ตอนที่ 52 ข่าวดีของจวนติ้งโหว

หมอหญิงจ้าวดวงใจ

“คุณหนู บ่าวไม่อยากไปจากคุณหนูเจ้าค่ะ!” ชุ่ยเวยพลันกล่าวด้วยความกังวล นางถูกจวนเหยาซื้อตัวมาปรนนิบัติรับใช้เหยาเยี่ยนอวี่ตั้งแต่เล็ก คุณหนูดีกับนางเช่นนี้ นางไม่อาจกลับไปได้!

“เช่นนั้นก็ทำตามคำสั่งของข้า” เหยาเยี่ยนอวี่ยืดเอว “จุดฝังเข็มเหล่านั้นเจ้าจำได้หมดแล้ว วิธีการฝังเข็มและการหมุนเข็มเจ้าก็รู้เรื่องแล้ว เช่นนั้นก็เริ่มเถอะ”

ชุ่ยเวยรวบรวมความกล้า มือซ้ายของนางจับผิวที่ขาวผ่องดุจหิมะของเหยาเยี่ยนอวี่เบาๆ เพื่อที่จะหาจุดฝังเข็มให้แม่นยำ

เหยาเยี่ยนอวี่ให้กำลังใจนาง “ถูกต้องแล้ว ตำแหน่งนี้แหละ”

“คุณหนู บ่าว…จะฝังเข็มลงไปแล้วนะเจ้าคะ?”

“ได้”

มือขวาของชุ่ยเวยที่จับเข็มเงินแล้วค่อยๆ ฝังลงไปยังจุดฝังเข็ม จากนั้นหมุนเข็มเงินให้ลึกลงไป เข็มเงินที่มีความยาวกว่าสี่นิ้วฝังลงไปจนเหลือประมาณครึ่งหนึ่งถึงจะหยุดลง จากนั้นก็หยิบเข็มเงินอีกเข็มขึ้นมา นางจับจุดฝังเข็มตำแหน่งอื่น แล้วค่อยๆ ฝังลงไปต่อ

เพื่อไม่ให้อากาศถ่ายเท หน้าต่างและม่านในเรือนถูกปิดจนหมด ภายในกระถางธูปทองเหลืองลายฉลุจุดธูปหอมไว้ กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ฟุ้งกระจายออกมานั้น คล้ายว่าจะได้กลิ่นและไม่ได้กลิ่น

หลังจากที่ฝังเข็มแรกลงไปแล้ว ความกล้าของชุ่ยเวยค่อยๆ กลับมา เข็มที่สอง เข็มที่สามและเข็มที่สี่ แต่ละเข็มยิ่งมั่นคงมากขึ้นกว่าเข็มก่อนหน้า

เพียงไม่นาน แผ่นหลังของเหยาเยี่ยนอวี่ก็มีเข็มเงินฝังลงไปกว่าสิบสองเข็ม จุดประสงค์ของการฝังเข็มและการรมยาในครั้งนี้เพื่อช่วยให้ร่างกายของเหยาเยี่ยนอวี่ขับพิษเย็นและพิษร้อนออกจากยาที่กินลงไปให้เร็วที่สุด

“ฟู่…” ชุ่ยเวยผ่อนลมหายใจยาว จากนั้นใช้แขนเสื้อซับเหงื่อบนหน้าผาก

“เจ้าดูสิ ทำได้ดีไม่ใช่หรือ” เหยาเยี่ยนอวี่หันไปปลอบโยนนาง “เหตุใดยามที่เจ้าฝังเข็มให้กับชุ่ยผิงและเฝิงหมัวมัวกลับไม่กลัว ทว่าเมื่อฝังเข็มให้ข้าถึงได้หวาดผวาเช่นนี้ เจ้าต้องรู้ว่าการรักษาคนนั้น มีหลายครั้งหลายคราที่จะต้องพบเจอกับคนที่มีสถานะสูงกว่าตนเอง หากเอาแต่กังวลถึงเรื่องสถานะ เช่นนั้นยังอยากจะช่วยคนอยู่หรือไม่ หมอในสำนักหมอหลวงก็คงว่างเว้นกันหมด”

“คุณหนูอบรมได้ถูกต้องแล้วเจ้าค่ะ” ชุ่ยเวยสูดลมหายใจเข้า จากนั้นก็ยิ้มอย่างอดไม่ได้ “ความเป็นจริงนั้น หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่น บ่าวก็คงไม่กังวลเช่นนี้ แต่เหตุเพราะเป็นคุณหนู…”

“ขอเพียงข้าไม่ได้เป็นอะไร โดยทั่วไปแล้วนั้นเจ้าแทบไม่มีโอกาสได้ลงมือ แต่หากว่าข้าล้มป่วยขึ้นมาจริงๆ เล่า? เป็นเรื่องยากสำหรับผู้เป็นหมอที่จะรักษาตนเอง การที่ข้าทำเช่นนี้ ความเป็นจริงก็เพื่อประโยชน์ของสุขภาพตนเอง เข้าใจหรือไม่”

“เจ้าค่ะ บ่าวเข้าใจแล้ว” ชุ่ยเวยพลันพยักหน้า

ขณะที่พูดคุยกันไป เวลาก็ผ่านไปหนึ่งก้านธูปแล้ว เฝิงหมัวมัวพลันย้ำเตือน “พอแล้ว ได้เวลาแล้ว เจ้าถอนเข็มเงินออกมาให้คุณหนูเถอะ

“เจ้าค่ะ” ชุ่ยเวยรวบรวมสมาธิ จากนั้นนำผ้าสีขาวที่ถักทอจากฝ้ายชั้นดีออกมา นางใช้มือซ้ายหยิบผ้าไปชุบกับเหล้าขาว จากนั้นใช้มือขวาถอนเข็มเงินออกมาทีละเข็ม ตอนที่ถอนออก นางก็ใช้ผ้าเช็ดเข็มเงิน เพื่อทำความสะอาดฆ่าเชื้อ

ไม่รู้ว่าเริ่มตั้งแต่เมื่อใด ในกระเป๋าติดตัวของเหยาเยี่ยนอวี่ที่ไม่อาจขาดได้มีอยู่สามสิ่ง นั่นก็คือเข็มเงิน เหล้าขาวและผ้าขาวบาง

หลังจากที่ถอนเข็มเงินออกมาจนหมด เฝิงหมัวมัวก็รีบเดินขึ้นหน้าแล้วนำผ้านวมกันหนาวมาคลุมไหล่ของเหยาเยี่ยนอวี่ไว้ จากนั้นก็รีบผูกเสื้อตัวในให้กับนาง แล้วสวมใส่เสื้อผ้าให้กับนางทีละชิ้นๆ จนแต่งกายเรียบร้อย

รอให้นายหญิงและบ่าวทั้งสามทำทุกอย่างเสร็จ เวลาก็ล่วงเลยไปถึงเที่ยงวันแล้ว ชุ่ยเวยเดินออกไปเปิดประตู ชุ่ยผิงที่เฝ้าตรงนอกประตูพลันเอ่ยถามขึ้นในทันที “คุณหนูเจ้าคะ จะให้ยกสำรับอาหารมาเลยหรือไม่”

เหยาเยี่ยนอวี่ที่กำลังหิวอยู่พอดี จึงสั่งการ “ยกสำรับอาหารมาเถอะ”

แม้นในบ้านนามู่เย่ว์จะมีคนของเหยาเฟิ่งเกออยู่ด้วย ทว่าหลายวันที่ผ่านมานี้เหยาเยี่ยนอวี่ได้ใช้ข้ออ้างว่า ‘คนมากมายทำให้รู้สึกรังควานใจ’ ‘ไม่เอื้ออำนวยต่อการรักษาตัว’ ในการขับไล่พวกเขาไปคอยรับใช้อยู่ด้านนอก ในเรือนหลักหลังเล็กที่นางอยู่นั้นมีเพียงแค่เฝิงหมัวมัว ชุ่ยเวย ชุ่ยผิงและสาวใช้อีกสี่คนคอยดูแลปรนนิบัติรับใช้ ซึ่งสาวใช้ทั้งสี่คนอายุเพียงสิบสองสิบสามปีเท่านั้น

อาหารถูกยกขึ้นมาวางบนโต๊ะ และทุกจานล้วนเป็นผัก ได้แก่ผัดดอกกะหล่ำ ไข่ตุ๋น โต้วเหมี่ยวผัดพริก และยังมีผักซานขู่[1]ที่ถูกวางซ้อนกันอย่างเป็นระเบียบ อาหารจานหลักจะเป็นหมั่นโถวข้าวดำ เหยาเยี่ยนอวี่ค้อมกายลงนั่งแล้วกินอาหาร โดยมีชุ่ยเวยและชุ่นผิงสาวใช้ทั้งสองคนคอยรับใช้อยู่ข้างๆ

แม้ว่าที่นี่จะไม่มีใครอื่นใด ทว่านางก็ไม่ได้ให้สาวใช้ทั้งสองร่วมโต๊ะอาหารด้วย เพราะนายก็คือนาย นับตั้งแต่เหยาเยี่ยนอวี่มาถึงราชวงศ์ต้าอวิ๋น นอกจากด้านการแพทย์เพียงอย่างเดียวที่นางไม่อยากละทิ้งไป ส่วนเรื่องอื่นนั้นนางพยายามปล่อยวางทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นสิทธิมนุษยชน ความเท่าเทียมกันต่างๆ นางล้วนเก็บเอาไว้ในส่วนลึกของหัวใจ เพราะนางเข้าใจดี นางไม่อาจเปลี่ยนกฎพวกนี้ได้ มิเช่นนั้นนางจะเป็นฝ่ายที่ถูกขับไล่ออกไป

หลังจากกินอาหารเสร็จ เหยาเยี่ยนอวี่งีบหลับครู่หนึ่ง นางงีบหลับไปไม่ถึงสามเค่อ[2] ชุ่ยเวยก็จะปลุกให้นางตื่น จากนั้นนางก็จะสวมหน้ากากตาข่ายที่เฝิงหมัวมัวเย็บ พร้อมทั้งเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นผ้าธรรมดาที่ชาวบ้านสวมใส่ แล้วออกไปเดินเล่นด้านนอก นางออกไปเดินดูพืชผักสวนครัวที่ปลูกเอาไว้ในบ้านนา เมื่อพบเจอสมุนไพรก็จะเด็ดกลับมาแล้วนำไปตากแห้ง บางชนิดที่จะเก็บเอาไว้ บางชนิดที่จะส่งไปที่โรงครัว เพื่อให้พวกเขานำไปต้มเป็นชาหรือเอาไปตุ๋นเป็นน้ำแกง

บางเวลานางก็จะนำพลั่วไปขุดดินเพื่อหาสิ่งต่างๆ หากพบเจอแมลงแปลกๆ ก็จะให้ชุ่ยเวยเก็บใส่ขวดแล้วเอากลับไป โดยจะนำกลับไปล้างให้สะอาดแล้วนำไปคั่วจนแห้ง จากนั้นก็นำไปบดให้เป็นผงแล้วเก็บเอาไว้ ซึ่งนางเองก็ไม่รู้ว่าจะนำไปใช้ทำอะไร

ตอนกลางคืน ส่วนมากเหยาเยี่ยนอวี่จะอ่านตำราครู่หนึ่ง แล้วเขียนหนังสือสักพักด้วยปากกา โดยนางนำก้านขนห่านมาเหลาปลายจนแหลมไปจุ่มในหมึกน้ำเงิน ซึ่งหมึกน้ำเงินนั้นเป็นสีที่ผู้เช่าที่นานำไปย้อมผ้า

นางใช้พู่กันในการขีดเขียนเป็น ทว่านางรู้สึกเหน็ดเหนื่อยจากใจจริง ถึงอย่างไรสิ่งที่นางขีดเขียนนั้นก็ไม่อนุญาตให้ผู้ใดอ่าน นางจึงได้หาวิธีที่เกียจคร้านเช่นนี้

แน่นอน สิ่งที่นางเขียนลงไปนั้นล้วนเป็นตัวอักษรปัจจุบัน ทั้งยังมีตัวอักษรภาษาอังกฤษปนอยู่ด้วย ถึงขั้นกล่าวได้ว่าสิ่งที่นางเขียนโดยมากจะเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษ ทางด้านชุ่ยเวยและชุ่ยผิงเล่าเรียนมาพร้อมกับเหยาเยี่ยนอวี่ตั้งแต่เล็ก ทว่าพวกนางกลับไม่รู้เลยว่าสัญลักษณ์เหล่านี้ซึ่งคล้ายกับลูกอ๊อดที่คุณหนูของพวกนางเขียนนั้นเป็นรหัสลับที่ยากจะเข้าใจ

นางใช้ชีวิตที่สุขสบายเช่นนี้ประมาณเจ็ดถึงแปดวัน ตุ่มแดงและรอยแผลบนดวงหน้าและเรือนร่างของเหยาเยี่ยนอวี่และเฝิงหมัวมัวก็หายเกลี้ยง ไม่เห็นแม้แต่ร่องรอยใดๆ

เหตุเพราะเหยาเยี่ยนอวี่ระวังตัวเป็นอย่างมาก ขอเพียงก้าวเท้าออกไปจากประตูนางก็จะสวมผ้าปิดปากเอาไว้ เสื้อผ้าก็จะแต่งอย่างมิดชิด ดังนั้นคนนอกจึงเข้าใจมาตลอดว่าอาการป่วยของนางยังไม่หาย

เหยาเยี่ยนอวี่ใช้ชีวิตอยู่ในบ้านนามู่เย่ว์ โดยที่ไม่รู้เลยว่าในเมืองหลวงเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว

กระดาษยื่นคำฟ้องของเว่ยจางเพียงหนึ่งแผ่น ที่ได้ฟ้องร้องเว่ยเอ้อร์โต้วซึ่งเป็นอาของเขาไปถึงศาลาว่าการ รวมถึงหลักฐานหนาหนึ่งปึกที่เว่ยเอ้อร์โต้วละโมบโลภมากลอบฮุบที่นาและร้านค้าที่อยู่ภายใต้ชื่อของท่านแม่ทัพผู้เฒ่าติ้งหย่วน เขารวบรวมหลักฐานได้กองโต ซึ่งครอบคลุมความผิดทุกอย่าง เมื่อเจ้ากรมเมืองได้พินิจเพียงแค่หนึ่งในสามก็ตบโต๊ะ “เอาตัวมา!”

เว่ยเอ้อร์โต้วผู้น่าสงสาร หลังจากเว่ยจางกลับมา เขาก็รู้สึกกระวนกระวาย จึงรีบขายสมบัติ เพิ่งขายทุกอย่างที่สามารถขายได้จนหมด ก็นำทองและก้อนเงินไปเปลี่ยนเป็นตั๋วเงิน เขาที่กำลังจะหนีและหอบหิ้วบุตรและภรรยากลับบ้านเกิด เพียงแค่ตื่นนอนทุกอย่างก็เปลี่ยนผัน

เจ้ากรมเมืองได้ทำการตรวจค้นเรือนของเว่ยเอ้อร์โต้ว ทว่ากลับไม่เจอของมีค่าใด เขาเจอเพียงตั๋วเงินจำนวนสามแสนเจ็ดหมื่นหกพันตำลึงเงิน  ตั๋วเงินเหล่านี้ถูกเจ้ากรมเมืองยึดไปก่อน หลังจากที่ตรวจสอบคดีนี้จนกระจ่างชัด เจ้ากรมเมืองก็ส่งคืนให้กับเว่ยจางโดยไม่ฮุบเอาไว้แม้แต่ตำลึงเดียว

จวนแม่ทัพติ้งหย่วนทำการซ่อมแซมจนแล้วเสร็จ ฉังเหมาพ่อบ้านของเว่ยจางก็รีบไปซื้อสาวใช้จากคนค้าทาส หลังจากนั้นก็ได้ทำความสะอาดเก็บกวาดจวนแม่ทัพด้วยความละเมียดละไมอีกครั้ง ทางด้านอวิ๋นคุน หันซังเกอและซูอวี้ผิงก็ได้ส่งเครื่องเรือนและของประดับตกแต่งที่หลากหลายมาเพื่อเป็นการแสดงความยินดี ทำให้จวนแม่ทัพติ้งหย่วนที่เก่าและทรุดโทรมนั้นใหม่ขึ้นมาในทันที

เวลาผ่านไปอย่างไม่ช้าไม่เร็ว วันแล้ววันเล่า เดือนทองของเดือนเก้านี้ก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมืองอวิ๋นที่ตั้งอยู่ทางเหนือ หลังจากที่เข้าสู่เดือนสิบ อากาศก็หนาวเย็นอย่างเห็นได้ชัด

[1] ผักซานขู่ ผักสลัดร็อคเก็ต

[2] สามเค่อ หนึ่งเค่อเท่ากับสิบห้านาที สามเค่อจึงเท่ากับเวลาประมาณสี่สิบห้านาที