บทที่ 37

ความเร็วของถังหยินเป็นดั่งสายฟ้า ประกอบกับเทคนิคที่แปลกประหลาด ชนิดที่ไม่ทันคาดฝัน นั่นมันก็ทำให้แม่ทัพของอีกฝ่ายเริ่มระแวง เขาไม่กล้าอ่อนข้อให้เลยแม้แต่น้อย ชายผู้นั้นก้าวไปข้างหน้าอย่างระวังแล้วหลบหอกที่พุ่งออกมา ก่อนจะตามมาด้วยการผลักหลังมือเพื่อส่งให้หอกพุ่งเข้าใส่หน้าอกของถังหยิน

ถ้าพูดด้วยความเร็ว ไม่มีใครเทียบเท่าถังหยินได้เลย

เมื่อเห็นชายร่างใหญ่พร้อมหอก เขาก็เย้ยหยันและใช้ดาบวิญญาณในมือเพื่อปัดป้องสุดกำลัง ก่อนจะพุ่งไปข้างหน้าเพื่อเตะอีกฝ่าย

“ย้าก!” โชคร้ายที่ช้าไปเล็กน้อย แรงเตะของถังหยินไม่เข้าเต็มเป้าเพราะเกราะปราณที่มีคอยปกป้องอีกฝ่ายอยู่ ไม่งั้นแล้วลูกเตะถังหยินน่าจะทลายเกราะหรือไม่ก็ร่างกายคนผู้นี้ไปแล้ว

เขาไม่คิดว่าถังหยินจะเหลือพลังมากขนาดนี้หลังจากที่ต่อสู้มาอย่างเนิ่นนาน สิ่งที่ชายร่างใหญ่รู้สึกอับอายก็คือ ทั้ง ๆ ที่ฐานพลังวิญญาณของคู่ต่อสู้นั้นไม่เท่าเทียมกับตนแท้ ๆ หากแต่ก็ตัวเขายังโดนอีกฝ่ายต้อนจนมุมได้อยู่ดี !

เขาโกรธมากจนต้องร้องตะโกนออกมา ก่อนจะใช้หอกแทนดาบและพุ่งเข้าใส่เอวของถังหยิน ชายหนุ่มเอียงตัวและหมุนหลบไปด้านข้างของพลทหารนายนั้น ครั้งนี้เขาไม่ได้สวนกลับ หากแต่ใช้มือที่เต็มไปด้วยเพลิงแห่งความมืดแตะไปยังด้านหลังของเขา

ปุ๊!

พลังของชายคนนี้คือระดับปราณวิบัติ ซึ่งเป็นเหมือนเค้กชิ้นใหญ่สำหรับถังหยิน ถ้าหากเขาดูดกลืนมันมาได้ ระดับพลังของเขาจะต้องเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดแน่

ทว่าอีกฝ่ายกลับมีพลังเกินกว่าที่คาดคิดไว้ เพลิงสีดำของเขาไม่สามารถเผาทะลุเกราะปราณได้เลย มันทำได้อย่างมากก็แค่ทำให้เกิดเสียงอึกอั่กเล็กน้อยเท่านั้น บัดซบ! ถังหยินสบถในใจ แต่เขาก็พึงระลึกได้ว่าหอกของอีกฝ่ายกำลังพุ่งเข้ามาตนด้วยความรวดเร็ว

ปุ๊! ถังหยินไม่สามารถหลบหอกได้ทัน ชายหนุ่มโดนแทงเข้าหน้าท้องอย่างจัง โชคยังดีที่ชายร่างใหญ่ใช้ด้ามหอกในการแทง จึงทำให้ไม่ทะลุไปโดนหัวใจของชายหนุ่ม

ถึงกระนั้นถังหยินก็บาดเจ็บหนัก ร่างของเขาลอยกระเด็นไปไกล เสียงกระแทกดังสนั่น ร่างของชายหนุ่มตกลงบนพื้นอย่างจัง ทว่าก่อนที่เขาจะทันได้ลุกขึ้น ถังหยินก็สัมผัสได้ถึงของเหลวหวาน ๆ ในลำคอและความร้อนที่แล่นมาจากหน้าท้อง

“อ๊อก!” ถังหยินหันหน้าและกระอักเลือดออกมาด้วยใบหน้าที่ซีดขาว

“ฮ่าๆ” ชายร่างใหญ่เดินเข้ามาพร้อมหัวเราะอย่างช้า ๆ

“เจ้าอยากจะใช้เพลิงแห่งความมืดเผาข้าสินะ แต่โชคร้ายที่เจ้าไม่อาจทำได้! ตายซะ!” พร้อมกับค่อย ๆ เดินเข้าไปหาทีละก้าว

เมื่อมองไปยังศัตรูที่กำลังเข้ามา ชายหนุ่มก็ถอนหายใจออกมา การต่อสู้กับคนพวกนี้ไม่เคยง่ายเลยสักครั้ง ความผิดพลาดครั้งหนึ่งก็อาจทำให้เขาตายได้ ครั้งนี้ชายหนุ่มประมาทไปหน่อย บาดแผลเขามากมายแต่ก็ไม่ร้ายแรง ยิ่งไปกว่านั้นพลังของศาสตร์มืดยังช่วยรักษาเขาอีก สิ่งที่ถังหยินต้องการตอนนี้ก็คือเวลา ขอแค่สักนาทีถึงสองนาทีเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว

เขายิ้มออกมาและกดความเจ็บปวดไว้ “อย่างน้อยถ้าเจ้าจะฆ่าข้า ก็ช่วยบอกชื่อมาก่อนได้ไหม!”

เขาแค่จะพยายามถ่วงเวลาเท่านั้น

ชายร่างใหญ่ยกหอกขึ้นสูงและเล็งไปยังลำคอของถังหยิน “ข้าจะบอกให้เจ้าฟังก็ได้ ข้าคืออู่กุย แม่ทัพหลวงแห่งแคว้นหนิง”

แม่ทัพแห่งวังหลวงงั้นเหรอ เขาบอก “นั่นไม่ใช่ตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่มากนัก และว่ากันด้วยเชิงอำนาจแล้วนั่นก็ย่อมมีคนที่เก่งกว่าคนคนนี้อีกมาก” พูดตรง ๆ แม่ทัพแห่งวังหลวงก็แค่คนเฝ้าประตู โดยจะเลือกจากคนที่มีความสูงและร่างกายบึกบึน แต่ไม่สนใจหรอกว่าพลังที่แท้จริงจะเป็นยังไง แน่นอนว่าการมีพลังที่แท้จริงยังไงก็ดีกว่าเสมอ

แม่ทัพหลวงตามปกติแล้วจะไม่ออกรบไปกับเหล่าทหาร แต่ในเมื่อองค์ชายถูกส่งมาร่วมสมรภูมิ แบบนี้ก็มีแต่ต้องส่งพวกเขามาเป็นราชองครักษ์ด้วยเท่านั้น

ถังหยินไม่เข้าใจว่าแม่ทัพวังหลวงคืออะไร แต่หยานหลี่นั้นพอจะรู้อยู่บ้าง ดังนั้นชายหนุ่มจึงก็รู้เกี่ยวกับตำแหน่งนี้ผ่านทางความทรงจำ และเมื่อได้ยินแบบนี้ เขาก็ได้แต่หัวเราะออกมาอย่างขมขื่น

“ในเมื่อเจ้ารู้จักข้าแล้ว ทีนี้ก็ตายซะ!”

ระหว่างที่เขาพูด อู่กุยก็ใช้กำลังทั้งหมดแทงหอกลงมา ในจังหวะจะเป็นตายนั่นเอง จู่ ๆ ก็เกิดเสียงลมดังขึ้นในอากาศ ก่อนที่อู่กุยจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น มันก็ได้มีลูกศรพุ่งเข้าใส่หัวไหล่ของเขา

ด้วยเสียง ‘ฉึก’ เกราะปราณของอู่กุยก็แตกออก อย่างไรก็ตามเกราะของเขาก็ช่วยป้องกันลูกธนูไว้ได้อยู่ดี

“ใคร? ใครกันที่กล้ายิงธนูใส่ข้า?” อู่กุยตะลึงเพราะว่าอีกฝ่ายสามารถยิงเกราะของเขาแตกได้ นั่นแสดงว่าคนผู้นั้นจะต้องเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับสูง อย่างไรก็ตาม การจะหาผู้ฝึกยุทธ์ที่ใช้ธนูนั้นมันก็ยากยิ่งนัก

ไม่มีใครตอบกลับ ทว่าจู่ ๆ ก็มีคนตะโกนมาจากที่ห่างไกล “สหายถัง ปลอดภัยหรือเปล่า? ข้ามาช่วยเจ้าแล้ว!”

คนที่ตะโกนไม่ใช่ใครอื่นนอกจากชิวเจิ้น ข้าง ๆ เขาก็คือกำลังเสริมของชายหนุ่ม กู่เยว่และหลีเทียน พวกเขามาได้ตรงจังหวะพอดีเลย! ถังหยินถอนหายใจและไม่คิดจะเสียเวลาตอบกลับ ชายหนุ่มใช้จังหวะนี้ฟื้นพลังด้วยปราณมืดในทันที

แม้ว่าลูกธนูของหลีเทียนจะเข้าเป้า แต่มันก็ไม่อาจทำอันตรายอีกฝ่ายได้มากนั้น เห็นแบบนั้นสีหน้าของเขาจึงเศร้าหมองลง หลีเทียนรู้ได้ในทันทีเลยว่าอีกฝ่ายจะต้องแกร่งมากแน่ ๆ ว่าแล้วเขาก็หยิบลูกศรเหล็กแท้ขึ้นมา ก่อนจะผสานลมปราณเข้าใส่จนมันกลายรูปร่างเป็นศรเขี้ยวหมาป่า

ก่อนจะเล็งไปยังอู่กุย

กู่เยว่ที่ยืนด้านข้างก็ชักดาบออกมา คนผู้นี้ตัดสินใจวิ่งเข้าใส่อู่กุยตรง ๆ เขาไม่ได้ใส่ชุดเกราะปราณ แต่ดาบในมืออีกฝ่ายก็เป็นถึงอาวุธปราณที่ไม่อาจคาดเดาได้

อู่กุยไม่ได้สนใจชายผู้นี้แม้แต่น้อย แม่ทัพแห่งวังหลวงตัดสินใจปล่อยพลังออกมาเพื่อรวบรวมเกราะปราณของตนให้กลับมาใหม่อีกครั้ง จากนั้นเขาก็ยกหอกขึ้นมาป้องกันดาบที่ว่านั่นอย่างสบายมือ

การฟันดาบของกู่เยว่ไม่ได้อันตรายสำหรับเขาอยู่แล้ว ทว่ามันกลับทำให้กู่เยว่ต้องถอยหลังไป 3 ก้าวแทน แต่เมื่ออู่กุยกำลังคิดจะเข้าไล่กู่เยว่ สายลมก็พัดมาอีกครั้ง คราวนี้เขาเห็นแสงพุ่งผ่านเขามา เมื่อคิดจะหลบมันก็สายไปแล้ว

ปุ๊!

ศรของหลีเทียนพุ่งเข้าใส่ร่างของเป้าหมายเต็ม ๆ แต่มันก็เหมือนกับเมื่อครู่ มันทำลายได้แค่เพียงเกราะปราณของอู่กุยเท่านั้น

ช่างเป็นพลธนูที่น่ารำคาญชะมัด! อู่กุยกัดฟันและปล่อยพลังเพื่อซ่อมแซมเกราะปราณอีกครั้ง เขาอยากจะพุ่งเข้าใส่ หลีเทียน หากแต่กู่เยว่ก็เข้ามาล้อมรอบเขาไว้เพื่อไม่ให้หนี

พลังของกู่เยว่ไม่อาจเทียบเท่าอู่กุย ถ้าไม่ใช่หลีเทียนคอยช่วย เขาก็คงไม่อาจเข้ามาแลกดาบได้นานขนาดนี้หรอก เมื่ออู่กุยและหลีเทียนพยายามลดการป้องกันของอู่กุยลง ถังหยินก็สามารถใช้ช่วงเวลาดังกล่าวในการฟื้นฟูร่างกายตัวเองได้

ชายหนุ่มไม่ได้รีบลุกขึ้นมาทันที เขานอนพักเพื่อที่จะหาจังหวะเข้าโจมตี เขาไม่ได้ขยับตัว แต่ด้วยทหารหนิงที่รายล้อมอยู่ ทำให้ชายหนุ่มไม่สามารถนิ่งเฉยได้อีกต่อไป เพราะเมื่อพวกมันเห็นเขานอนลง ทหารหนิงพวกนั้นก็พากันเข้าใกล้ถังหยินในทันที

หลังจากที่เริ่มมีแรงบ้างแล้ว ถังหยินก็พึ่งจะรู้ตัวว่าพลังปราณถูกใช้งานไปหมดแล้ว ส่วนพวกทหารหนิงที่เข้ามาก็เหมือนกับว่าคนพวกนี้นั้นต้องการที่จะพลีกายเป็นพลังปราณให้เขาพอดิบพอดีเสียด้วย !

เมื่อเห็นแบบนั้นมันก็ทำให้เขารู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก ก่อนจะแสร้งปล่อยตัวให้นอนลงไปบนพื้น

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่มีความตั้งใจที่จะยืนขึ้น พวกศัตรูโดยรอบก็พากันเลิกระวัง ดูเหมือนว่าแม่ทัพอู่จะทำให้เขาบาดเจ็บสาหัสจริง ๆ หากพวกเขาไม่ได้ลงมือทำตอนนี้ ถ้างั้นควรจะเป็นเมื่อไหร่กันเล่า?

พวกทหารมองหน้ากันและยกอาวุธขึ้นมา

ก่อนที่พวกเขาจะเข้ามาถึง ถังหยินที่นอนอยู่ก็พลันกลายเป็นดั่งสัตว์ป่าที่ดุร้าย ฝ่ามือของชายหนุ่มเต็มไปด้วยเพลิงสีดำ การตวัดมือของเขาทำให้ทหารหนิงหายไป 6 นายในทันที คงเหลือไว้แค่ควันสีเขียวเท่านั้น

“แม่เจ้า!”

พวกทหารหนิงที่เตรียมตัวมาดีก็พากันหวาดกลัวและหนีหายไปทันที หากพวกเขาไม่หนีกลับมันจะดีกว่า เพราะตอนที่พวกเขาถอยห่างออกไปมันก็ได้ทำให้ทั้งค่ายจะอยู่ในความสับสนอลหม่าน ซึ่งก็ทำให้ถังหยินมีโอกาสมากขึ้นไปอีก

ชายหนุ่มไม่ใช่คนที่มีมารยาทสักเท่าไหร่ เขาเริ่มใช้ไฟสีดำในการไล่ล่าทหารหนิงพวกนั้นในทันที เพียงชั่วพริบตา เกราะเปล่า ๆ ก็กองอยู่บนกำแพง

เมื่อเห็นว่าถังหยินฆ่าทหารหนิงไปมากมายด้วยเพลิงสีดำที่น่ากลัวนั่น มันก็ทำให้อู่กุยคำรามออกมาแล้วละทิ้งกู่เยว่ ก่อนจะพุ่งเข้าหาถังหยิน “ถังหยิน คู่ต่อสู้ของเจ้าคือข้า!”

ก่อนที่จะทันได้พูดจบ หอกในมือของเขาก็เปล่งแสงและกลายเป็นงูปราณ 10 ตัวพุ่งเข้าใส่จุดสำคัญของถังหยิน

นี่คือพลังปราณแสง ไล่ล่าโลหิต

ถังหยินไม่มีเกราะปราณ และไม่คิดที่จะต้านทานมันด้วยร่างกาย เขานั้นรวดเร็วพอที่จะกระโดดเข้าไปท่ามกลางทหารหนิง หลังจากเห็นอู่กุยใช้วิชาไล่ล่าโลหิตแล้ว ชายหนุ่มก็รีบวิ่งเข้าไปในฝูงชน ในมือควงอาวุธหนิงและรวบรวมพลังเล็งไปยังอู่กุย

ชายร่างใหญ่ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหลบไปด้านข้าง ซึ่งนั่นก็เป็นจังหวะเดียวกันที่ชายหนุ่มพุ่งเข้าใส่ ในที่สุดถังหยินก็กลับเข้ามาประชิดตัวอีกฝ่ายได้แล้ว

อู่กุยที่มีเกราะปราณอยู่ ทำให้อาวุธปราณธรรมดาไม่สามารถทำอันตรายเขาได้ และลูกเตะของถังหยินก็ไม่สามารถจะทำให้เขาเจ็บปวดได้มากนัก อย่างไรก็ตามกำลังขาของถังหยินก็แข็งแกร่งเกินกว่าที่อู่กุยจะทานทนได้ ทำให้เขาต้องล่าถอยหนีไป

ทว่าก่อนที่ชายร่างใหญ่จะทันได้ทรงตัวกลับมา กู่เยว่ก็ตามเขามาได้ทัน ดาบวิญญาณในมือของอีกฝ่ายพลันฟันเข้าหาเอวของเขาด้วยความรวดเร็ว