บทที่ 22
“ข้ามาเพื่ออวยพรวันเกิดของเจ้าด้วยตัวเอง”
“ทำไมจู่ๆ …”
ถึงได้แสร้งทำเป็นสนิทสนมกันล่ะ
แต่เพราะไม่สามารถพูดออกไปแบบนั้นได้ เธอจึงได้แต่เงยหน้ามองท่านปู่
ท่านปู่เรียกหมอนั่นมาเหรอคะ
แต่ท่านปู่เองก็ดูจะตกใจเหมือนกัน
“เจ้าชายอาสทาน่าเสด็จมาถึงที่นี่ ช่างน่าตกใจจริงๆ”
ครั้งสุดท้ายที่ออกไปจากคฤหาสน์หลังนี้หลังจากที่ก่อเรื่องวุ่นวาย เจ้าชายอาสทาน่าก็แสดงความเลวร้ายออกมาราวกับจะไม่ย่างกรายกลับมาเหยียบที่นี่อีก
แต่จู่ๆ ดันโผล่มางานปาร์ตี้วันเกิดของเธอด้วยใบหน้ายิ้มกว้างขนาดนั้นเนี่ยนะ
หากคิดถึงเรื่องที่ว่าปีนี้เจ้าชายลำดับที่หนึ่งเพิ่งจะอายุได้แค่สิบสองปีเท่านั้น เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องปกติ
บางทีเจ้าชายอาสทาน่าจะไม่ได้ต่อกรด้วยได้ง่ายๆ เหมือนอย่างที่เธอคิดเสียแล้ว
“วันนั้นหลังจากกลับไปที่วังก็ถูกเสด็จแม่ดุเสียยกใหญ่เลยครับ วันนี้จึงสั่งให้ข้านำของขวัญวันเกิดมามอบให้ฟีเรนเทีย แทนคำขอโทษด้วยตัวเองน่ะครับ”
เธอเองก็คาดการณ์อยู่แล้วว่าคงจะเป็นคำสั่งของจักรพรรดินี แต่ก็ยังน่าตกใจอยู่ดี
จักรพรรดินีที่หากเป็นเรื่องของพระโอรสทีไรก็จะเป็นจะตายเสียให้ได้ กลับเลือกที่จะกดศักดิ์ศรีของเจ้าชาย แล้วสั่งให้มาขอโทษเธอเนี่ยนะ
แถมยังเป็นสถานที่เปิดต่อหน้าชนชั้นสูงมากมายแบบนี้อีก
หากเป็นจักรพรรดินีที่มีตำแหน่งมั่นคงในแวดวงสังคม ย่อมไม่มีทางไม่ทราบว่าจะมีผู้คนมากมายมาร่วมงานปาร์ตี้วันเกิดของเธอ
“อย่างนั้นนี่เอง”
ท่านปู่ไม่พูดอะไรยืดยาว
แต่เธอสามารถรับรู้ได้ว่าข้างในนัยน์ตาของท่านปู่ที่เคยมองเจ้าชายราวกับเขาเป็นลูกสุนัขไร้มารยาทน่ารำคาญตัวหนึ่ง มีความระแวดระวังเก็บซ่อนเอาไว้อยู่
“สุขสันต์วันเกิดนะ ฟีเรนเทีย”
เจ้าชายอาสทาน่าพูดแบบนั้น ในขณะเดียวกันก็ยื่นกล่องอัญมณีกล่องเล็กที่ถือมาส่งให้เธอ
มันเป็นกล่องสีดำขนาดประมาณสองฝ่ามือเธอต่อกันได้
อา ไม่อยากรับเลย
ไม่ใช่ว่าข้างในใส่ระเบิดเอาไว้หรอกนะ?
อยากจะตรวจสอบก่อนที่จะเปิดมันออกจัง
ฟีเรนเทียนึกอยากจะหาข้ออ้างโน่นนี่ขึ้นมาเธอไม่อยากรับสิ่งของที่เจ้าชายมอบให้นั่นเลยจริงๆ แต่เพราะตกอยู่ในสถานการณ์ที่สายตาของทุกคนในงานเลี้ยงต่างก็กำลังจับจ้องมา ดังนั้นนอกจากรับมันไว้จึงไม่มีทางเลือกอื่นอีก
พอเห็นเธอลังเล ท่านปู่ก็พยักหน้าเล็กน้อย ราวกับจะบอกว่ารับได้ไม่เป็นไร
สุดท้ายเธอจึงรับกล่องอัญมณีจากอาสทาน่ามาถือไว้ แล้วเปิดมันออก
แน่นอนว่าในตอนที่เปิดก็แอบผวาเล็กน้อยอยู่เหมือนกัน
“โอ้ว!”
“ว่าแล้วเชียว ความมั่งคั่งของราชวงศ์…”
ทันทีที่เปิดฝากออก ปฏิกิริยาจากผู้คนรอบข้างก็ดังขึ้นเหมือนระเบิดลง
ของขวัญที่เจ้าชายมอบให้คือสร้อยคอ
มันเป็นสร้อยยาวขนาดประมาณฝ่ามือของผู้ใหญ่ซึ่งทำจากบุษราคัมและทับทิมที่ถูกเจียระไนอย่างดี
“เสด็จแม่เป็นคนจัดการให้น่ะ เป็นไง สวยใช่มั้ย”
เจ้าชายอาสทาน่าพูดแบบนั้น แต่ความหมายที่แฝงไว้ข้างในประโยคนั่นมันใกล้เคียงกับจะบอกว่า ‘เป็นไง ดูแพงใช่มั้ยล่ะ’ มากกว่า
เหล่าชนชั้นสูงในงานต่างก็ฮือฮากันว่า จักรพรรดินีทรงมอบของล้ำค่าให้เธอ
แต่ที่จริงแล้วเธอไม่ถูกใจมันเลย
โอ้อวดเงินทองต่อหน้าลอมบาร์เดียเนี่ยนะ
ไม่ได้มีความรู้สึกประทับใจอะไรนัก
ทว่าฟีเรนเทียก็เลือกที่จะฉีกยิ้มสดใสให้มากเท่ากับความรู้สึกรังเกียจ ก่อนจะเอ่ยพูด
“เพคะ ขอบพระทัยเพคะ เจ้าชาย”
“อืมๆ”
คงจะคิดว่าหมดเรื่องที่ตัวเองต้องทำแล้วละมั้ง อาสทาน่าจึงดูสดชื่นขึ้นมาก
“คุณหนู ข้าจะเอาของขวัญไปเก็บให้นะครับ”
ข้ารับใช้ที่ยืนรออยู่ด้านข้างเดินเข้ามารับกล่องอัญมณีอย่างระมัดระวัง แล้วเดินจากไป
ฮือ อยากเช็ดมือจัง
อยากจะล้างมือถูสบู่มันต่อหน้าเจ้าชายอาสทาน่าอย่างที่ใจคิด แต่เธอก็แอบถูมันกับชายชุดเดรสที่สวมอยู่ไปก่อน
“ช้าไปหน่อย แต่ก็ขอบใจทุกคนมากที่เดินทางมาไกล เพื่ออวยพรวันเกิดให้กับฟีเรนเทียหลานสาวของข้า”
ท่านปู่ชูแก้วขึ้นสูงอีกครั้ง เอ่ยพูดเพื่อจัดการความไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยภายในงาน
“ถ้าอย่างนั้นก็มาเริ่มงานเลี้ยงกันเลย”
สิ้นสุดคำพูดของท่านปู่ ประตูหลายบานที่เชื่อมต่อระหว่างโถงงานเลี้ยงกับห้องครัวก็ถูกเปิดออกอย่างพร้อมเพรียง ก่อนที่เหล่าคนงานจะถือถาดขนาดใหญ่เรียงรายออกมา
อาหารที่ปรุงขึ้นเพื่อให้ผู้คนถือเดินทานได้อย่างสะดวกถูกวางกองเป็นภูเขาขนาดย่อมลงบนโต๊ะแต่ละตัว
โล่งอกที่ผู้คนเริ่มกลับไปสนทนากันอย่างสนุกสนานในแต่ละกลุ่ม เหมือนอย่างที่เคยทำก่อนที่อาสทาน่าจะเดินเข้ามา
“ข้าเองก็ต้องกินอะไรเสียหน่อย”
พอเห็นอาหารหน้าตาน่าทาน จู่ๆ ก็เริ่มรู้สึกหิวขึ้นมาเธอมองเห็นสองแฝดเริ่มทานอาหารกันอยู่แถวโต๊ะที่ใกล้ที่สุด จึงตั้งใจจะเดินไปทางฝั่งนั้น
ถ้าหากเด็กนั่นไม่ได้เดินตามหลังเธอมาอย่างเป็นธรรมชาติแล้วละก็
“จะตามมาทำไม ไม่สิ เสด็จตามมาทำไมเพคะ”
คำถามของเธอทำให้เจ้าชายอาสทาน่าหันไปมองรอบข้างครั้งหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ข้าก็ไม่ได้ทำเพราะอยากเกาะติดอยู่กับเจ้านักหรอก”
สายตานั่นเหมือนจะมองเช็กดูว่าท่านปู่อยู่ตรงไหน
บางทีที่มาปาร์ตี้วันเกิดของเธอ คงจะเป็นเพราะได้รับคำสั่งของจักรพรรดินีให้มาคลายอารมณ์โกรธเคืองของเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียสินะ
“อยู่ด้วยสักพักแล้วเดี๋ยวจะกลับเองนั่นแหละ เจ้าหุบปากอยู่นิ่งๆ ก็พอ”
“หุบปาก…เหอะ”
เด็กนี่ วัยแค่นี้ก็เรียนรู้วิธีการพูดจาแบบผิดๆ เสียแล้ว
ถึงแม้เธอจะรู้อยู่แล้วก็เถอะ ว่าชาติก่อนหน้าเจ้าชายลำดับที่หนึ่ง เบเลซัก และอาสทันลีอู รวมกลุ่มกันไปก่อเรื่องอะไรไว้บ้างแต่ไม่นึกเลยว่าจะเป็นลูกสุนัขนิสัยเสียเหมือนไข่เน่าแบบนี้ตั้งแต่เด็ก
ฟีเรนเทียรู้สึกเหมือนกับเผชิญหน้าอยู่กับแมลงสาบจริงๆ ไม่อยากจะอยู่ด้วยสักนิด
“หม่อมฉันต้องไปเล่นกับลูกพี่ลูกน้องทางนั้นเพคะ เพราะงั้นขอตัว”
ภายภาคหน้าเมื่อเด็กคนนี้เติบโตขึ้น เมื่อถึงวัยที่มีค่ามากพอจะใช้งานทางด้านการเมือง ถึงตอนนั้นคงจะเหมาะสมดีจริงเชียว
เหมาะที่จะเป็นส่วนหนึ่งที่จะถูกรวมเข้ากับแผนการของเธอ แต่เรื่องแค่นั้นเธอเองก็เตรียมใจที่จะรับมืออยู่แล้ว
ตอนนี้เธอยังเป็นแค่ต้นอ่อน ไม่ได้อยู่ในวัยต้นกล้าที่กำลังเติบโต ดังนั้นเธอจึงไม่มีความคิดแม้แต่เศษเสี้ยวที่จะอยากอยู่กับเจ้าเด็กคนนี้ขนาดจะเรียกว่า ‘สุนัข’ ยังรู้สึกผิดต่อพวกสุนัข
“ฮึ่ย จริงๆ เลย เฮ้ ข้าสั่งให้อยู่เฉยๆ ไง”
เด็กผู้ชายอายุสิบสองปี กลับทำตัวระรานหาเรื่องเด็กอายุแปดขวบเนี่ยนะ
ถึงแม้จะสั่งปิดตายประตูตระกูลลอมบาร์เดีย แต่เพื่ออาณาจักรนี้แล้ว ถือว่าเป็นโชคดีจริงๆ ที่เจ้าชายลำดับที่สองได้ขึ้นเป็นรัชทายาท ไม่ใช่หมอนี่
“เจ้าชายลำดับที่หนึ่งพ่ะย่ะค่ะ”
ในตอนนั้นเอง เสียงคุ้นเคยก็ดังขึ้นเอ่ยเรียกอาสทาน่า
“ครั้งก่อนไม่ได้เล่นด้วยกัน ช่างน่าเสียดายจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”
เบเลซักกับอาสทัลลีอูที่ยืนอยู่ข้างหลังนั่นเอง
“ครั้งก่อน? อ่อ ข้าไม่เห็นจะเสียดายเลย”
พอเห็นว่าเจ้าชายตอบอย่างไม่แยแส ใบหน้าของเบเลซักก็ขึ้นสีแดงก่ำด้วยความอับอายแต่มันก็แค่นั้น
เด็กที่ตามนิสัยเดิมหากตอนนี้ทำเพียงแค่พุ่งเข้าไปหาเรื่องทะเลาะกับเจ้าชายยังถือว่าน้อยเกินไปคนนั้น กลับทำเพียงแค่ยืนหัวเราะแหะๆ อย่างประจบประแจง
ช่างเป็นคนประเภทแกร่งต่อหน้าคนอ่อนแอ อ่อนแอต่อหน้าคนแกร่งจริงๆ
เหมือนกับบิดาของเขาอย่างเบเจอร์ไม่มีผิด
เจ้าชายอาสทาน่ามองเบเลซักด้วยสายตาสมเพช ก่อนจะเอ่ยพูดกับเธอ
“เฮ้ เจ้าดูดีกว่าหมอนี่อีก”
ไม่ดีใจเลยสักนิดย่ะ