บทที่ 39

แนวหน้าของพวกหนิงไม่ค่อยสู้ดีนัก แต่ดูเหมือนเหตุการณ์จะไม่หยุดอยู่แค่ตรงนี้ พวกทหารแนวหน้าทั้งหมดต่างพากันล่าถอยกลับไป และพวกทหารแนวหลังอีก 5 หมื่นนายก็เข้าโจมตีเมืองต่อ

แม้ว่าจะใช้เวลาเพียงสั้น ๆ ที่พวกทหารจะสลับแนวรบกัน พวกทหารหนิงก็ไม่คิดจะปล่อยให้พวกเฟิงได้พัก พลธนูนับแสนด้านหลังจึงเริ่มยิงศรเข้ามาอีกครั้ง

ทันใดนั้น ศพที่อยู่บนกำแพงตงก็เต็มไปด้วยลูกธนู

เนื่องจากโดนพิษสงจากธนูของพวกหนิงไปนานแล้ว ในครั้งนี้พวกเฟิงจึงรีบหาที่หลบกันอย่างรวดเร็ว หรือแม้แต่จะยกโล่ขึ้นป้องกันตัวเอง ในขณะที่ลูกศรพุ่งผ่านไป พวกทหารหนิงอีก 5 หมื่นก็เข้าโจมตีอีกครั้ง

ทุกคนเริ่มรู้แล้วว่าสงครามในครั้งนี้แทบจะไม่มีโอกาสชนะเลย ความต่างกันของกองกำลังทั้ง 2 ฝ่ายมีมากเกินไป ประชากรในพื้นที่ 2 หมื่นนายไม่สามารถต่อกรกับทหาร 4 แสนได้หรอก

พวกเขาไม่ได้รับการฝึกพิเศษหรืออะไรเลย ดังนั้นพวกเขาจึงไม่อาจสังหารศัตรูได้เลย อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ยังช่วยทหารได้อยู่บ้าง อย่างน้อยก็สามารถช่วยเคลื่อนย้ายผู้ป่วย ย้ายศพ หรือแม้แต่ขนอุปกรณ์ป้องกันได้บ้าง

การต่อสู้ดำเนินต่อ ทว่าถังหยินก็ยืนคงอยู่ที่เดิม ตำแหน่งของเขาถือได้ว่าเป็นจุดที่ถูกปล่อยว่างไปแล้ว พวกทหารเฟิงปล่อยให้ตรงนี้เป็นหน้าที่ของชายหนุ่ม กู่เยว่ หลีเทียนและชิวเจิ้น

เมื่อเห็นพวกหนิงตั้งวางบันไดขึ้นมาอีกครั้ง ถังหยินในชุดเกราะเต็มอัตราศึกก็เริ่มปลดปล่อยคลื่นพลัง เสียงที่แตกหักดังขึ้น ทำให้บันไดด้านล่างขาดกลาง ส่งผลให้ทหารหนิงกว่า 10 นายกรีดร้อง ก่อนจะตกลงไปสู่เบื้องล่าง

กู่เยว่ไม่คิดจะเสียพลังปราณอยู่แล้ว เขาแข็งแกร่งพอที่จะเคลื่อนย้ายท่อนซุงได้ด้วยตัวเอง ทำให้พวกทหารที่กำลังปีนขึ้นมาต้องพบเจอกับมันเข้าอย่างจัง

เพื่อจัดการกับพวกทหารหนิง พวกเขาไม่จำเป็นต้องใช้ลูกศรวิญญาณ เพียงยิงศรธรรมดาก็พอแล้ว ทุกครั้งที่ยิงออกไปก็สามารถเข้าจุดตายของศัตรูได้ทุกคน ทุกวินาทีที่สายธนูถูกปล่อยไป นั่นหมายถึงความตายของพวกหนิง

ชิวเจิ้นไม่ได้เข้าร่วมการรบ แต่เขาก็ไม่ได้ทำตัวไร้ประโยชน์เลย เขาเก็บรวบรวมลูกธนูมามอบให้กับหลีเทียน และนอกจากนี้ก็ยังช่วยกู่เยว่ขนซุงกับก้อนหินด้วย

อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่มีคน 4 คนจะไปป้องกันกำแพงเมืองที่ยาวกว่า 3 จั้งได้ยังไง ? ทหารหนิงขึ้นมาที่นี่ด้วยความรวดเร็วและเข้าปะทะกับพวกถังหยิน ชายหนุ่มไม่ชินกับการใช้ธนู ถังหยินชอบการสู้รบแบบนี้มากกว่า พวกทหารหนิงเหมือนกับอาหารจานโตของเขา มือของเขาถือเคียวสีดำและมืออีกข้างเป็นเพลิงแห่งความมืด ชายหนุ่มดูดพลังทุกครั้งที่สังหารศัตรู

ถ้าหากเป็นคนธรรมดา ร่างกายคงไม่อาจต้านทานความเสียหายภายในได้แล้ว แต่เพราะถังหยินนั้นฝึกวิชาการต่อสู้มาตั้งแต่เด็ก จึงทำให้ร่างกายของเขาแข็งแกร่งและทนทาน พลังปราณที่เพิ่มขึ้นกะทันหันมันทำให้เขามึนงงไปชั่วขณะเท่านั้น หลังจากนั้นก็สบายดี

มีพวกทหารหนิงเข้ามาหาเขามากมาย นั่นจึงทำให้กองชุดเกราะเริ่มกองเต็มพื้น ส่วนถังหยินเองก็เริ่มที่จะคุ้นชินกับการฆ่าแล้ว ตอนนี้พวกทหารหนิงรอบตัวเขาเริ่มที่จะกลายเป็นหมู หมา กา ไก่ หรืออะไรก็ตามที่ไม่ใช่มนุษย์แล้ว

ชายหนุ่มนับไม่ถูกแล้วว่าเขาฆ่าไปแล้วกี่คน แต่ชุดเกราะที่อยู่บนพื้นก็เกินกว่า 100 แล้ว และสำหรับจำนวนศัตรูที่เขาตัดขาดครึ่งท่อนไปนั้นก็มากกว่าที่จะนับได้

ในตอนที่เขากำลังจะจัดการทุกคนด้วยเพลิงมืด ชายหนุ่มก็ได้ยินใครบางคนตะโกนมาจากด้านหลัง “สหายถังช่วยข้าด้วย!”

นอกจากชิวเจิ้นก็ไม่น่าจะมีใครอื่นเรียกเขาว่า สหายถัง อีกแล้ว

ชายหนุ่มตวัดดาบของเขาเพื่อสังหารศัตรูที่อยู่รอบ ๆ จากนั้นก็กระโดดไปยังหอธนูเพื่อมองสถานการณ์ ถ้าเกิดว่าที่กำแพงเต็มไปด้วยทหารแล้ว นั่นคงทำให้ชิวเจิ้น กู่เยว่และหลีเทียนตกอยู่ในสถานการณ์ถูกกดดันเข้ากำแพงแน่ ๆ

โชคยังดีที่กู่เยว่เข้ามาช่วย ซึ่งตอนนี้ทั้ง 2 ก็ได้เข้าต่อสู้กับศัตรูที่มีเข้ามาอย่างไม่หยุดยั้ง และแม้ว่าจะไม่ได้รับบาดเจ็บหนัก หากแต่พวกเขาก็ได้รับบาดแผลกลับมาไม่ใช่น้อยเช่นกัน

ถังหยินยืนยันตำแหน่งของชิวเจิ้นและคนอื่น ๆ ได้แล้ว เขาจึงกระโดดลงมาพร้อมกับฟาดฟันเคียวในมือ 3 ครั้งเพื่อปลดปล่อยคลื่นพลังปราณออกมา พลังดังกล่าวพุ่งเข้าใส่ทหาร หนิงด้วยความเร็วยิ่งยวดจนทำให้คนที่โดนคลื่นพลังร่างกายขาด 2 ท่อนในทันที

ชายหนุ่มใช้พลังทั้งหมดและพุ่งเข้าหาชิวเจิ้น ก่อนจะใช้เคียวของเขาฟาดฟันใส่พวกหนิงอย่างโหดเหี้ยม คนพวกนั้นต่างพากันร่วงหล่นจากบนท้องฟ้า

เรียกได้ว่าเขานั้นเดินเหยียบย่ำศพของพวกหนิงมาตลอดเส้นทาง เกราะของชายหนุ่มเต็มไปด้วยเลือดที่กระเด็นมาเปรอะเปื้อนจนตอนนี้ก็บอกไม่ถูกว่ามันเป็นสีดำหรือแดงกันแน่

เมื่อเขามาถึงชิวเจิ้น ชายหนุ่มก็เห็นว่าทั้ง 3 ยังปลอดภัยดี เขาถอนหายใจและพูดกับกู่เยว่ “พวกเจ้าช่วยป้องกันพวกศัตรูให้ข้าหน่อย ! ” หลังจากพูดจบ โดยไม่ทันให้อีกฝ่ายตอบกลับ เขาก็เดินไปด้านหลังและนั่งลง

เมื่อเห็นแบบนี้กู่เยว่ก็โกรธจัด เขาคิดว่าถังหยินจะช่วยป้องกันศัตรูด้วย แต่ท้ายที่สุดแล้วถังหยินกลับเลือกที่จะซ่อนตัวอยู่ข้างหลังเขาเสียได้

ถ้าเกิดว่าเขายังมีแรงเหลืออยู่ก็คงจะด่าถังหยินกลับไปด้วยแล้ว แต่ช่างน่าสมเพชที่ว่ามีศัตรูมากเกินไป เพียงแค่ป้องกันตนเองก็สุดกำลังของเขาแล้ว ดังนั้นกู่เยว่จึงไม่มีแรงเหลือไปโต้เถียงกันสักเท่าไหร่

ชายหนุ่มหลบหลังกู่เยว่ไม่ใช่เพราะต้องการพักผ่อน

เขาคุกเข่าลงหนึ่งข้างและใช้นิ้วและเลือดวาดลวดลายบางอย่างลงไปบนพื้น จากนั้นก็กางฝ่ามือออกแล้วกดมันลงไปตรงกึ่งกลาง พร้อมกันนั้นเขาก็พลันเดินลมปราณ ก่อนที่หมอกสีดำจะปรากฏออกมาจากฝ่ามือของชายหนุ่ม ลวดลายบนพื้นเริ่มก่อตัวขึ้นจากเลือดและเปล่งแสงสีแดงออกมา “ทาสแห่งความมืด!”

ฮู่ลาล่า! ก่อนที่ทุกคนจะทันได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พวกทหารหนิงใต้เท้ากู่เยว่ก็ลุกขึ้นยืนมาดวงตาของพวกเขากลวงโบ๋ หากแต่ร่างกายกลับขยับได้ พวกมันจับอาวุธขึ้นมา ทว่าไม่ได้โจมตีใส่กู่เยว่ พวกมันเลือกที่จะเข้าต่อสู้กับทหารหนิงแทน

ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามที่เห็นภาพดังกล่าว พวกเขาก็คงไม่มีวันเชื่อในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ตรงหน้านี้แน่ !

ทหารหนิง 5 นายที่มีดวงตาสีดำไร้อารมณ์เหมือนกับผีดิบทหาร ด้วยพละกำลังอันมหาศาล ทำให้การเหวี่ยงดาบหนึ่งครั้งฟาดฟันศัตรูจนแตกกระจายไป

“นี่มัน… พันธสัญญาแห่งความตาย?” ชิวเจิ้นมองไปยังถังหยินที่คุกเข่าอยู่

ชายหนุ่มหันกลับมายิ้มให้ “เจ้านี่แสนรู้จริงๆ”

วิชาที่ว่ากันว่าเป็นของผู้ใช้ศาสตร์มืด พันธสัญญาแห่งความตายมันเหมือนกับวิชาที่หยานหลี่ใช้ก่อนตาย เว้นแค่ไม่มีใครต้องมาสละชีพให้เขานั่นเอง

มันสามารถชุบชีวิตคนตายให้กลายเป็นผีดิบไร้อารมณ์ยอมรับแต่คำสั่งของผู้ใช้เพียงเท่านั้น และสำหรับจำนวน เวลา หรือแม้แต่พลังของมันก็ขึ้นอยู่กับตัวผู้ใช้งานเอง

ก่อนหน้านี้ถังหยินยังไม่มีพลังมากพอที่จะใช้งานวิชานี้ แต่ทว่าเมื่อเขาได้เข้าสู่ระดับปราณสู่พิสดารแล้ว นั่นจึงทำให้ปราณในร่างเพิ่มมากขึ้นจนสามารถใช้งานมันได้ เขาซ่อนด้านหลังกู่เยว่เพื่อทดสอบมันอย่างลับ ๆ แม้ว่าหยานหลี่จะเชี่ยวชาญแล้ว ทว่าก็ไม่เคยได้ใช้งานมันแต่อย่างใด ความจริงแล้วถังหยินก็แค่อยากจะลองใช้ในสิ่งที่เขาไม่คิดว่าจะใช้งานได้ก็เท่านั้น

ทหารหนิง 5 นายไม่ได้เข้าโจมตีศัตรู แต่กลับโจมตีพวกเดียวกันเอง เหตุการณ์นี้ทำเอาพวกทหารหนิงพากันตะลึง พวกเขารู้สึกหวาดกลัวและทำตัวไม่ถูก !

กู่เยว่ใช้โอกาสนี้ในการพักฟื้นพลังกาย หลังจากหอบหายใจพักใหญ่เขาก็กลืนน้ำลายตัวเองแล้วหันมามองถังหยิน “เจ้า… เจ้าใช้ศาสตร์มืดจริง ๆ ด้วย!”

“ฮ่าๆ” ชายหนุ่มอยู่ภายใต้เกราะปราณ ดังนั้นถ้าหากไม่ได้หัวเราะออกมาดัง ๆ ก็คงไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังหัวเราะอยู่

ถังหยินหยุดหัวเราะ ก่อนจะพูดขึ้นมาช้า ๆ “ไม่มีอะไรหรอก นี่น่ะแค่เล็กน้อย ข้ายังมีวิชาอีกมากมายนัก ! ” เขาเว้นช่วง ก่อนจะพูดต่อว่า “พวกเราสู้กันมานานแล้ว ข้ายังไม่รู้จักเจ้าเลย ?”

“กู่เยว่!” เขาตอบง่าย ๆ ถังหยินมองไปยังหลีเทียน

“หลีเทียน!”

“พวกเจ้าทั้งคู่มีพลังที่สูงเอาเรื่องนะ” ถังหยินหยุดพูด หายใจเข้าลึกๆแล้วบิดคอนิดหน่อย “นี่น่าจะพอแล้ว มันถึงเวลาที่พวกเราจะต้องไปรบอีกครั้งแล้วล่ะ พวกทหาร 5 คนนั้นน่าจะช่วยทำให้พวกมันกลัวได้นิดหน่อยเท่านั้น ! ”

กู่เยว่และหลีเทียนมองหน้ากันและกันก่อนจะหัวเราะอย่างขมขื่น

นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นผู้ใช้ศาสตร์มืด และเป็นวันที่ได้เข้าใจถึงความน่ากลัวของมัน แต่ดั้งแต่เดิมแล้วการร่วมมือกับถังหยินในการต่อสู้ไม่ใช่เรื่องที่ยากเลย ทว่าสำหรับพวกเขาแล้วนั้น จำนวนของศัตรูมีเยอะเกินไป จึงทำให้สู้กันอย่างเหนื่อยล้าและไม่ได้พักผ่อนเลย

กู่เยว่ก้มหัวลงดูบาดแผลตัวเอง หลังจากดูแล้วว่าไม่ได้บาดเจ็บหนักอะไร เขาจึงโบกมือเรียกอาวุธปราณของเขาขึ้นมาแล้วพยักหน้าให้ถังหยิน “ไปกันเถอะ!”

ชายคนนี้ถือว่าใจกล้ามาก! ถังหยินพยักหน้าให้และหัวเราะออกมาดัง ๆ ก่อนที่จะใช้เคียวพุ่งเข้าใส่ศัตรู