บทที่ 38

อู่กุยก้มตัวหลบราบไปกับพื้นอย่างช่วยไม่ได้เพื่อเบี่ยงการโจมตีของกู่เยว่ ก่อนที่เขาจะทันได้ยืนขึ้นมาจากพื้น ศรของหลีเทียนก็ได้พุ่งเข้าใส่กลางหลังของเขา มันเจาะทะลุเกราะเข้ามาได้ก็จริง แต่โชคร้ายที่ไม่อาจทำอันตรายต่อร่างกายของชายร่างใหญ่ได้เลย

อย่างไรก็ตามดวงตาของถังหยินกลับมองเห็นโอกาส เขามองตรงไปด้านหน้าและใช้เพลิงแห่งความมืดเข้าใส่หลังของอู่กุย ชายหนุ่มเร็วมาก หากแต่การฟื้นฟูของอู่กุยเร็วกว่า เพียงชั่วพริบตาที่เกราะปราณของเขาแตก มันก็ซ่อมแซมตัวเองในชั่วพริบตา และเมื่อฝ่ามือของถังหยินเอื้อมถึง มันก็กลายเป็นเกราะเหมือนเดิมแล้ว

ปั้ง! ฝ่ามือของถังหยินสัมผัสเข้ากับเกราะหนักราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

น่ารำคาญชะมัด! ชายหนุ่มแสยะยิ้มออกมา พลังปราณของอู่กุยช่างมีมากมายเหลือเกิน แถมเจ้าเกราะหนา ๆ นี่ก็ทำให้เขาโจมตีเข้าไปได้ยากอีก

อู่กุยมองเห็นถึงการกระทำของถังหยินและหัวเราะออกมาอย่างเหยียดหยาม “เจ้าหนู ถ้าหากอยากจะทำอันตรายข้าละก็ รอไปอีก 10 ปีเสียเถอะ!” เขาพูดพร้อมกับเหวี่ยงหอกวิญญาณออกไปจากทั้งซ้ายและขวา ในเวลาเดียวกัน คลื่นพลังปราณกระจายตัวเป็นครึ่งวงกลมพุ่งเข้าใส่ถังหยินกับกู่เยว่

ทั้ง 2 หลบกันอย่างทุลักทุเล ในขณะที่ถังหยินลอยอยู่บนอากาศและกู่เยว่นอนราบไปกับพื้น คลื่นพลันนั่นก็ผ่านพวกเขาไปฉิวเฉียด

ไม่มีใครคิดวิธีรับมือกับอู่กุยที่มีพลังมหาศาลแบบนี้ได้เลย ต่อให้เขาร่วมมือกับกู่เยว่ มันแต่ก็ไม่สามารถพลิกสถานการณ์ได้เลย แถมยังถูกอีกฝ่ายกดดันกลับมาด้วย

หลังจากสู้ไปสักพัก ถังหยินก็คิดว่าเขาทำอะไรมากไม่ได้แล้ว จึงได้ตะโกนให้กับกู่เยว่ “กดดันเขาไว้ที่ด้านหน้า เดี๋ยวข้าจะอ้อมไปด้านหลัง!”

กู่เยว่ไม่ได้คิดมากและรับคำกลับไป เขาโบกดาบเข้าใส่อู่กุยตรงหน้า ส่วนถังหยินก็ใช้ความรวดเร็วอ้อมไปทางด้านหลังของอู่กุยและจัดการโจมตีชุดใหญ่

ชายหนุ่มไม่มีอาวุธในมือ ส่วนไฟสีดำของเขาก็ไม่สามารถทำอะไรอู่กุยได้ ดังนั้นชายร่างใหญ่จึงเลือกที่จะไปให้ความสนใจกับกู่เยว่แทน

นี่แหละคือสิ่งที่ถังหยินต้องการมากที่สุด ไม่นานหลังจากนั้นกู่เยว่ก็ไม่อาจต้านทานหอกของอู่กุยได้ ในขณะเดียวกันศรของหลีเทียนก็ได้พุ่งเข้าใส่หลังคอของอู่กุย

ถังหยินไม่ได้กดดันมากเท่าไหร่ เพราะเขาไม่ได้สู้กับอู่กุยซึ่ง ๆ หน้า ทว่าในขณะที่กำลังปะทะกัน ชายหนุ่มก็ได้ให้ความสนใจกับรอบข้าง ก่อนจะเห็นเข้ากับศรที่พุ่งมา ภาพตรงหน้าได้จุดประกายบางอย่างให้กับถังหยินเข้าให้แล้ว สายตาจ้องมองไปตามเส้นทางของลูกศร แล้วจากนั้นก็เคลื่อนไหวในแบบที่ไม่คาดคิด

ทันทีที่ลูกธนูเข้าใส่อู่กุย มือของชายหนุ่มก็จับเข้าใส่ลำคอของอู่กุยราวกับว่าจะช่วยปกป้องให้ แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่

ปุ๊!

ศรวิญญาณพุ่งเข้าใส่หลังมือของถังหยินและไม่ได้ลดแรงของมันแต่อย่างใด มันกลับทะลุผ่านฝ่ามือของเขาและแทงเข้าไปยังคอของอู่กุยจนเกราะแตกกระจาย แต่แค่นี้ก็เพียงพอสำหรับไฟของถังหยินแล้ว

ในจังหวะที่ศรทลายเกราะอู่กุยออกมา ไฟของถังหยินก็เผาผลาญเจาะทะลุเกราะปราณของอู่กุยไปตามรูที่เกิดขึ้นหลังฝ่ามือ อู่กุยที่กำลังสู้อยู่กับกู่เยว่และคิดไม่ถึงว่าถังหยินจะใช้การโจมตีแบบนี้ ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกราวกับว่าโดนไฟเผาไปทั้งร่างกาย เนื้อหนังรวมไปถึงมวลกล้ามเนื้อและกระดูกก็กำลังลุกติดไฟ

เมื่อชายหนุ่มมองไปที่อู่กุย คนผู้นี้ก็เหลือแค่เพียงเกราะปราณและควันสีเขียวออกมาจากช่องว่างบริเวณดวงตาของเขา ก่อนที่เสียงชุดเกราะตกลงพื้นจะดังขึ้น ร่างของคนตัวโตคุกเข่าลง นิ้วทั้ง 10 บิดไปมาราวกับต้องการจะขุดลงไปบนพื้น

นี่คือการเผาผลาญจากภายใน

เพียงชั่ววินาที ชายร่างใหญ่ที่มีฐานพลังปราณอันสูงส่งก็ถูกเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่านเหลือแค่เพียงกองเศษซากและหอกสีเงิน

ไม่ว่าจะเป็นทหารเฟิงหรือทหารหนิงพวกเขาก็ต้องตกตะลึงกับฉากนี้อยู่เป็นเวลานาน ซึ่งนั่นก็รวมไปถึงกู่เยว่และหลีเทียนด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ถังหยินนั้นไม่ได้ตะลึงแม้แต่น้อย พลังปราณจากอู่กุยกลายเป็นอาหารชั้นเยี่ยมของเขา

ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าลึก ๆ พลังปราณในอากาศไหลเข้าไปทั่วทั้งร่างกายของเขา

การที่ดูดกลืนพลังปราณมามากขนาดนี้ในเวลาอันสั้น มันทำให้ร่างกายของถังหยินไม่สามารถรับมันได้ เขาตัวสั่นและงอตัวเหมือนกับกุ้ง ถังหยินหยิบหอกของอู่กุยแล้วก้มหัวหยุดชะงัก จากนั้นก็คำรามขึ้นสู่ท้องฟ้า

เสียงคำรามนั่นดังราวกับฟ้าผ่าทำเอาหูดับไปเลย

เพียงชั่วพริบตาพลังปราณก็รวมเข้ากันแล้วกลายเป็นเกราะสีดำขลับล้อมรอบตัวเขา นอกจากนี้หอกสีเงินเองก็กลายเป็นสีดำตลอดทั้งแท่งและปรากฏเป็นดาบยาว 1 จั้ง ซึ่งในตอนนี้มันก็ได้เปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นเคียวขนาดใหญ่แล้ว เคียวของเทพเจ้าแห่งความตาย!

เคร้ง!

เขาลากเคียวไปข้างหน้า เกราะปราณของเขาส่งเสียงออกมาเมื่อขึ้นไปบนกำแพง ถังหยินเงยหน้าขึ้นมองพวกทหารหนิง ตอนนี้ดวงตาของเขากลายเป็นสีดำทมิฬ ไม่มีสีขาวหรือแม้แต่จะมีลูกตาดำเลย

“ฆ่า—”

ถังหยินตะโกนออกมา แล้วเหวี่ยงเคียวในมือเป็นแนวนอน ในจังหวะเดียวกันนี้ มันก็ได้เกิดเสียงของมีคมพาดผ่านเนื้อดังขึ้น ไม่มีทหารที่อยู่ตรงหน้าเขารอดสักคน พวกเขาโดนผ่าครึ่งทั้งหมด

เลือดสีแดงไหลไปทั่วทำให้หินถูกย้อมจนเปลี่ยนสีไป

“อ่า…” มีพวกทหารหนิงบางส่วนที่ยังรอดอยู่ พวกเขาต้องการที่จะถอยกลับ แต่ว่ากำแพงมันกว้างเกินไปแล้วจะให้ถอยหนีได้ยังไง ?? เสียงกรีดร้องอันน่าสังเวชทำให้พวกเขาหวาดกลัวจนแทบบ้า ส่งผลให้พวกทหารที่อยู่ริมกำแพงถูกดันตัวจนตกลงไป

“ฮ่าๆ” ถังหยินหัวเราะอย่างดัง เคียวสีดำถูกเหวี่ยงอีกครั้ง ในตอนนี้มันตัดผ่านทหารหนิงราวกับตัดต้นหญ้า แน่นอนว่าทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณอู่กุย ถ้าไม่ใช่เพราะเขาพลังของถังหยินก็คงจะไม่มากขนาดนี้

เขาฟันกวาดไปอย่างบ้าคลั่ง แม้แต่กู่เยว่ก็ไม่กล้าเข้าใกล้ชายหนุ่ม เขารีบถอยกลับไปหาหลีเทียน เมื่อเห็นถังหยินอาละวาดแบบนี้ เขาก็สูดหายใจแล้วบอกกับชิวเจิ้น “เขา… เป็นผู้ใช้ศาสตร์มืดจริง ๆ หรือ?!”

ชิวเจิ้นรู้อยู่แล้วว่าถังหยินได้ข้ามขีดจำกัดพลังไปแล้ว เด็กหนุ่มดีใจยิ่งกว่าใครอื่นเสียอีก เขามองภาพที่เกิดขึ้นอย่างน่าสนใจและตอบกลับไป “ใช่แล้วล่ะ! ทำไมหรือ?”

กู่เยว่ขบริมฝีปากอย่างเงียบ ๆ

ในสายตาของพวกผู้ฝึกยุทธ์แห่งแสง พวกผู้ใช้ศาสตร์มืดคือศัตรู แม้ว่าถังหยินและเขาจะมาจากกองทหารเดียวกันและเผชิญหน้ากับศัตรูแบบเดียวกันก็ตาม เมื่อเห็นกู่เยว่เงียบไม่ตอบอะไร ชิวเจิ้นก็เริ่มตั้งสติและมองไปยังกู่เยว่

เมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่าย เขาก็เดาได้เลยว่ากู่เยว่กำลังคิดอะไรอยู่ จากนั้นเด็กหนุ่มก็มองไปยังหลีเทียนที่อยู่ข้าง ๆ คนผู้นี้ก็พูดอะไรไม่ออกเช่นกัน หากแต่ดวงตาที่เปล่งประกายของอีกฝ่ายก็ถือได้ว่าบอกเล่าสิ่งที่อยู่ในหัวมาหมดแล้ว

ชิวเจิ้นถอนหายใจและถามกู่เยว่ “กู่เยว่ เจ้าคิดว่าอะไรคือความแตกต่างของผู้ฝึกยุทธ์ทั้ง 2 ฝ่าย?”

กู่เยว่ขมวดคิ้ว “สังหารผู้อื่นเพื่อเพิ่มพลังตนเอง ไม่ใช่ว่าวิธีนี้มันโหดร้ายเกินไปหน่อยหรือ?”

ชิวเจิ้นยักไหล่ “สหายถังกำลังสังหารศัตรู!”

“แล้วถ้าเกิดไม่มีศัตรูล่ะ?”

เด็กหนุ่มพูดอย่างจริงจัง “ข้ารู้เพียงแค่ว่าในตอนนี้นั้นสหายถังกำลังต้องสู้อย่างกล้าหาญให้กับแคว้นของเรา ส่วนเจ้ากำลังอยู่แนวหลัง นี่มันช่างน่าอับอายยิ่ง!”

ได้ยินแบบนี้กู่เยว่ก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นเศร้าหมอง

โดยไม่รอช้า ชิวเจิ้นก็พูดต่อ “ที่จริงแล้วมันไม่แตกต่างกันมากหรอก ถ้าหากผู้ใช้ศาสตร์มืดนำมันมาใช้ในทางที่ดีก็เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองและทุกคนได้ ในโลกที่แสนวุ่นวาย ทำไมจะต้องใส่ใจความแตกต่างเล็กน้อยแบบนี้ด้วยเล่า?”

กู่เยว่ครุ่นคิดแล้วเงยหน้ามองถังหยิน “เจ้าจะบอกว่าเขาเป็นคนที่เชื่อถือได้งั้นหรือ?”

ชิวเจิ้นหัวเราะและส่ายหัว “ข้าเองก็บอกไม่ได้หรอก แต่ว่า” ระหว่างที่พูด ดวงตาของเขาก็ระลึกขึ้นมาได้ถึงคำพูดของถังหยินที่มีต่ออู่เหมย “อย่างไรก็ตาม ในความคิดของข้า เขาคือคนที่ข้าจะต้องติดตามไป ข้าเชื่อว่าพวกเราจะต้องได้ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ในอนาคตแน่!”

กู่เยว่มองเขาอยู่นานแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ก่อนที่สุดท้ายจะเริ่มรวมปราณเข้ากับอาวุธแล้วไปไล่ล่าทหารหนิงที่ยังเหลือรอดอยู่บนกำแพง

ในการศึกครั้งนี้เริ่มตั้งแต่เช้าไปจนถึงเที่ยง ซึ่งมันก็ทำให้พวกหนิงเริ่มอ่อนแอลงบ้างแล้ว ทหารกว่า 5 หมื่นตายไปหมดสิ้นและฝั่งเฟิงเองก็ได้รับความเสียหายน้อยมาก พวกเขาเสียคนไปเพียง 3 ใน 10 ส่วนเท่านั้น กำแพงเองก็เต็มไปด้วยแขนขาและซากศพจำนวนมาก เลือดไหลดั่งสายน้ำ กลิ่นคาวเลือดในอากาศคละคลุ้งไปทั่ว

ในตอนนี้ ทหารทั้ง 2 ฝ่ายต่างก็เหนื่อยอ่อน หากแต่ความคิดของพวกเขายังคงแน่วแน่ สำหรับศัตรูของพวกเขาแล้วนั้น พวกมันจะต้องได้แต่รับความเจ็บปวดและความตายเท่านั้น !