บทที่ 58 เป็นแม่ม่ายล้วนมีแต่เรื่องวุ่นวาย

ทะลุมิติไปเป็นแม่ม่ายสาวชาวสวน

บทที่ 58 เป็นแม่ม่ายล้วนมีแต่เรื่องวุ่นวาย

นางก่นด่าด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด “กลางวันแสก ๆ นังแม่ม่ายบังอาจอยู่ในบ้านเดียวกับพ่อม่าย! หน้าด้าน!”

ที่จริงแม่หลินก็ไม่เห็นอะไรหรอก แค่เห็นแผ่นหลังของจางซิ่วเอ๋อเท่านั้น และไม่ค่อยมั่นใจนักว่านั่นใช่จางซิ่วเอ๋อหรือไม่ แต่ตอนนี้แม่หลินแค้นจางซิ่วเอ๋อจนเข้ากระดูกดำ จึงมองจางซิ่วเอ๋อไปในด้านที่เลวร้ายที่สุด!

นางหันหลังกลับบ้าน เห็นสวี่อวิ๋นซานที่ผ่าฝืนอยู่ในสวนเงียบ ๆ ก็เอ่ยขึ้น “เจ้าดูตัวเองสิ ไปชอบอะไรในตัวจางซิ่วเอ๋อกัน? เมื่อกี้ข้าเพิ่งเห็นนางเดินออกมาจากบ้านบัณฑิตจ้าว ดูก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คนดีอะไร!”

“นี่เพิ่งจะเป็นแม่ม่ายได้กี่วันเอง? ก็เลียนแบบพฤติกรรมไร้ยางอายของแม่ม่ายหลิวเสียแล้ว!” แม่หลินด่าอย่างไม่พอใจ

แคร่ก!

สวี่อวิ๋นซานผ่าไม้ท่อนหนึ่งออก เงยหน้ามองแม่หลินด้วยสีหน้าด้านชา “ท่านแม่ ซิ่วเอ๋อไม่ใช่คนแบบนั้น!”

ตอนนี้สวี่อวิ๋นซานรู้สึกหดหู่มาก แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะตำลึงพวกนั้น เขาเต็มใจที่จะมอบตำลึงพวกนั้นให้จางซิ่วเอ๋อแล้ว ที่เขานึกหมดอาลัยตายอยากก็เป็นเพราะว่าหลังจากเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น เขาคงจะไม่มีวันได้อยู่กับจางซิ่วเอ๋ออีกแล้ว

พอนึกถึงท่าทางเย็นชาและเด็ดขาดของจางซิ่วเอ๋อ สวี่อวิ๋นซานก็รู้สึกหมดเรี่ยวแรง

เขามองแม่หลินอย่างเฉยชา คนตรงหน้าคือมารดาของเขา เขาย่อมไม่นึกโกรธ แต่ก็อดผิดหวังในใจไม่ได้ เหตุใดเขาต้องมามีมารดาไร้เหตุผลแบบนี้?

แม่หลินเห็นสวี่อวิ๋นซานพูดเข้าข้างจางซิ่วเอ๋อก็โมโหขึ้นมาทันที “นังจิ้งจอกนั่นทำเสน่ห์ยาแฝดอะไรใส่เจ้าฮึ! นางคว้าปังตอมาอาละวาดที่บ้านเราแล้ว ทั้งยังข่มขู่เอาเงินจากบ้านเราไปด้วย ทำไมเจ้ายังพูดเข้าข้างนางอยู่อีก?”

“หลีฮวาดีสู้จางซิ่วเอ๋อไม่ได้ตรงไหน ทำไมเจ้าถึงหัวดื้อไม่ยอมมองเห็นนะ!” ยิ่งคิดแม่หลินยิ่งโกรธ

ตอนนั้นเอง หลีฮวาได้เดินออกจากบ้านและพูดด้วยดวงตาแดงก่ำ “ท่านแม่ เลิกต่อว่าพี่ชายเถอะนะเจ้าคะ เขาเองก็ไม่ได้ตั้งใจ”

“เจ้าดูสิ หลีฮวาเข้าอกเข้าใจคนอื่นขนาดไหน? ถึงขนาดนี้แล้วยังแก้ตัวให้เจ้าอยู่!” แม่หลินเอ่ยด้วยโทสะจากเบื้องลึกของจิตใจ

“สวี่อวิ๋นซาน ข้าถามเจ้าคำเดียว เจ้าจะแต่งงานกับหลีฮวาไหม?” จู่ ๆ แม่หลินก็ถามด้วยใบหน้าเย็นเยียบ

วันนี้แม่หลินโมโหกับเรื่องนี้จนตัดสินใจแล้วว่าต้องทำให้เรื่องนี้จบให้ได้

สวี่อวิ๋นซานถอนหายใจ พูดด้วยอารมณ์ที่ยังอดทนอยู่ “ท่านแม่ ข้าขอพูดตรง ๆ กับท่าน ต่อให้ไม่มีซิ่วเอ๋อ ข้าก็ไม่แต่งงานกับหลีฮวา ข้ากับหลีฮวาโตมาด้วยกัน ข้าเห็นหลีฮวาเป็นน้องสาว! มีอย่างที่ไหนแต่งงานกับผู้ที่เป็นน้องสาวได้?”

หลีฮวาตาแดงทันที ถึงแม้สวี่อวิ๋นซานไม่ได้พูดแบบนี้เป็นครั้งแรก แต่ทุกครั้งที่ได้ยินนางก็เจ็บปวด!

“ข้าว่าแล้วว่าเจ้ายังนึกถึงนังแพศยานั่นในใจอยู่ แต่วันนี้เจ้าต้องพูดกับข้าให้รู้เรื่อง! ถ้าเจ้าไม่แต่งงานกับหลีฮวา ก็ไสหัวออกไปจากบ้านนี้ซะ!” แม่หลินจ้องสวี่อวิ๋นซานตาเขม็ง

สวี่อวิ๋นซานมองแม่หลินอย่างตกตะลึง คิดไม่ถึงว่าแม่หลินจะพูดอะไรที่ตัดเยื่อใยขนาดนี้

เพื่อหลีฮวาแล้ว นางถึงกับจะไล่ตัวเขาออกจากบ้านเลยรึ?

“ถ้าเจ้ายังเห็นข้าเป็นแม่ ก็แต่งงานกับหลีฮวาซะ! ไม่อย่างนั้นหลังจากนี้เจ้าไม่ต้องมาเรียกข้าว่าท่านแม่!” แม่หลินกล่าวเสียงเย็น ไม่ให้ทางเลือกสวี่อวิ๋นซานเลยสักนิด

สวี่อวิ๋นซานชำเลืองแม่หลินเงียบ ๆ และเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ถ้าท่านแม่จะบีบคั้นข้าถึงเพียงนี้ งั้นตัวข้าที่เป็นลูกชายก็ได้แต่ออกจากบ้านไปก่อน”

พูดไปสวี่อวิ๋นซานก็เดินเข้าห้องไปทีละก้าว และปิดประตูดังปัง

แม่หลินเริ่มตกประหม่า นางหวาดกลัวว่าสวี่อวิ๋นซานจะดื้อดึงไม่ยอมฟังขึ้นมาจริง ๆ

นางคิดไปคิดมา หันมองหลีฮวาและเอ่ย “หลีฮวา เจ้าตามข้ามา!”

สองแม่ลูกไม่รู้หารืออะไรด้วยกัน แล้วยังมองห้องสวี่อวิ๋นซานเป็นระยะ

จางซิ่วเอ๋อไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในบ้านตระกูลสวี่หรอก เวลานี้เธอกำลังดูแลจางชุนเถาอยู่

จางชุนเถาไม่เป็นอะไรมากแล้ว ทว่าเด็กนี่เอาแต่อยากช่วยทำงาน ทำให้จางซิ่วเอ๋อปวดหัวมาก จึงต้องดูแลจางชุนเถาด้วยตัวเอง ไม่ให้นางต้องขยับตัวมากนัก

จางชุนเถาอายุยังน้อย ถ้าทิ้งอาการบาดเจ็บอะไรไว้ที่ขา ชีวิตในวันข้างหน้าคงไม่ดีเท่าใด

2 วันต่อมา จางซิ่วเอ๋อทำผงเครื่องเทศเพิ่มอีก เมื่อเห็นว่าเสบียงที่บ้านใกล้จะหมดแล้ว จางซิ่วเอ๋อก็คิดว่าตัวเองควรจะไปซื้อของกินสักหน่อย แล้วก็ดูกระแสของเครื่องเทศด้วย

การทำเครื่องเทศนั้นยุ่งยากมาก ถ้าขายไม่ออกเธอจะได้ไม่ต้องทำเยอะ ถ้าทำไว้กินเองคงไม่ต้องทำพิถีพิถันขนาดนี้หรอก

จางซิ่วเอ๋อออกมารอเฒ่าหลี่ใต้ต้นหวายฉู่ใหญ่ตั้งแต่รุ่งสาง

ตอนนี้ในมือนางพอมีเงินเหลืออยู่บ้าง จางซิ่วเอ๋อจึงไม่อยากทำให้ตัวเองลำบาก เพราะการเดินทางเข้าตัวเมืองนั้นเหนื่อยมาก

สู้เก็บแรงไปขุดผักป่าบนเขายังจะดีกว่า

วันนี้คนเดินทางเข้าเมืองไม่มากนัก บนเกวียนลากของเฒ่าหลี่มีคนนั่งแค่สามคน นับจางซิ่วเอ๋อด้วยก็แค่สี่

เฒ่าหลี่รออีกสักพัก พอเห็นไม่มีคนมา จึงถอนหายใจและออกลากรถ

พอเฒ่าหลี่ไปแล้ว แม่เฒ่าหลิวที่นั่งเด็ดผักอยู่ใต้ต้นหวายฉู่ก็เอ่ยขึ้น “ได้ข่าวว่าเมื่อวานจางซิ่วเอ๋อเรียกร้องเงินจากแม่หลินมาได้ไม่น้อย เห็นไหมล่ะ มีเงินนั่งรถเสียด้วย!”

“ใช่แล้ว จะว่าไปแม่หลินนั่นทำตัวเองทั้งนั้น เมื่อวานเจ้าก็เห็นนี่? อวิ๋นซานบ้านนางมองจางซิ่วเอ๋อตาเป็นมันเสียขนาดนั้น ดูท่าอยากจะแต่งงานกับจางซิ่วเอ๋อจริง ๆ เถอะ! ข้าว่านะ ให้แต่งงานกับจางซิ่วเอ๋อน่ะไม่ต้องใช้สินสอดด้วย แล้วก็หาบ้านดี ๆ ให้หลีฮวาแต่งเข้าเอาสินสอด ชีวิตดีจะตาย?” คนพูดคือแม่เฒ่าอู๋ เป็นคนนิสัยขี้นินทาเหมือนกัน

แม่เฒ่าหลิวขำพรืด “แม่หลินเห็นหลีฮวาเหมือนเป็นแก้วตาดวงใจตัวเอง จะทำใจให้แต่งออกได้อย่างไรเล่า!”

พูดมาถึงตรงนี้แม่เฒ่าหลิวก็ชะงักไป และพลันมีสีหน้ายินดีกับเรื่องร้ายของคนอื่น “แต่ข้าว่า ต่อให้แม่หลินบีบคั้นให้ลูกชายตัวเองแต่งงานกับหลีฮวา สวี่อวิ๋นซานก็ไม่สบอารมณ์นักหรอก ไม่แน่นะ สองแม่ลูกนี่อาจจะเหินห่างเพราะการนี้ก็ได้”

แม่หลินผ่านมาพอดี นางยืนฟังแม่เฒ่าสองคนนี้พูดแล้วเดินออกมาด้วยสีหน้าเขียวปี๋เพราะความโกรธ “ตะวันขึ้นโด่งขนาดนี้แล้ว! ยังจะนั่งนินทากันอยู่อีก ยังไม่รีบไปทำงานทำกับข้าวเสียเล่า!”

แม่เฒ่าหลิวถลึงตาใส่แม่หลิน พูดด้วยรอยยิ้มจาง “ทำไมเหรอ? จัดการลูกชายตัวเองไม่ได้ แล้วมาพาลใส่พวกเรารึ? เจ้ายอมให้จางซิ่วเอ๋อเข้าบ้านเจ้าเสียจะดีกว่า 15 ตำลึงเงินที่เสียไปจะได้กลับมาด้วย แล้วยังไม่ต้องมีปัญหากับลูกชายเจ้าอีก!”

แม่เฒ่าหลิวไม่ใช่คนยอมให้ใครมารังแกได้ง่าย ๆ มาแต่ไหนแต่ไร ถึงจะไม่ใช่คนไร้เหตุผลเหมือนแม่เฒ่าจาง แต่ความสามารถในการทะเลาะเบาะแว้งนั้นไม่น้อยเลย เรียกได้ว่าไม่ยอมให้ใครได้เปรียบแม้สักกระผีก

แม่หลินกรอกตาไปมาก่อนจะเอ่ย “เฮอะ หลานเจ้าอายุก็ไม่น้อยแล้วนะ ทำไมเจ้าไม่ให้หลานเจ้าแต่งงานกับนังตัวซวยนั่นล่ะ? จะได้ประหยัดสินสอดด้วย!”

แม่เฒ่าหลิวแค่นเสียง “หลานข้าไม่ได้ชอบจางซิ่วเอ๋อสักหน่อย เรื่องนี้อย่าเอาบ้านข้าไปเกี่ยว! จางซิ่วเอ๋อน่ะเก็บไว้ให้บ้านเจ้าเถอะ!”

………………………………………………