บทที่ 59 ปะทะคารม
แม่หลินสบถก่นด่า “นังแพศยาจางซิ่วเอ๋อที่ใครก็ขึ้นขี่ได้อย่าหวังว่าจะได้แต่งเข้าบ้านข้า! พวกเจ้าใครอยากได้ก็เอาไปเลย!”
ทันใดนั้นแม่เฒ่าหลิวก็เดือดขึ้นมา “ไอหยา เจ้านี่มันเป็นคนชั่วช้านัก! ถึงแม้จางซิ่วเอ๋อจะเป็นแม่ม่ายแล้วมีดวงกินสามีจริง แต่ข้าดูแล้วนางก็เป็นเด็กสาวบริสุทธิ์ ถ้าจะพูดก็พูดเรื่องอวิ๋นซานบ้านเจ้าเถอะ มันเป็นความรักข้างเดียวของอวิ๋นซานบ้านเจ้าไม่ใช่รึ?? ทำไมเจ้าถึงยังใส่ร้ายให้ฝ่ายหญิงเขาเสียชื่อเสียงล่ะ?”
แม่เฒ่าหลิวไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกับจางซิ่วเอ๋อ ที่พูดเรื่องพวกนี้ในตอนนี้ก็เพื่อโจมตีแม่หลิน
ประเด็นสำคัญของประโยคนี้อยู่ที่ท่อนหลัง ความรักฝ่ายเดียวของอวิ๋นซานอะไรกัน จะหมายความว่าสวี่อวิ๋นซานเป็นคนดั้นด้นจะอยู่กับนางให้ได้ แต่นางไม่ได้ชอบสวี่อวิ๋นซานงั้นหรือ?
มันทำให้แม่หลินเดือดจัดไม่น้อย!
แม่หลินกัดฟันกรอด “จางซิ่วเอ๋อน่ะอยากจะเข้าบ้านข้า แต่ถ้าข้าไม่เห็นด้วยนางก็อย่าหวัง! ข้าน่ะเห็นจางซิ่วเอ๋อเดินออกมาจากบ้านบัณฑิตจ้าวด้วยนะ!”
“พวกเจ้าว่านางที่เป็นแม่ม่ายจะไปทำอะไรที่บ้านบัณฑิตจ้าวกันล่ะ? เมื่อวานที่จ้าวเอ้อร์หลางพูดเข้าข้างจางซิ่วเอ๋อ ต้องเป็นเพราะว่าบัณฑิตจ้าวกับจางซิ่วเอ๋อมีลับลมคมในกันแน่ ๆ จ้าวเอ้อร์หลางถึงจำเป็นต้องพูดแบบนั้น หรือพวกเจ้าคิดว่าข้าจะผลักนังโง่จางชุนเถาลงจากเขาได้จริง ๆ?” แม่หลินถลึงตา พูดอย่างกับเป็นเรื่องจริง
นางต้องเสียตำลึงเงินแล้วก็ต้องเสียหน้าเพราะเรื่องนี้ ตอนนี้มีคนไม่น้อยนินทาตำหนินางลับหลัง นางย่อมต้องเจ็บใจอยู่แล้ว
วันนี้ทะเลาะกับแม่เฒ่าหลิวน่ะเรื่องเล็ก เปิดโปงเรื่องของจางซิ่วเอ๋อกับบัณฑิตจ้าวสิเรื่องใหญ่!
จริง ๆ แล้วแม่หลินก็ไม่รู้หรอกว่าจางซิ่วเอ๋อและบัณฑิตจ้าวมีความสัมพันธ์อะไรกัน แต่นางเห็นจางซิ่วเอ๋อเดินออกมาจากบ้านบัณฑิตจ้าว!
นางจึงขยายเรื่องให้ใหญ่ขึ้น สาดเสียเทเสียใส่จางซิ่วเอ๋อเต็มที่!
จางซิ่วเอ๋อได้ตำลึงเงินไปก็จริง แต่นางก็จะไม่ยอมให้จางซิ่วเอ๋อเอาไปได้อย่างสบายใจหรอก!
ตอนนี้แม่หลินทำทุกอย่างด้วยตรรกะที่ว่าต่อให้ตัวเองไม่มีความสุข ก็จะไม่ยอมให้จางซิ่วเอ๋อมีความสุขเด็ดขาด
แต่พูดไปวิถีของแม่หลินนี่ก็ต่ำช้าใช้ได้
ว่ากันว่าหน้าบ้านแม่ม่ายล้วนมีแต่เรื่อง คำพูดใส่ร้ายแบบนี้แพร่สะพัดออกไปเพียงนิดเดียวก็ทำลายชื่อเสียงของจางซิ่วเอ๋อได้โดยสิ้นเชิง ทำให้ชีวิตในหมู่บ้านของจางซิ่วเอ๋อหลังจากนี้ต้องไม่มีความสุข
แม่เฒ่าหลิวฟังแล้วก็แค่นเสียง “ใครจะรู้ล่ะ ว่าเจ้าจงทำลายชื่อเสียงจางซิ่วเอ๋อเพราะไม่อยากให้จางซิ่วเอ๋อเข้าบ้านเจ้าเฉย ๆ รึเปล่า!”
แม่หลินเอ่ยเสียงกราดเกรี้ยว “ข้าสาบานต่อฟ้า ถ้าไม่ได้เห็นจางซิ่วเอ๋อเดินออกจากบ้านตระกูลจ้าวจริง ๆ ขอให้ลูกชายที่เกิดมาไร้รูทวาร!”
“เหอะ เจ้าอายุเท่าไหร่กัน? ตอนยังสาวเจ้ายังไม่มีเลย แก่แล้วยังคิดจะมีลูกอีกเหรอ?” แม่เฒ่าหลิวถากถางอย่างร้ายกาจ
แม่หลินได้ฟังก็นึกเจ็บใจ ถึงแม้นางจะมีลูกชายแล้ว แต่ก็มีลูกชายแค่คนเดียว!
คนชนบทมีค่านิยมว่ายิ่งลูกดกยิ่งมีบุญ แต่ตั้งแต่ที่นางคลอดสวี่อวิ๋นซานก็ไม่มีวี่แววว่าจะท้องอีก นางกลุ้มใจกับเรื่องนี้ไม่น้อย
ตอนนี้ถูกแม่เฒ่าหลิวแซะรุนแรงแบบนี้ แม่หลินจะยอมได้อย่างไร?
แม่หลินด่ากราดทันที “นังแก่หนังเหนียว! เจ้ามีลูกเก่งนี่ แต่ลูกเจ้ากตัญญูเจ้ารึ?”
แม่เฒ่าหลิวก็โดนแทงใจดำเหมือนกัน ทั้งสองคนปะทะคารมกันอย่างดุเดือดในทันที
จนถึงท้ายสุดไม่รู้ว่าใครเป็นคนเริ่มก่อน กลายเป็นว่าทั้งสองคนต่างดึงทึ้งผมของอีกฝ่ายและซัดกันนัวที่พื้น
“นังแก่หนังเหนียว ข้าจะข่วนแกให้ตายเลย!”
“นังคนบ้านหลิน เจ้ารอดูเถอะ! เจ้าทำกับลูกชายเจ้าแบบนี้ สักวันนึงลูกชายเจ้าจะไม่นับเจ้าเป็นแม่!”
“เจ้าปล่อยมือนะ!”
“เจ้าปล่อยก่อนสิ!”
ทั้งสองเข้าโรมรันพันตูจนยากจะแยกออกจากกัน คนที่ดูอยู่ข้าง ๆ ไม่มีใครกล้าเข้าไปห้าม เพราะหญิงสองคนนี้ขึ้นชื่อเรื่องดุที่สุดในหมู่บ้าน
เกิดโดนหาว่าลำเอียงช่วยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตอนเข้าไปห้าม แล้วผูกใจเจ็บกันละก็แย่แน่
จางซิ่วเอ๋อในตอนนี้ไม่รู้เลยว่าทันทีที่ตัวเองออกจากหมู่บ้าน ก็มีคนสองคนตีกันเพราะเรื่องของนาง
ถ้าจางซิ่วเอ๋อรู้ ต้องไปยกเก้าอี้ตัวเล็กมานั่งดูพร้อมแทะเมล็ดทานตะวันไปด้วยอย่างแน่นอน
จัดการคนอย่างแม่หลินก็ต้องใช้วิธีเอาคนเลวเข้าสู้คนเลวดั่งที่โบราณว่า!
ถ้าไม่ใช่คนดุดันอย่างแม่เฒ่าหลิว คนทั่ว ๆ ไปคงยอมแพ้ไปนานแล้ว
พอมาถึงหน้าทางเข้าเมือง จางซิ่วเอ๋อก็ลงรถลากอย่างรวดเร็ว ส่งยิ้มหวานให้เฒ่าหลี่ “ขอบคุณนะเจ้าคะ!”
เฒ่าหลี่ได้ฟังแล้วรู้สึกมีความสุขสุด ๆ คนที่นั่งรถเขาในหมู่บ้านนี้มีใครมีมารยาทนอบน้อมแบบจางซิ่วเอ๋อบ้าง?
มีแต่คนหาว่ารถของเขาสั่นโคลงเคลง ไม่อยากให้เงิน หาเรื่องเบี้ยว หรือไม่ก็พวกที่พอได้นั่งรถเขาก็เห็นว่าเขาเป็นทาส!
เสียงของเฒ่าหลี่แหบแห้งนิดหน่อย แต่เปี่ยมด้วยความเป็นห่วง “เข้าเมืองก็ระวังตัวด้วยนะ เป็นสาวเป็นนาง อย่าไปที่ที่คนน้อย มันไม่ปลอดภัย!”
จางซิ่วเอ๋อตอบรับเสียงใส “ข้ารู้แล้วเจ้าค่ะ!”
จางซิ่วเอ๋อเดินอยู่ท่ามกลางผู้คนที่สัญจรไปมา มีความกลัดกลุ้มระบายเต็มใบหน้า
นางจะขายของพวกนี้ให้ร้านไหนดีนะ?
ร้านที่รับซื้อปลาครั้งที่แล้วเหรอ? แต่จางซิ่วเอ๋อรู้สึกว่าร้านนั้นเล็กไปหน่อย
จางซิ่วเอ๋อยืนอยู่หน้าอิ๋งเค่อจวี มองป้ายชื่อร้านด้วยสายตาเศร้าสร้อย ถอนหายใจยาว
อิ๋งเค่อจวีเป็นทางเลือกที่ดี แต่ปัญหาคือครั้งที่แล้วนางสร้างความวุ่นวายไว้ไม่เบา!
ไม่ต้องพูดถึงเถ้าแก่ แค่คุณชายฉินที่นางไปล่วงเกินไว้เมื่อคราวที่แล้วก็ไม่ธรรมดา!
พอนึกถึงเรื่องที่ตัวเองสาดทั้งน้ำทั้งปลาใส่คุณชายผู้สูงส่งคนนั้น จางซิ่วเอ๋อก็รู้สึกหน่วงในใจ
ไม่ได้รู้สึกผิดอะไรหรอก นางขอโทษไปแล้วด้วย แต่นางกลัวว่าจะโดนเอาคืน
ถึงแม้ตอนนี้จะยังไม่มีเรื่องอันตรายอะไรเกิดขึ้น แต่ใครจะรู้ว่าคุณชายฉินคนนั้นจะใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้นหรือเปล่า
จางซิ่วเอ๋อคิดได้แบบนี้ ก็เดินไปทางโรงเตี๊ยมที่ปกติตัวเองขายปลาให้ด้วยฝีก้าวหนักอึ้ง
โรงเตี๊ยมนั้นชื่อว่าฝูเยวี่ยน จำนวนลูกค้าในนั้นห่างกันไกลกับอิ๋งเค่อจวี
ที่สำคัญที่สุดคือ ของที่ขายในโรงเตี๊ยมฝูเยวี่ยนถูกกว่าอิ๋งเค่อจวี
เครื่องปรุงของตัวเองก็ขายได้อยู่หรอก แต่ถ้าอยากจะขายในราคาที่สูงขึ้นคงจะยากหน่อย ทำแบบนั้นจะทำให้ต้นทุนอาหารสูงขึ้น
โรงเตี๊ยมฝูเยวี่ยนตั้งตนไว้ที่อาหารราคาถูก ถ้าตัวเองขายแพง ต่อให้ของจะอร่อยขนาดไหน โรงเตี๊ยมฝูเยวี่ยนก็ไม่ซื้อ
จางซิ่วเอ๋อกำลังจะไป ทันใดนั้น เสียงเรียกอย่างตื่นเต้นดีใจก็ดังมาจากด้านหลัง “แม่นางเถาฮวา?”
จางซิ่วเอ๋อชะงักฝีเท้านิดหน่อยก่อนจะเดินต่อ พลางนึกในใจ น่าจะไม่ได้เรียกตัวเอง แต่คำว่าเถาฮวานี่คุ้นหูแปลก ๆ
แต่นางเดินออกไปได้ไม่ถึงสองก้าว ก็มีคนตบไหล่นาง
จางซิ่วเอ๋อสะดุ้งตกใจ ได้ยินมาว่ามีพวกลักพาตัวที่ตบไหล่ทีเดียว คนที่โดนก็จะเดินตามไปแบบมึน ๆ งง ๆ
ถึงตอนนั้นก็โดนจับไปขายที่ไหนก็ไม่รู้
…………………………………………………