท่านั้นที่รู้สึกเบื่อหน่ายเล็กน้อย ทุกคนที่อยู่ในศาลาแห่งนี้ กลับไม่มีใครที่เป็นญาติพี่น้องของนางเลย

ปีนี้จวนเหยาก็ได้มีคนมาส่งมอบของขวัญวันเกิดให้ลู่ฮูหยิน แต่เป็นหลานชายที่มีความสัมพันธ์ห่างๆ ของตระกูลเหยาเป็นคนมาส่งมอบ เหยาเหยียนเอินมัวแต่ยุ่งกับกิจธุระในเจียงหนิง ส่วนเหยาเหยียนอี้ก็กำลังเตรียมสอบบรรจุขุนนางในช่วงวสันต์ในปีหน้าอย่างเร่งรีบ พี่ชายทั้งสองจึงไม่มีเวลาเข้าเมืองหลวง

เวลานี้ เหยาเฟิ่งเกอยิ่งอยู่ก็ยิ่งอยากให้เหยาเยี่ยนอวี่หายป่วย นางอยากให้จวนติ้งโหวมีคุณชายคนที่สี่ที่ยังไม่ได้แต่งงาน ต่อให้เป็นบุตรชายของอนุภรรยาก็ได้ แบบนี้จะได้ทำให้เหยาเยี่ยนอวี่เข้าไปอยู่ในจวนอย่างเป็นทางการ สองพี่น้องได้เป็นสะใภ้ในจวนเหมือนกัน จะได้พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน

ในขณะที่กำลังพูดคุยเล่นกันอย่างสนุกสนาน สนามหญ้าข้างทะเลสาบก็มีเสียงดังเฮขึ้นมา องค์หญิงต้าจั่งหันไปมอง จากนั้นก็ยิ้มพลางพูด “พวกเขาเล่นอะไรกันอยู่ เหตุใดจึงได้คึกคักเช่นนี้”

ซูอวี้เหิงพาเหล่าสาวใช้ยกน้ำชาแล้วเดินเข้ามาจากข้างนอก นางยกน้ำชาให้กับองค์หญิงต้าจั่งพลางยิ้มและทูลขึ้น “พี่ชายทั้งสามกำลังเล่นขว้างลูกธนูลงโถกับเหล่าแม่ทัพอยู่เพคะ”

“ขว้างลูกธนูลงโถครึกครื้นเช่นนี้เชียว?” องค์หญิงต้าจั่งไม่อยากจะเชื่อ

สาวใช้ที่อยู่ข้างนอกเข้ามาทูลตอบ “เป็นความคิดของท่านซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเองเพคะ บอกว่าใครสามารถขว้างลูกธนูลงโถได้มากที่สุดในระยะที่ห่างออกไปเป็นสิบก้าว คนนั้นถือเป็นผู้ชนะ เมื่อครู่ท่านซื่อจื่อขว้างลูกธนูได้ห้าดอก ดังนั้นทุกคนจึงเอ่ยชมเขาเพคะ”

องค์หญิงต้าจั่งยิ่งรู้สึกมีความสุข จึงเอ่ยคำว่าดีออกมาไม่หยุด จากนั้นก็ได้พูดกับซูอวี้เหิง “พวกเจ้าก็ลองไปเล่นดูสิ บรรดาพี่สะใภ้ของเจ้าและคุณหนูเฟิงก็ไปด้วยกันเถอะ คนยิ่งมากก็ยิ่งครึกครื้น”

ทันใดนั้นก็มีสาวใช้ยกโถกระเบื้องลายครามที่มีหูจับวางอยู่บนสนามนอกศาลาเข้ามา เฟิงฮูหยินน้อยเป็นคนที่พึงกระทำตามกฎระเบียบ จึงคอยปรนนิบัติรินน้ำชาให้ลู่ฮูหยินอยู่ข้างๆ แล้วบอกให้น้องสาวที่เป็นบุตรีอนุภรรยาของตนไปเล่น ซุนฮูหยินน้อยก็ได้ดันน้องสะใภ้ของตนไปหาเหยาเฟิ่งเกอ “น้องสะใภ้สาม เจ้าพานางไปเล่นหน่อยเถอะ ข้าไปดูความเรียบร้อยของโรงครัวเสียหน่อย”

เหยาเฟิ่งเกอทำได้เพียงละทิ้งอารมณ์ที่หมองเศร้าของตน แล้วตั้งสติพาเหล่าสะใภ้และญาติพี่น้อง ทั้งยังมีซูอวี้เหิงและเด็กน้อยซุกซนซูจิ่นอวิ๋นเดินออกจากศาลาแล้วไปเล่นขว้างลูกธนูลงโถด้วยกัน

บริเวณสนามหญ้าที่อยู่ตรงหน้าหุบเขา บรรดาบุรุษทั้งหลายกำลังเล่นกันอย่างสนุกสนาน อันได้แก่คุณชายทั้งสามแห่งตระกูลซู เฉิงอ๋องซื่อจื่อ-อวิ๋นคุน ท่านซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกง-หันซังเกอและน้องชายของเขาหันซังเย่ว์ น้องชายของซุนฮูหยินน้อย-ซุนจิ่งเหยา เว่ยจางและเฮ่อซีก็ถูกซูอวี้ผิงเชิญมาด้วย

ทีแรกเว่ยจางไม่อยากมา แต่ทนกับการเชื้อเชิญครั้งแล้วครั้งเล่าของซูอวี้ผิงไม่ไหว ทั้งยังบอกว่าวันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของลู่ฮูหยิน และยังมีหันซังเกอที่คอยลากเขามาด้วยแถมยังเตรียมการเผื่อเขาจะกลับไปก่อน สุดท้ายเขาก็ปฏิเสธไม่ได้ จึงถูกบังคับให้ติดตามมา ทว่าการเล่นขว้างลูกธนูลงโถเป็นเรื่องที่ง่ายดายสำหรับเขา ระหว่างที่เล่นจึงไม่ได้ตั้งใจมากนัก

ซูอวี้ผิงก็ท้าหันซังเกอมาประลองการละเล่นในครั้งนี้ และบอกว่าต้องได้ผลสรุปว่าใครเป็นฝ่ายชนะและฝ่ายแพ้ ส่วนเว่ยจางเองก็อมยิ้มจากนั้นก็เดินไปด้านข้างยกถ้วยชามาหนึ่งถ้วย พร้อมจิบชาไปด้วยและมองชื่นชมเรือนพักผ่อนแห่งนี้ไปด้วย ในใจกำลังคิดว่า คิดไม่ถึงว่าจวนติ้งโหวจะมีสมบัติพัสถานเยี่ยงนี้ด้วย เรือนพักผ่อนแห่งนี้ล้อมรอบไปด้วยธรรมชาติจริงๆ และมีบรรยากาศที่ดียิ่งนัก จึงเหมาะแก่การมาพักรักษาตัว ไม่น่าแปลกใจที่คุณหนูเหยาซึ่งป่วยอยู่ถึงไม่ยอมกลับเมืองหลวง และยอมเสียหลายพันตำลึงเงิน เพื่อที่จะซื้อบ้านในไร่นาเขตชานเมืองเป็นที่พักอาศัย

ในขณะเดียวกันที่ห้องนอนของเหยาเยี่ยนอวี่ในบ้านนามู่เย่ว์ ขณะนี้ เหยาเยี่ยนอวี่นั่งขัดตะหมาดและเผยหัวไหล่เปลือยเปล่า จู่ๆ ก็เกร็งลำตัวทันที “ฮัดชิ่ว!”

“โธ่! คุณหนูควรใส่เสื้อคลุมหน่อยไหมเจ้าคะ?” เฝิงหมัวมัวเอามือจับเสื้อคลุมผ้าต่วนสีเขียวขึ้นแล้วกำชับ “ตอนนี้อากาศหนาวขึ้นเรื่อยๆ แล้ว หากคุณหนูป่วยขึ้นมาคงไม่ใช่เรื่องเล่นๆ !”

“ชุ่ยเวย เร็วเข้า” เหยาเยี่ยนอวี่แค่นั่งตัวตรงด้วยความใจร้อนอยู่ตรงนั้น ข้างหลังของนางมีชุ่ยเวยที่กำลังจับเข็มเงินอยู่ในมือ นิ้วมือของนางสั่นเทา ทำอย่างไรก็ไม่กล้าลงมือเสียที

“เร็วเข้า!” เหยาเยี่ยนอวี่ทำเสียงเกรี้ยวกราดเหมือนนายหญิงที่กำลังตวาดใส่สาวใช้ “ถ้าข้าตกอยู่ในสถานการณ์คับขันจริงๆ เจ้ายังจะเป็นเช่นนี้อีกหรือไม่ หากเจ้ายังคงลังเลอีก เป็นไปได้มากที่ชีวิตหนึ่งจะสูญสิ้นไปต่อหน้าต่อตาเจ้าเลยก็ได้!”

“คุณหนูเจ้าคะ บ่าว…” ชุ่ยเวยยังคงไม่กล้าลงมือ เพราะรู้ว่าตนเองกำลังจะเอาเข็มที่ยาวขนาดนี้ทิ่มแทงลงบนร่างกายของนายหญิง! นี่ไม่เพียงแต่เป็นการทรยศนายหญิงของตนเท่านั้น หากนายหญิงสิ้นใจไป ต่อให้ตนเอาชีวิตเป็นร้อยชีวิตก็มิอาจแลกชีวิตของนายหญิงกลับมาได้!

“แต่ก่อนข้าก็เคยฝังเข็มนี้บนร่างกายเจ้าแล้วไม่ใช่หรือไร เจ้ารู้สึกเจ็บปวดมากหรือไม่เล่า” เหยาเยี่ยนอวี่ผ่อนคลายน้ำเสียงของนางลง แล้วคุยกับชุ่ยเวยด้วยเหตุผล “หากครั้งที่แล้วตอนที่อยู่ตรงบันไดขึ้นเขาวัดต้าเจวี๋ย ข้ามัวแต่ลังเลเหมือนเจ้าเช่นนี้ เกรงว่าฮูหยินผู้เฒ่าเฟิงคงต้องไปรายงานตัวกับยมบาลเสียแล้ว! เร็วเข้า ถ้าเจ้ามัวแต่ชักช้าอย่างนี้ วันข้างหน้าก็อย่ามาติดตามข้า มิสู้กลับบ้านเกิดเจียงหนานของเจ้าไปเสียเถอะ”

“ไอ้หยา ชุ่ยเวย หากเจ้ายังเป็นเช่นนี้อีก คุณหนูคงจะหนาวจนเป็นหวัดแน่!” เฝิงหมัวมัวรู้ว่าเหยาเยี่ยนอวี่เป็นคนที่ไม่คืนคำ ถ้าชุ่ยเวยไม่ทำตามคำสั่งที่นางพูด นางอาจจะส่งเด็กสาวคนนี้กลับเจียงหนานไปก็ได้

[1]ซื่อหลาง มียศสี่ร้อยต้านเป็นขุนนางหลางที่มีหน้าที่ประจำอยู่ในพระราชวัง