เล่ม 1 ตอนที่ 46 เจ้าพูดอีกทีสิ

ราชินีพลิกสวรรค์

ยามค่ำคืนมีม้าเร็วที่ได้รับคำสั่งจากจวนตระกูลลู่พุ่งทะยานออกจากประตูเมืองซูหนานมุ่งหน้าสู่หุบเขาปู้กุย หุบเขาที่รับฉายาว่าไม่มีวันหวนกลับ

 

 

เงาร่างที่ดูรีบร้อนทำให้ทหารรักษายามประตูเมืองพูดคุยกันเสียงต่ำ “คนจากจวนลู่ผู้นี้ รีบร้อนออกเมืองกลางดึก มีเหตุอันใดหรือ”

 

 

“นี่ต้องให้เดาอีกหรือ ต้องเกิดเรื่องแน่นอน”

 

 

“เจ้ามาใหม่ใช่หรือไม่ ผู้ที่ก่อความวุ่นวายใหญ่โตในจวนลู่มีเพียงผู้เดียว”

 

 

“อ๋อ เจ้าหมายถึงนายน้อยรูปงามตระกูลลู่”

 

 

“นับว่าเจ้านั้นไม่โง่ เล่ากันว่าตอนนายน้อยลู่เกิดมา สวรรค์จงใจสร้างให้เขามีวิญญาณน้อยกว่าคนทั่วไป ฉะนั้นร่างกายจึงอ่อนแอเจ็บออดๆ แอดๆ ยังมีคนเคยพูดว่าเขาอายุไม่ยืนจะตายเร็ว ดูท่าทางรีบร้อนของผู้อารักขาจวนลู่ แน่นอนว่านายน้อยอาการกำเริบและคงสาหัสมาก”

 

 

“แต่ว่าอาการกำเริบขนาดนี้ เหตุใดคนในจวนลู่ถึงไม่ไปตามนายท่าน ออกนอกเมืองทำไม ทางข้างหน้าเป็นทางไปหุบเขาปู้กุย ข้าไม่เคยได้ยินว่ามีหมอเทวดาแถวหุบเขานั่น”

 

 

“เอ่อ อันนี้ข้าก็ไม่รู้แล้ว”

 

 

“พวกเจ้าสองคนหุบปาก เรื่องในตระกูลลู่เป็นเรื่องพวกเจ้านินทาลับหลังสนุกปากได้ตั้งแต่เมื่อใด” ทันใดนั้นผู้บังคับบัญชาปรากฏตัวขึ้นหุบปากทหารสองคนที่กำลังนินทา

 

 

ทั้งสองคนหุบปากไม่กล้าพูดมากอีก

 

 

ผู้บังคับบัญชาคนนั้นยังคงไม่ไปไหน กวาดสายตาคมมองทั้งสองคนและกล่าวตักเตือน “ฟังไว้ การคาดเดาไม่มีเหตุผลของพวกเจ้า ถ้าหากแพร่ออกไป ข้าจำเป็นต้องรายงานเจ้าเมือง ใช้กฎหมายทหารจัดการ”

 

 

“ขอรับ!”

 

 

“ขอรับ!”

 

 

กฎหมายทหารไร้ความปราณี ทั้งสองคนจึงไม่กล้าพูดสิ่งใดอีก หุบปากตนแน่นสนิทเพราะกลัวจะได้รับโทษหนัก

 

 

 

 

คนที่ออกนอกเมืองไปคือลู่หวา เขาไม่รู้ว่าเพราะอะไรนายน้อยถึงขอร้องให้เจียงหลีเป็นบ่าวอุ่นเตียง แต่นี่ก็ไม่เป็นอุปสรรคในการับคำสั่งของเหล่าผู้อารักขาคนสนิท

 

 

เขาควบม้าทะยานไม่หยุดพักด้วยความเร็วที่สุดจนถึงถ้ำเก้าปีศาจที่พักของลู่จ้าน หลังจากเจอลู่จ้าน เขานำคำสั่งของลู่เจี้ยมาด้วยและทั้งสองไปหาเจียงหลีที่ห้องด้วยกัน

 

 

“เจียงหลี ตื่น”

 

 

น้ำเสียงทรงพลังหนักแน่นของลู่จ้านทำให้เจียงหลีที่กำลังฝึกตนอยู่ได้รับการรบกวน พลังวิญญาณไหลย้อนกลับทำให้ธาตุไฟเข้าแทรก

 

 

ทันใดนั้นเสียงฆ้องยามดังขึ้นขัดจังหวะการฝึกของนาง

 

 

เจียงหลีลืมตาขึ้นอย่างไม่เต็มใจนัก ลึกลงไปในดวงตาเป็นประกายคู่นั้นไร้แววความขุ่นข้องหมองใจ

 

 

ประตูหินที่ปิดสนิทถูกเปิดออก เจียงหลีเดินออกมาด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “มีธุระอันใด” นางถาม

 

 

ไม่ว่าใครก็ตามที่ถูกรบกวนการฝึกมักจะไม่ค่อยสบอารมณ์นัก

 

 

ไม่ลงมือกับลู่จ้านนับว่านางมีความยับยั้งชั่งใจอยู่

 

 

“นายน้อยให้มาตาม ไปกับข้า” ไม่ต้องให้ลู่จ้านอธิบาย ลู่หวารีบก้าวมาบอกข้างหน้าเสียก่อน

 

 

ลู่เจี้ยให้มาตามนางหรือ

 

 

นี่มันยามไหนกันแล้ว

 

 

เจียงหลีประหลาดใจมองท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มือสนิทและจ้องมองลู่หวา คือผู้อารักขาคนสนิทของลู่เจี้ย แน่นอนว่านางจำได้คนนี้ที่เคยจะฆ่านางตั้งแต่คราวแรก

 

 

“มากับข้า”

 

 

ลู่เจี้ยอาการป่วยกำเริบ เจ็บปวดสาหัส ลู่หวามิสามารถถ่วงเวลาไปมากกว่านี้ เมื่อเขาเห็นว่าเจียงหลีไม่ขยับจึงรวมพลังวิญญาณไว้ที่ฝ่ามือก่อนจะพุ่งมากระชากไหล่ของนาง

 

 

ทันใดนั้นเสียงแหวกลมดังขึ้นพร้อมคมดาบที่จู่โจมอย่างดุเดือดมาที่ตนเอง

 

 

ลู่จ้านเห็นเหตุการณ์ทว่ามิได้ห้ามปราม

 

 

เจียงหลีแววตาเย็นชายืนสงบนิ่งอยู่กับที่ไม่หลบหนี หากเป็นเมื่อก่อนนางคงถอยหลังตั้งหลัก

 

 

แต่ตอนนี้…

 

 

ตูม!

 

 

พลังวิญญาณจากสองคนที่ปะทะกันระเบิดกระจายไปทั่วทุกสารทิศ

 

 

หมัดพิฆาตขั้นหกสี่แรงหมัด ลู่จ้านที่มองที่กำลังดูการต่อสู่อยู่ข้างๆ หรี่ตามองเจียงหลีอย่างตกใจ

 

 

นางใช้หมัดพิฆาตที่หนักหน่วงเข้าปะทะกับหลิงซื่อระดับเจ็ดอย่างลู่หวาอย่างไม่ถดถอย ที่สำคัญคือในระยะเวลาอันสั้นเช่นนี้นางสามารถทะลุขีดจำกัดของพลังหมัดขั้นสามไปถึงพลังหมัดขั้นสี่ได้แล้ว

 

 

ตึง ตึง ตึง!

 

 

ลู่หวาถูกโจมตีจนถอยหลังไปสามก้าวมองเจียงหลีอย่างตกใจไม่มีสิ่งใดเปรียบสีหน้าของเขาได้ เวลานี้แขนของเขาชาหนึบไปทั้งแถบราวกับหักไปแล้วมิปาน

 

 

เจียงหลีชักหมัดกลับอย่างเย็นชา ก่อนจะเยาะเย้ยมองไปที่ลู่หวา “คราวหลังหัดเกรงใจข้าเสียบ้าง”

 

 

ลู่หวาหน้าถอดสี เกิดความเดือดดาล

 

 

ไม่ใช่เพราะเขาแพ้มิได้เพียงแต่ตกใจในความก้าวหน้าของเจียงหลีเท่านั้นและไม่พอใจคำพูดอวดดีของนาง ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่นางทาสคนหนึ่งกลับกล้าขัดขืนเยี่ยงนี้

 

 

“ลู่หวา อย่าทำเสียเรื่อง” ในขณะที่ลู่หวากำลังจะสู้อีกครั้ง ทันใดนั้นลู่จ้านจึงเอ่ยปากขัดเสียก่อน

 

 

เมื่อถูกลู่จ้านกล่าวเตือน ลู่หวาจึงสงบสติอารมณ์ คืนนี้เขาถูกเจียงหลีเหยียดหยาม ณ ที่แห่งนี้ ทว่าหากเทียบกับคำสั่งของนายน้อย อย่างไรเสียก็ไม่สมควรแก้มือตอนนี้

 

 

เขาสกัดกลั้นอารมณ์กล่าวกับเจียงหลีเสียงทุ้ม “นายน้อยมีคำสั่ง เชิญแม่นางกลับจวนกับข้าโดยด่วน” คราวนี้นับว่าเขาฉลาดนักเพื่อทำภารกิจให้สำเร็จยังคงปฏิบัติต่อนางอย่างมีมารยาท

 

 

ลู่จ้านมองไปที่เจียงหลี แม้จะไม่เคยกล่าวสิ่งใดกับนางแต่ความหมายในแววตายิ่งเสียกว่าชัดเจน

 

 

ณ ที่แห่งนี้ไม่มีใครขัดคำสั่งของลู่เจี้ยได้ หากเจียงหลีขัดขืนเขาจะลงมือกับนางเอง ส่งนางไปหาถึงตรงหน้าลู่เจี้ย

 

 

เจียงหลีครุ่นคิดในใจ ทำไมจู่ๆ ลู่เจี้ยถึงเรียกหานาง

 

 

ความคิดของชายหนุ่มผู้นี้ให้เดาคงไม่ยาก แต่ทว่าขณะนี้ไม่ได้คิดร้ายอะไรต่อตนเอง

 

 

เอาเถิด ไปก็ไป หลังจากเจียงหลีตัดสินใจจึงกล่าวกับลู่จ้าน “เตรียมม้าให้ข้าที”

 

 

“เจ้าขี่ม้าเป็นหรือ” ลู่หวาถามแปลกๆ

 

 

เดิมทีเขาคิดจะพาเจียงหลีขี่ม้ากลับไปด้วยกัน

 

 

เจียงหลีกวาดสายตามองเขาอย่างเย็นชาคร้านจะอธิบาย

 

 

ลู่จ้านเข้าใจในตัวเจียงหลีมากกว่าลู่หวา จึงไม่มีความตกใจ เพียงแต่สั่งให้คนไปเตรียมม้าจากนั้นทั้งสองก็จากไป

 

 

เขารู้ว่าเกิดเหตุอันใดและก็เป็นห่วงสุขภาพของลู่เจี้ยและอยากกลับไปเยี่ยม

 

 

แต่ว่าไม่มีคำสั่งของลู่เจี้ยเขาก็ออกไปโดยไม่ได้รับอนุญาตไม่ได้

 

 

“หากเกิดเรื่องให้รีบส่งคนมาบอกข้า” ลู่จ้านเอ่ยกับลู่หวาตอนกำลังจะไป

 

 

“ได้” ลู่หวาเข้าใจดี

 

 

คำพูดกำกวมของสองคนนั้นทำให้เจียงหลีนึกสงสัย ไม่ทราบว่าเกิดเหตุอันใดถึงทำให้ทั้งสองมีท่าทางสีหน้าแปลกๆ

 

 

เก็บความสงสัยไว้ในใจจากนั้นเจียงหลีตามลู่หวาแล้วจากไป

 

 

ขี่ม้าเร็วกว่านั่งรถม้ามากโข อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะให้ลู่หวาขี่หรือม้าที่ลู่จ้านเตรียมมาความเร็วต่างก็เร็วกว่าม้าทั่วไปนัก

 

 

จากที่ต้องใช้ระยะทางสองถึงสามชั่วยาม เพียงชั่วยามเดียวก็ถึงที่หมายแล้ว

 

 

พึ่งจะลงม้าลู่หวาก็รีบพาเจียงหลีเร่งรุดไปยังจวนของลู่เจี้ย

 

 

เมื่อเจียงหลีก้าวมาถึงมองเห็นคนรับใช้นั่งคุกเข่าเต็มห้องก็รู้สึกประหลาดใจ ยังไม่ทันได้คิดอะไรมากลู่หวาก็พานางเข้ามาในห้อง

 

 

เมื่อนางเข้ามารู้สึกได้ถึงสายตาคมเหมือนมีดของผู้อารักขาคนสนิททั้งสองคนสำรวจร่างนางอย่างละเอียด

 

 

“นายน้อย เจียงหลีมาแล้วขอรับ” ลู่หวาโค้งรายงาน

 

 

น้ำเสียงอันอ่อนแรงของลู่เจี้ยดังเล็ดลอดจากภายในม่าน “หลีเอ๋อร์มาหาข้าสิ มาอุ่นเตียงให้ข้า”

 

 

ห้ะ?!

 

 

เจียงหลีอ้าปากค้างอย่างยากที่จะเชื่อ เกรงว่าตัวเองจะหูแว่วไปจึงเอ่ยขึ้น “ท่านว่าอะไรนะ ไหนพูดอีกทีสิ”

 

 

—–