เล่มที่ 2 บทที่ 50 ภารกิจของชิงหู

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

“น้องชายของเจ้า? เพราะแบบนี้จึงซุกซนเหมือนลิงเช่นเจ้าสินะ เหยียดวงซวยจริงเชียวที่ได้มาเจอพวกเจ้าสองพี่น้องเช่นนี้”

    ชิงหูกลับไม่ได้แสดงท่าทีว่าตัวเองเป็นคนนอก เขานั่งลงบนเก้าอี้ หัวเราะคิกคักมองหน้าหลินเมิ้งหยา

    “พูดมาสิ เจ้ามาที่นี่ทำไมกัน? คงไม่ได้มาสะสางแค้นเก่ากับข้าใช่หรือไม่?”

    ได้พูดคุยกับชิงหูหลายครั้ง นางเพิ่งพบว่าเขามิได้เย็นชาเสมือนหน้าตาเลยแม้แต่น้อย

    อีกทั้ง ใช่ว่าทุกคนจะสามารถคงความเป็นตัวของตัวเองเอาไว้ได้หลังจากถูกทรมานอย่างแสนสาหัสเช่นนั้น

    เชื่อว่าหากนางรักษาชิงหูจนหายดีแล้ว แม้เขาจะไม่ใช่คนดี แต่เขาก็ถือเป็นคนที่ควบคุมอารมณ์ได้มากพอสมควร

    “ข้ามาก็เพราะมีคนทุ่มเงินมหาศาลเพื่อขโมยของจากบ้านเจ้า”

    หลินเมิ้งหยากลอกตา จ้องมองใบหน้าเปื้อนยิ้มของเขา

    “เจ้าเปลี่ยนไปเป็นหัวขโมยตั้งแต่เมื่อไรกัน?”

    ถูกหลินเมิ้งหยาใช้สายตาดูถูกจ้องมอง แม้ชิงหูจะหน้าหนาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่สีหน้าก็อดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนไป

    “สายตาอะไรของเจ้า! ที่เหยียปล่อยเจ้ามาคราวก่อนก็เพื่อเจ้ามิใช่หรือ ฉะนั้นฝ่ายตรงข้ามจึงเปลี่ยนความสนใจ เจ้ามันไร้หัวใจ เป็นเพราะเจ้าเหยียเลยต้องทนทุกข์ทรมาน!”

    ขณะเดียวกัน ขนบนร่างของหลินเมิ้งหยาลุกฮือ เหตุใดเจ้าเด็กหนุ่มนี่ถึงพูดจาไร้ซึ่งความตรงไปตรงมาเช่นนี้นะ?

    แต่ถึงอย่างนั้นนางก็อดที่จะไม่เชื่อไม่ได้

    ต่างพูดกันว่าเถาฮวาอู๋มีระเบียบวินัยเคร่งครัด ดังนั้นการเป็นนายน้อยจึงไม่ใช่เรื่องที่จะสามารถทำได้ง่ายๆ เลย

    “จริงสิ เจ้ามาขโมยอะไรที่นี่?”

    ปลอบโยนร่างกายแข็งทื่อของหลินจงอวี้ให้ผ่อนคลายลง หลินเมิ้งหยารู้ว่าชิงหูไม่มีทางทำร้ายตนเอง

    “เหยียมาขโมยพระราชโองการฉบับหนึ่ง”

    พระราชโองการ? หลินเมิ้งหยาเลิกคิ้วขึ้น ของชิ้นนี้ดูไม่มีประโยชน์อะไรเลยมิใช่หรือ?

    “อันที่จริงไม่ใช่เพียงบ้านของพวกเจ้า แต่บ้านเล็กบ้านน้อยที่เคยได้รับพระราชโองการเหยียล้วนไปมาหมดแล้ว แต่กลับหาอะไรไม่เจอเลยแม้แต่น้อย แต่ถึงกระนั้นเหยียประหลาดใจเหลือเกิน พวกเจ้าเอาพระราชโองการไปเก็บซ่อนไว้ที่ใดกัน? ไม่ว่าเหยียจะหาอย่างไรก็หาไม่เจอ”

    เอ่ยถามลอยๆ ทว่าหลินเมิ้งหยากลับแสยะยิ้มเย็นชาให้กับเขา

    “คิดจะหลอกเอาข้อมูลจากข้าหรือ ไม่มีวัน!”

    หลินเมิ้งหยาไม่ให้เขาแม้แต่โอกาส นางรีบร้องปฏิเสธทันที

    ชิงหูเหลือบมอง เขาไม่มีแม้แต่โอกาส เบะปาก ก่อนจะหายตัวไปจากห้องของหลินเมิ้งหยา

    เจ้าเด็กนี่ ทั้งที่ตั้งใจมาส่งข่าวให้นางแท้ๆ ทั้งที่อุตส่าห์ไว้หน้าตัวเองแล้ว แต่เหตุใดจึงทำเสมือนพูดลอยๆ ออกมาเช่นนั้น

    “พี่สาว พี่คิดว่าพวกเขามาขโมยพระราชโองการไปทำไม?”

    คิ้วของหลินเมิ้งหยาขมวดเข้าหากัน พระราชโองการ…จะว่ามีประโยชน์ก็ใช่ จะว่าไม่มีประโยชน์ก็ไม่ใช่

    เพียงแค่…หลายปีมานี้ร่างกายของฮ่องเต้ไม่เหมือนก่อน ส่วนใหญ่ฮองเฮาจะเป็นผู้ประทับตราเฟิ่งยิ่น1

    ไม่สิ!

    ตอนที่แต่งตั้งนางขึ้นเป็นพระชายาอวี้ ตราประทับที่อยู่บนพระราชโองการคือตราพระราชลัญจกรของฮ่องเต้ หรือว่า…

    “เสี่ยวอวี้ เจ้าไปเล่นกับพวกป๋ายจื่อก่อนเถิด พี่สาวจะออกไปข้างนอกหน่อย”

    หลินเมิ้งหยารีบออกวิ่งไปทางห้องอ่านหนังสือของหลงเทียนอวี้ องครักษ์หน้าประตูล้วนรู้จักหลินเมิ้งหยา ดังนั้นจึงไม่มีใครห้าม

    แต่คิดไม่ถึงเลยว่าหลงเทียนอวี้จะไม่อยู่ภายใน

    “ท่านอ๋องไปไหน?” หลินเมิ้งหยามองพ่อบ้านเติ้งด้วยแววตาร้อนใจ

    “ท่านอ๋องมีเรื่องต้องออกไปจัดการด้านนอก โดยมีหลินขุยติดตามไปเพียงผู้เดียวพ่ะย่ะค่ะ”

    พ่อบ้านเติ้งมองพระชายาที่อยู่ตรงหน้าด้วยความสงสัย ตกลงเกิดเรื่องอะไรกันแน่ เหตุใดพระชายาจึงกระวนกระวายเช่นนี้

    “พอท่านอ๋องกลับมาให้รีบบอกให้ไปหาข้าที่สวนหลิวซิน จำเอาไว้ว่าต้องไปทันที!”

    หากเรื่องนี้เป็นไปตามการคาดเดาของนาง เรื่องทั้งหมดก็จะกระจ่างทันที

    พระพุทธรูปเจ้าแม่กวนอิมองค์นั้นมิได้ส่งมาเพื่อกำจัดนาง แต่มันคือข้ออ้างเพื่อกักขังทุกคนในจวนแห่งนี้

    การที่พระพุทธรูปเจ้าแม่กวนอิมถูกทำลาย จะบอกว่าเป็นเรื่องเล็กก็ไม่เล็ก จะบอกว่าเป็นเรื่องใหญ่ก็ไม่ใหญ่

    ขอเพียงทำให้พวกนางถูกกักขัง สารภาพ จากนั้นกำจัดให้พ้นทาง

    ทว่าระหว่างนั้นอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงมากมาย!

    หากมิใช่เพราะชิงหูมาเปิดเผยข้อมูลให้นางได้รับรู้แล้วละก็ นางคงเดาเรื่องนี้ไม่ออก

    “น้าจิ่นเยว่ หมู่เฟยประทับอยู่ที่ใด?”

    จิ่นเยว่มองดูพระชายาที่กำลังร้อนอกร้อนใจ ก่อนจะรีบร้อนตอบคำถาม

    “พระสนมเต๋อเฟยกำลังพักผ่อนเพคะ พระชายามีเรื่องอันใดหรือ?”

    หลินเมิ้งหยาเพิ่งจะพบว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเพียงการคาดเดาของนางเท่านั้น นางไม่มีแม้แต่หลักฐาน

    “ข้า…ไม่มีอะไรหรอก ข้าเพียงแค่มาถวายคำนับหมู่เฟยเท่านั้น ในเมื่อหมู่เฟยยังบรรทมอยู่ ถ้าเช่นนั้นข้ากลับก่อนล่ะ”

    เพิ่งจะพูดจบ จิ้งเยว่กลับเดินออกมาจากตำหนักหยาเสวียน

    “พระชายา พระสนมเต๋อเฟยเชิญเสด็จเพคะ…”

    แย่แล้ว ทำให้พระสนมเต๋อเฟยตื่นแล้วหรือนี่!

    “อืม”

    หลินเมิ้งหยากลับมาสงบนิ่งดังเดิม จากนั้นเดินตามหลังจิ้งเยว่เข้าไปยังที่ประทับของพระสนมเต๋อเฟย

    “มีเรื่องอันใด? เหตุใดจึงมาที่ตำหนักหยาเสวียนด้วยท่าทางร้อนใจเช่นนี้”

    พระสนมเต๋อเฟยเพิ่งตื่นจากการงีบหลับ ทรงผมยุ่งเหยิงเล็กน้อย ท่าทางเกียจคร้าน อีกทั้งยังมีใบหน้าอิดโรย

    หัวใจของหลินเมิ้งหยากระตุก ทว่าใบหน้ากลับกระตุกยิ้มอ่อนโยน

    “หยาเอ๋อร์ขออภัยที่มารบกวนหมู่เฟย เรื่องแรกคือหม่อมฉันมาถวายคำนับหมู่เฟย สองคือต้องการปรึกษาเรื่องงานวันเกิดของหมู่เฟย นี่เป็นครั้งแรกที่หย๋าเอ๋อร์ได้จัดงานให้แก่ผู้เป็นแม่ ดังนั้นจึงกลัวว่าจะทำได้ไม่ดีพอและหมู่เฟยจะทรงกริ้วเพคะ”

    หลินเมิ้งหยาส่งเสียงอ่อนโยน คำพูดคำจาทำให้ผู้คนหลงรัก

    พระสนมเต๋อเฟยมองเด็กน้อยตรงหน้า คิ้วที่เคยขมวดเข้าหากันจึงคลายออก

    “อืม ในเมื่อเจ้าใส่ใจขนาดนี้ หากมีเรื่องอันใดให้เจ้าปรึกษากับจิ่นเยว่ได้เลย หลายวันมานี้ร่างกายของเปิ่นกงรู้สึกปวดเมื่อย คงไม่อาจดูแลพวกเจ้าคนหนุ่มสาวได้”

    พระสนมเต๋อเฟยนวดหว่างคิ้ว หลินเมิ้งหยากลับดูออกว่านี่ไม่ใช่เพียงการเจ็บป่วยแค่วันสองวัน

    “หมู่เฟย ตอนที่หยาเอ๋อร์ยังอยู่ที่บ้าน หม่อมฉันมักจะนวดบ่าให้กับท่านพ่อ บางทีอาจจะบรรเทาอาการปวดของหมู่เฟยได้นะเพคะ”

    พระสนมเต๋อเฟยกลับโบกมือเป็นเชิงปฏิเสธ

    “อาการป่วยของเปิ่นกงมีหมอหลวงมากมายคอยดูแล แต่มิมีผู้ใดรักษาให้หายได้ เจ้าเป็นเพียงเด็กจะรู้เรื่องได้อย่างไร กลับไปก่อนเถอะ”

    “เพคะ”

    หลินเมิ้งหยากลับออกมาอย่างเชื่อฟัง เหตุใดนางจึงรู้สึกแปลกกับอาการป่วยของพระสนมเต๋อเฟยกันนะ?

    สิบวันผ่านไป หลงเทียนอวี้มิได้กลับมายังจวน

    หลินเมิ้งหยาร้อนใจเป็นอย่างมาก แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อาจเพิกเฉยต่องานเลี้ยงฉลองวันเกิดของพระสนมเต๋อเฟยได้

    “พระชายา นี่คือจิ่นซือหลัวที่ใช้ในวันงานเลี้ยงฉลองเพคะ ได้โปรดพิจารณา”

    “พระชายา นี่คือรายการอาหารที่จะใช้ในวันงานเลี้ยงฉลองเพคะ ได้โปรดพิจารณา”

    “พระชายา นี่คือรายชื่อแขกเพคะ ได้โปรดพิจารณา”

    หลินเมิ้งหยาถูกสิ่งเหล่านี้รบเร้าจนมิอาจทำสิ่งอื่นใดได้

    ปกติการจัดงานเลี้ยงฉลองวันเกิดให้กับพระสนมเป็นเรื่องของฝ่ายใน

    แต่เพราะฮองเฮารับสั่งว่าในเมื่อพระสนมเต๋อเฟยเข้ามาอยู่ในจวนอวี้แล้ว เรื่องเหล่านั้นจึงยกให้เป็นเรื่องของคนในจวนเป็นผู้จัดการ

    แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีเรื่องยุ่งยากมากมายให้จัดการเช่นนี้

    จะต้องไม่ทำให้จวนอวี้ต้องขายหน้า ดังนั้นจะต้องจัดการทุกสิ่งทุกอย่างให้ครอบคลุม ดังนั้นหลินเมิ้งหยาจึงยุ่งมากจนถอนตัวไม่ขึ้น

    นางครุ่นคิด ไม่ควรเสียเวลาอันมีค่าไปกับเรื่องพวกนี้

    “ที่ข้าเรียกทุกคนมาในวันนี้ก็เพื่อจะแบ่งงานให้ละเอียด”

    ตลอดทั้งเช้า หลินเมิ้งหยาเรียกเหล่าบ่าวและสาวใช้ที่อยู่ในเรือนทั้งหมดมาฟังคำสั่งที่สวนหลิวซิน

    “จากนี้ไป ปัญหาเรื่องการตกแต่งให้ไปถามที่หลิวผอจื่อ จากนั้นค่อยให้ป๋ายจีพิจารณา หากป๋ายจีไม่อาจตัดสินใจได้จึงส่งเรื่องมาให้ข้า”

    “รายชื่อแขกและของที่ระลึกให้ปรึกษากับพ่อบ้านเติ้ง หากพ่อบ้านเติ้งไม่อาจจัดการได้ค่อยเอาเรื่องมาให้ข้าตัดสินใจ ส่วนเรื่องอื่นๆ หากจัดการเสร็จแล้วให้ส่งเรื่องให้ป๋ายซ่าว”

    ทุกคนก้มหน้าฟัง

    ตอนแรกคิดว่าพระชายาพระองค์นี้อายุยังน้อย บางทีอาจเป็นการตกปลาในน้ำขุ่น

    แต่คิดไม่ถึงเลยว่านางกลับไม่ได้มีท่าทีตื่นตระหนกจนทำผิดพลาด อีกทั้งยังทำงานเป็นขั้นเป็นตอน

    “เพคะ น้อมรับคำสั่งพระชายา”

    แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่หลินเมิ้งหยายังไม่รู้สึกเบาใจเลยสักนิด

    ผู้ดูแลในวันนั้นถูกนางจับตัวได้แล้ว ยังไม่ทันที่นางจะนำมาทรมาน เขาก็คายความลับออกมาจนหมดเปลือก

    ที่แท้ องครักษ์ที่เขาไม่รู้จักติดสินบนกับเขา โดยบอกกับเขาว่าตนเองได้แต่งงานกับสาวใช้คนหนึ่งในจวน

    แต่สาวใช้คนนั้นกลับทำสัญญารับรองความตายเอาไว้

    ดังนั้นจึงสร้างเรื่องเหล่านั้นขึ้นมา หากพบเบาะแสอะไรบ้างละก็ จะได้รีบพาสาวใช้คนนั้นออกมา

    เมื่อรู้ว่าผอจื่อคนนั้นกล้าเข้าไปตรวจสอบห้องของพระชายา ผู้ดูแลตกตะลึงเป็นอย่างมาก

    ตอนที่คิดจะหนี เขากลับถูกพ่อบ้านเติ้งตามล่าจนเจอตัวแล้ว

    “แล้วผอจื่อคนนั้นล่ะ?”

    อยู่ๆ หลินเมิ้งหยาก็นึกขึ้นมาได้ เหตุใดผอจื่อคนนั้นจึงกล้าบุกรุกเข้ามา แม้จะเป็นตำหนักของพระชายาก็ตาม

    “ทูลพระชายา ผอจื่อคนนั้นฆ่าตัวตายไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

    “ว่าไงนะ?”

    หลินเมิ้งหยาคิดไม่ถึงเลยว่าผอจื่อคนนั้นจะตายไปแล้ว

    “ไปเอาศพของผอจื่อมา ข้าจะตรวจสอบให้แน่ใจ”

    พ่อบ้านเติ้งตกใจเป็นอย่างมาก คิดไม่ถึงเลยว่าพระชายาจะต้องการชันสูตรศพด้วยตนเอง

    “แต่..เกรงว่าจะไม่เหมาะสมพ่ะย่ะค่ะ ศพคนตายเป็นสิ่งอัปมงคล ยิ่งใกล้วันคล้ายวันประสูติของพระสนมเต๋อเฟยด้วยแล้วยิ่งไม่เหมาะสมพ่ะย่ะค่ะ”

    หลินเมิ้งหยามองพ่อบ้านเติ้ง คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะเคร่งครัดเช่นนี้

    “เช่นนั้นก็ดี เจ้าจงไปตามหาโรงน้ำแข็งที่ไม่ใช้แล้ว จากนั้นนำศพของผอจื่อไปเก็บรักษาไว้ ข้าจะทำการตรวจสอบร่างของนางทีหลัง”

    พ่อบ้านเติ้งพยักหน้าลง จากนั้นออกไปจัดการตามคำสั่ง

    “คุณหนู ท่านดูพวกนางสิเจ้าคะ พวกนางมีงานให้ทำหมดแล้ว แล้วหนู่ปี้ล่ะเจ้าคะ?”

    แตกต่างจากป๋ายจีและป๋ายซ่าว ป๋ายจื่อในเวลานี้เหมือนคนไม่มีงานทำ

    หลินเมิ้งหยาครุ่นคิด ก่อนจะหาทางออกเจอ

    “ภารกิจของเจ้าสำคัญที่สุด อาหารยังไม่มีผู้ใดไปลองชิม ข้ามอบหน้าที่นี้ให้กับเจ้าดีมั้ยนะ?”

    ป๋ายจื่อที่รู้สึกหดหู่ในตอนแรกดีใจกระโดดโลดเต้นขึ้นมาทันที

    “คุณหนูเข้าใจหนู่ปี้ดีที่สุดเลยเจ้าค่ะ คุณหนูใจดีที่สุดเลย”

    หลินเมิ้งหยารั้งป๋ายจื่อเอาไว้เพราะกลัวนางจะลืมตัว

    “จริงสิ หากเจ้าเข้าไปในโรงครัว ข้ามีอีกเรื่องให้เจ้าไปทำ เจ้าช่วยข้าตรวจสอบทีว่าปกติแล้วพระสนมเต๋อเฟยเสวยสิ่งใดบ้าง มีข้อกำหนดหรือไม่? อย่าให้คนอื่นรู้เรื่องนี้เด็ดขาด เข้าใจหรือไม่?”

    ป๋ายจื่อพยักหน้าลง นางจะพยายามทำตามคำสั่งของคุณหนูอย่างสุดความสามารถ

    อีกอย่าง เรื่องกินกินนอนนอน นางเก่งที่สุด!

    “รีบไปเถอะ แล้วค่อยมารายงานข้าพร้อมกับพวกป๋ายซ่าว”

    ป๋ายจื่อกระโดดโลดเต้นออกวิ่งไปทางโรงครัว หลินเมิ้งหยาจึงเริ่มครุ่นคิดเพียงคนเดียว

    เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว สุดท้ายแล้วมันเกี่ยวข้องกันอย่างไรนะ?

***************************

1 เฟิ่งยิ่น คือตราประทับหงส์ประจำตัวฮองเฮา ใช้สำหรับประทับตราว่าออกราชโองการแทนฮ่องเต้ได้