ตอนที่ซือหม่าโยวเย่ว์กลับไปถึงถ้ำ อูหลิงอวี่กำลังนั่งอยู่ เมื่อรู้สึกได้ว่าเธอกลับมา เขาก็ออกจากการเข้าฌาน
“เจ้ากลับมาแล้วหรือ รู้หรือไม่ว่าตอนนี้พวกเราอยู่ที่ไหนกัน” อูหลิงอวี่มองซือหม่าโยวเย่ว์พลางถามขึ้น
“ท่านไม่รู้หรือว่าพวกเราอยู่ที่ไหน ท่านมิได้มาถึงที่นี่ด้วยตัวเองหรอกหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“ข้ารู้เพียงแค่ว่าข้ามาถึงยังเทือกเขาผู่สั่วแล้ว ทว่าต่อมาเกิดเรื่องขึ้นเล็กน้อย ข้าก็เลยไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหนแล้ว” อูหลิงอวี่พูด
“พวกเราอยู่ที่ชั้นในสุดของเทือกเขาผู่สั่ว” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ดีร้ายอย่างไรข้าก็ถูกส่งตัวมาถึงที่นี่ แต่ท่านเตร็ดเตร่อยู่ชั้นในสุดคนเดียว แต่กลับไม่ถูกสัตว์อสูรทิพย์ฆ่าทิ้ง ช่างโชคดีเสียจริง!”
“ที่แท้ก็อยู่ที่ชั้นในสุดแล้วนี่เอง” อูหลิงอวี่เอ่ยพึมพำ “เจ้าอยู่ที่นี่มานานถึงเพียงนี้ เพราะเหตุใดจึงไม่มีสัตว์อสูรวิเศษมารังควานเจ้าเลยเล่า พวกมันชิงชังมนุษย์ออกจะตายไป”
ซือหม่าโยวเย่ว์ตกตะลึง เมื่อนึกถึงว่าตลอดเวลาที่ตนอยู่ที่นี่มาเนิ่นนานถึงเพียงนี้ก็ไม่มีสัตว์อสูรวิเศษเข้ามาเลย ก่อนหน้านี้เธอคิดว่าเพราะที่นี่ไม่มีสัตว์อสูรวิเศษ แต่ย่ากวงก็บอกแล้วว่าที่นี่มีสัตว์อสูรเทพอยู่
หรือเป็นเพราะว่าเพลิงชาดอยู่ที่นี่ ดังนั้นจึงไม่มีหลุดเข้ามาเลยอย่างนั้นหรือ
เธอรู้ว่าระดับขั้นที่โลกของสัตว์อสูรวิเศษนั้นเคร่งครัดเป็นอย่างยิ่ง ดูจากปฏิกิริยาของเจ้าคำรามน้อยที่ทำพันธสัญญาเลื่อนระดับกับตนแล้ว เพลิงชาดจะต้องเป็นสัตว์อสูรวิเศษที่ล้ำเลิศอะไรสักอย่างแน่นอน กลิ่นอายที่มันแผ่ออกมาจึงทำให้สัตว์อสูรเทพรู้สึกหวาดกลัวได้ ด้วยเหตุนี้จึงอยู่ห่างจากแก่งหินแห่งนี้
แม้กระทั่งสัตว์อสูรเทพยังหวาดกลัว ซือหม่าโยวเย่ว์อดคิดไม่ได้ว่าที่แท้แล้วเธอทำพันธสัญญากับสัตว์ประหลาดอันใดกันแน่
อูหลิงอวี่เห็นท่าทีครุ่นคิดของซือหม่าโยวเย่ว์จึงเอ่ยว่า “เจ้ารู้เหตุผลอย่างนั้นหรือ”
“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์ยักไหล่พูด “อย่าลืมสิว่าข้าเป็นเพียงแค่คนไร้ค่า ไม่เข้าใจอะไรพวกนี้สักเท่าไหร่นักหรอก”
“เจ้ามิได้บอกว่าข่าวลือเชื่อถือมิได้หรอกหรือ” อูหลิงอวี่พูด
“ไม่อาจเชื่อถือได้ จะไม่เชื่อเลยก็ไม่ได้เช่นกัน ท่านไม่เคยได้ยินคำพูดนี้หรืออย่างไร” ซือหม่าโยวเย่ว์ตอบ
เมื่อนึกถึงว่ามีเขาอยู่ เธอก็ต้องเป็นผู้ที่ไม่อาจบำเพ็ญได้อย่างแน่นอน หลังจากนั้นก็หยิบหม้อใบหนึ่งออกมาเตรียมทำอาหารเย็น
“เจ้ามิได้เพิ่งกินข้าวไปหรอกหรือ” อูหลิงอวี่พูด
ซือหม่าโยวเย่ว์เหลือบมองเขาปราดหนึ่งแล้วพูดว่า “มิใช่ว่าท่านกับเจ้าคำรามน้อยกินกันไปเป็นส่วนใหญ่หรอกหรือ ตอนนี้ก็ใกล้จะค่ำแล้ว ก็ย่อมถึงเวลากินอาหารมื้อเย็นแล้วสิ”
พูดจบแล้วเธอก็หยิบข้าวของออกมา เธอมองดูสภาพแวดล้อมที่ปิดสนิทแล้วก็เก็บข้าวของกลับเข้าไปในแหวนเก็บวัตถุ พอมาถึงด้านนอกถ้ำแล้วค่อยหยิบออกมาใหม่
อูหลิงอวี่ครุ่นคิดแล้วลงจากเตียงมายังนอกถ้ำ ก็เห็นซือหม่าโยวเย่ว์หุงข้าวทำอาหารอย่างเชี่ยวชาญ
“เจ้าอยู่บ้านก็เป็นเช่นนี้หรือ” เขาถามเสียงดัง
เคยได้ยินแต่ชื่อเสียงฉาวโฉ่ด้านการเป็นคนไร้ค่าของนาง แต่ไม่เคยรู้เลยว่านางก็ทำอาหารได้อย่างเชี่ยวชาญถึงเพียงนี้ หรือพูดได้ว่าอาหารที่นางทำนั้นยังอร่อยกว่าโรงเตี๊ยมหรือห้องอาหารใหญ่ๆ ทั่วไปเสียอีก
“นับว่าใช่ก็ได้” ซือหม่าโยวเย่ว์เหลือบมองเขาปราดหนึ่ง ยาวิเศษของโลกแห่งนี้ช่างล้ำเลิศนัก อย่างบาดแผลบนท้องของเขานี้ถ้าหากอยู่ในชาติก่อน ถึงอย่างไรก็ต้องนอนพักฟื้นอยู่บนเตียงหลายเดือน แต่เขาหายดี เพียงไม่กี่ชั่วโมงก็ลงจากเตียงได้แล้ว
อูหลิงอวี่พิงร่างกับผนังปากถ้ำโดยไม่เอ่ยวาจา เพียงแค่มองดูซือหม่าโยวเย่ว์ทำอาหาร หรือบางทีก็มองม่านราตรีของเทือกเขาผู่หลัว
ซือหม่าโยวเย่ว์ทำอาหารเสร็จแล้วจึงจัดเป็นสองสำรับวางลงบนโต๊ะก่อนจะพูดว่า “ดูเหมือนว่าคนที่พลังยุทธ์แข็งแกร่งอย่างพวกท่านจะไม่กินข้าวกันสักเท่าไหร่ ถ้าท่านไม่อยากกินก็วางเอาไว้ตรงนั้นเถิด”
“ถึงแม้ว่าจะไม่รู้สึกหิว แต่พอเห็นเจ้าทำอย่างกระตือรือร้นเช่นนี้ข้าก็อยากจะชิมดูสักหน่อยเหมือนกัน”
แสงจันทร์กระจ่างดุจน้ำใส คนทั้งสองนั่งกินอาหารอยู่ที่โต๊ะกลางแจ้ง มีเสียงคำรามของสัตว์อสูรวิเศษเป็นดนตรีประกอบให้พวกเขาเป็นระยะๆ
เพราะเวลาก็มืดค่ำแล้ว เธอจึงทำเพียงแค่ตุ๋นโจ๊กและผัดกับข้าวสองจานเล็กเท่านั้น ถึงแม้ว่าจะเป็นอาหารที่เรียบง่าย แต่เมื่อเปรียบเทียบกับรสชาติของโลกแห่งนี้แล้วย่อมแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว ทำให้คนที่มิได้มีความสนใจในการกินอาหารแต่อย่างใดมาโดยตลอดอย่างเขาอดที่จะเติมชามที่สองมิได้
ซือหม่าโยวเย่ว์กินหมดแล้วก็วางชามลงบนโต๊ะพลางมองอูหลิงอวี่แล้วพูดว่า “ท่านล้างจานนะ”
“ให้ข้าล้างจานอย่างนั้นหรือ” อูหลิงอวี่สงสัยว่าหูของตนมีปัญหาหรือไม่ ตั้งแต่เล็กจนโต แต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่เคยทำเรื่องพรรค์นี้มาก่อนเลย แต่ตอนนี้มดปลวกที่โลกเบื้องล่างคนหนึ่งซึ่งเพียงแค่เขายื่นมือออกไปก็บี้ตายได้แล้วกลับใช้ให้เขาล้างจานอย่างนั้นหรือ!
“ใช่แล้ว ข้าทำกับข้าว ท่านก็ต้องล้างจานน่ะสิ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างมีเหตุมีผล
“เจ้าอย่าลืมสิ ข้าก็เท่ากับว่าเป็นนายจ้างของเจ้านะ ข้าให้เจ้าอยู่เป็นเพื่อนข้าเพื่อรับค่าตอบแทนอย่างไรล่ะ” อูหลิงอวี่พูดอย่างเรียบเรื่อย
“ท่านบอกว่าจะให้ยาวิเศษเลื่อนระดับข้าสองเม็ด แต่ถ้าหากถึงเวลาแล้วท่านกลับคำจะทำเช่นไรเล่า ท่านให้ค่าตอบแทนข้าก่อนครึ่งหนึ่งสิ เช่นนั้นข้าจึงจะแน่ใจในความสัมพันธ์ฉันนายจ้างของพวกเราได้” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดพร้อมกับยื่นมือไปตรงหน้าอูหลิงอวี่
อูหลิงอวี่มองดูมือเล็กตรงหน้าที่ดูเรียบเนียนดุจหยกภายใต้แสงจันทร์ระยิบระยับ ทันใดนั้นเขาก็มีความคิดเล็กๆ ผุดขึ้นมาว่าหากกุมมือนี้เอาไว้ในมือของตนจะให้ความรู้สึกเช่นไร
ทว่าแต่ไหนแต่ไรเขามิได้มีความรู้สึกไวต่ออิสตรี ความคิดก็ผ่านมาเพียงแค่ชั่ววูบเท่านั้น จากนั้นความคิดของเขาก็วูบไหวคราหนึ่ง ขวดหยกเล็กๆ ใบหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในอุ้งมือของเขา เขาวางขวดหยกเอาไว้ในมือซือหม่าโยวเย่ว์ก่อนจะลุกขึ้นเดินเข้าไปในถ้ำ
ซือหม่าโยวเย่ว์เปิดขวดยาแล้วลองดมดูก็มีกลิ่นหอมจางๆ โชยออกมา
“เจ้าวิญญาณน้อย” เธอส่งเสียงเรียก
“ว่าอย่างไร” เจ้าวิญญาณน้อยรับคำ
“ในเมื่อเจ้านายคนก่อนของเจ้าเคยมีปรมาจารย์หลอมยาอยู่ด้วย เช่นนั้นเจ้าก็น่าจะรู้จักยาวิเศษเลื่อนระดับกระมัง เจ้าช่วยข้าดูหน่อยสิว่าสิ่งนี้ใช่ยาวิเศษเลื่อนระดับหรือไม่” พูดจบแล้วเธอก็เก็บขวดหยกเข้าไปไว้ภายในมณีวิญญาณ
เจ้าวิญญาณน้อยหยิบขวดหยกมาเปิดดูคราหนึ่งแล้วพูดว่า “ใช่แล้ว ทั้งยังเป็นยาวิเศษชั้นยอดอีกด้วย”
“เช่นนั้นก็ดี” ซือหม่าโยวเย่ว์ได้ฟังคำตอบของเจ้าวิญญาณน้อยแล้วจึงเดินไปล้างจานอย่างมีความสุข
หลังจากเธอจัดการทุกสิ่งทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้วเธอก็ไปเดินย่อยภายในแก่งหินรอบหนึ่ง จากนั้นจึงค่อยกลับมายังถ้ำ
อูหลิงอวี่เอนกายงีบหลับอยู่บนเตียง เขารู้สึกว่ามีเงาสายหนึ่งทาบทับลงมาจึงลืมตาขึ้นแล้วถามว่า “เจ้าทำอะไรน่ะ”
“ท่านขยับเข้าไปนอนข้างในหน่อยสิ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“ทำไมหรือ” อูหลิงอวี่ถาม
“ข้าจะนอน ท่านนอนอยู่ตรงกลางพอดี ยึดทั้งเตียงเอาไว้คนเดียวเลยนะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดแล้วก็นั่งลงบนเตียงก่อนจะก้มลงไปถอดรองเท้า
“ไม่ได้หรอก” อูหลิงอวี่ปฏิเสธ
“เพราะเหตุใดหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ลุกขึ้นพลางมองอูหลิงอวี่อย่างไม่เข้าใจ
“ข้าไม่เคยชินกับการนอนกับผู้อื่น” อูหลิงอวี่พูด
“ข้าก็ไม่ชอบนอนกับผู้อื่นเช่นกัน แต่นี่คือเตียงของข้า และข้าก็มีเตียงแค่หลังนี้หลังเดียวด้วย ขอถามหน่อยเถิดว่าท่านมีเตียงหรือไม่”
“ไม่มี” อูหลิงอวี่พูด
ในยามปกติเสื้อผ้าอาหารและของกินของใช้ของเขาล้วนมีคนจัดเตรียมให้ทั้งหมด ไม่จำเป็นต้องให้เขามาจัดแจงเองเลย ดังนั้นเขาก็ย่อมมิได้คิดจะนำของอย่างเตียงมาด้วยอยู่แล้ว
“เช่นนั้นก็แล้วกันไป” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ตอนนี้มีเตียงอยู่หลังเดียว หากไม่นอนด้วยกันแล้วข้าจะไปนอนที่ไหน หรือว่าท่านจะคืนเตียงให้ข้ากันล่ะ”
ซือหม่าโยวเย่ว์ถอดรองเท้าทิ้งไปแล้วก็เห็นว่าอูหลิงอวี่ยังไม่ขยับเขยื้อน จึงเข้าไปผลักเขาอย่างแรง
“อูหลิงอวี่ นี่มันเตียงของข้านะ!”
“แต่ตอนนี้เป็นของข้าแล้ว” อูหลิงอวี่พูดหน้าตาเฉย เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์สัมผัสตน เขาจึงตีมือของซือหม่าโยวเย่ว์โดยสัญชาตญาณ
ปฏิกิริยาตอบสนองของซือหม่าโยวเย่ว์เปลี่ยนมือเป็นมีดฟันไปทางอูหลิงอวี่ การผลักกันของทั้งคู่เปลี่ยนกลายเป็นทุบตีกันอุตลุดแทน
แต่ละกระบวนท่าของซือหม่าโยวเย่ว์รวดเร็วและแม่นยำ ส่วนอูหลิงอวี่เองก็ไม่เป็นรองเลย ถึงแม้ว่าจะนอนอยู่ก็ยังสู้ได้สูสีกันกับซือหม่าโยวเย่ว์
ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นว่าคงเอาชนะเขาไม่ได้ สองมือออกแรงแล้วพุ่งตัวเข้าไปทับอยู่บนร่างของอูหลิงอวี่ เมื่อเห็นสีหน้าดำทะมึนของเขาก็คำรามว่า “ท่านเป็นชายแท้หรือผิดเพศกันแน่! บุรุษตัวโตสองคนนอนเตียงเดียวกันแล้วจะเป็นอย่างไร ท่านต้องไม่พอใจใหญ่โตถึงเพียงนั้นเชียวหรือ”
……………………