เล่มที่ 2 บทที่ 51 งานเลี้ยงฉลองวันเกิดพระสนมเต๋อเฟย

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

นางนวดหว่างคิ้ว ข้าทาสจำนวนมากวิ่งเข้าวิ่งออกอยู่ภายในสวน

    ที่นี่อาจจะมีหนอนบ่อนไส้ที่ศัตรูส่งมา แต่นางจะทำเช่นไรจึงจะสามารถถอดหน้ากากคนเหล่านั้นออกได้?

    ยิ่งไปกว่านั้น หลายวันที่ผ่านมาหลงเทียนอวี้หายไป ไม่มีใครคอยช่วยเหลือจัดการเรื่องบางอย่าง

    “นายหญิง ทางด้านตำหนักหยาเสวียนเชิญท่านไปเข้าเฝ้าเจ้าค่ะ”

    ป๋ายจื่อมิได้อยู่รับใช้ข้างกายหลินเมิ้งหยา ดังนั้นจึงเป็นป๋ายจีที่ต้องพานางไปเข้าเฝ้า

    หลายวันมานี้น้าจิ่นเยว่พยายามสุดความสามารถในการอบรมสั่งสอน สุดท้ายนางจึงมีลักษณะท่าทางดั่งเช่นสาวรับใช้ทั่วไป กิริยามารยาทดีขึ้นกว่าเดิม อย่างน้อยก็มิมีใครเห็นนางเป็นตัวตลกอีกแล้ว

    “อืม จงนำกระโปรงยาวลายดอกไม้ที่จิ่นซิ่วฟางส่งมาให้ข้าลองใส่หน่อย”

    “เจ้าค่ะ”

    หลังจากตระเตรียมงานเลี้ยงฉลองวันเกิดติดต่อกันนานหลายวันทำให้หลินเมิ้งหยารู้สึกหมดเรี่ยวแรง

    หลงเทียนอวี้หายไปไม่เห็นแม้แต่เงา พระสนมเต๋อเฟยเจ็บป่วยไม่ยอมออกมาด้านนอก ดังนั้นภายในจวนที่กว้างขวางแห่งนี้จึงมีแค่นางที่ต้องคอยดูแล

    หากไม่ใช่เพราะนางมีเพื่อนสนิทที่เป็นผู้บริหารระดับสูง จึงมักได้ยินเสียงบ่นเกี่ยวกับเรื่องการจัดสรรทรัพยากรและบุคคลแล้วละก็

    เกรงว่าป่านนี้นางคงสมองแตกตายไปแล้ว

    ความวุ่นวายทางด้านนอกมิได้ส่งผลกระทบถึงตำหนักหยาเสวียน

    สาวใช้ที่ถูกส่งมาทำงานที่นี่กำลังทำตามหน้าที่ของตนเองอย่างขะมักเขม้น

    ตลอดทางเดินพบว่าบรรยากาศของที่นี่ช่างเงียบสงบ

    “ถวายคำนับหมู่เฟย หลายวันมานี้อาการป่วยของหมู่เฟยเป็นเช่นไรบ้างเพคะ?”

    ภายในตำหนัก พระสนมเต๋อเฟยดูมีกำลังขึ้นมาก

    “เจ้ามานี่สิ เปิ่นกงรู้ว่าช่วงนี้เจ้าต้องลำบากมากในการจัดงานเลี้ยงฉลองวันเกิด” เมื่อได้พูดกับหลินเมิ้งหยา พระสนมเต๋อเฟยหยักยิ้มขึ้นเล็กน้อย

    “หามิได้เพคะ หมู่เฟยมีความสุข จวนอวี้แห่งนี้จึงมีแต่ความโชคดีเพคะ”

    หลินเมิ้งหยาลอบสังเกต หากเทียบกับหมู่เฟยที่มีท่าทางฉุนเฉียวในวันนั้น หมู่เฟยในวันนี้อ่อนโยนและแสดงออกถึงความรักความเอ็นดูกว่ามาก

    แม้จะยังเจ็บป่วยจนผู้อื่นอดไม่ได้ที่จะรู้สึกทรมานใจ ทว่าคนที่จะเปลี่ยนแปลงไปขนาดนี้ได้มีไม่มากเลย

    “ปากของเจ้าหวานเสียจริง จริงสิ เปิ่นกงตามเจ้ามาก็เพื่อถามไถ่ว่าเจ้าเตรียมรายชื่อแขกทั้งหมดเรียบร้อยแล้วหรือไม่?”

    หลินเมิ้งหยาสั่งให้ป๋ายจีนำไปถวาย หากไม่ใช่เพราะการชี้แนะของน้าจิ่นเยว่ เกรงว่านางคงทำไม่เสร็จ

    “เขียนเสร็จแล้วเพคะ หม่อมฉันรู้ว่าหมู่เฟยไม่ชอบความฟุ่มเฟือย ดังนั้นจึงเชิญเพียงคนสนิทเท่านั้น มีฝั่งทางบ้านของท่านอาคนโต ท่านอารอง บ้านของท่านป้าและท่านน้า ส่วนแขกคนอื่นๆ หม่อมฉันอายุยังน้อย ดังนั้นจึงยังรอความเห็นชอบจากหมู่เฟยเพคะ”

    พระสนมเต๋อเฟยก้มลงมองรายชื่อ สีหน้าพึงพอใจ

    “เด็กคนนี้ แม้เจ้าจะอายุยังน้อย แต่กลับจัดแจงทุกอย่างได้เป็นอย่างดี เปิ่นกงไม่มีอะไรจะถามแล้ว เจ้าตามเปิ่นกงมานี่สิ มาลองชุดเป็นเพื่อนเปิ่นกงเถิด”

    พระสนมเต๋อเฟยหมุนตัวกลับเข้าไปในห้อง หลินเมิ้งหยารู้ได้ทันทีว่าพระนางยังมีเรื่องถามตนเอง

    มือทั้งสองข้างสอดเข้าไปในเสื้อ ก่อนจะตามพระสนมเต๋อเฟยเข้าไป

    “เปิ่นกงได้ยินมาว่าเกิดเรื่องขึ้นกับพระพุทธรูปเจ้าแม่กวนอิมที่เจ้าได้รับมาอย่างนั้นหรือ?”

    หลินเมิ้งหยาพยักหน้า เกรงว่าพระสนมเต๋อเฟยจะรู้เรื่องพระพุทธรูปเจ้าแม่กวนอิมอยู่ก่อนแล้ว

    พระสนมเต๋อเฟยถอนหายใจ จ้องมองหลินเมิ้งหยาด้วยสีหน้าไม่พอใจนัก

    “เปิ่นกงเคยบอกเจ้าแล้วว่าหากเจ้าไม่แน่ใจ อย่าได้รับสิ่งใดมาจากฮองเฮา แต่เจ้ากลับเก็บสิ่งของเจ้าปัญหานั้นเอาไว้”

    หลินเมิ้งหยาเลิกคิ้ว เหตุใดวันนี้พระสนมเต๋อเฟยจึงโกรธเกรี้ยวนางเล่า

    ปกติแล้วความสัมพันธ์ระหว่างแม่ผัวลูกสะใภ้ล้วนมีปัญหาที่ยากจะเอื้อนเอ่ย นางพอจะเข้าใจได้ ดังนั้นนางจึงทำเพียงน้อมรับความผิดเท่านั้น

    “หม่อมฉันพลาดเองเพคะ หมู่เฟยได้โปรดวางพระทัย หม่อมฉันจะหาทางแก้ไขให้ได้”

    “มันต้องเป็นเช่นนั้น หากเจ้าทำให้อวี้เอ๋อร์ต้องมีปัญหา อย่าหาว่าเปิ่นกงไม่เตือนเจ้าก็แล้วกัน”

    น้ำเสียงของพระสนมเต๋อเฟยเย็นชา ราวกับเป็นคนละคนกัน

    หลินเมิ้งหยาเดินกลับออกมาด้วยท่าทางสงบเสงี่ยมเรียบร้อย ภายนอกยังเผยให้เห็นถึงความอ่อนโยนและอ่อนน้อมถ่อมตน

    “เกิดอะไรขึ้นเพคะพระชายา?”

    เมื่อกลับมาถึงตำหนัก มีเพียงป๋ายจีเท่านั้นที่มองเห็นขนคิ้วที่ขมวดเข้าหากันจนเผยให้เห็นความเศร้าหมองของหลินเมิ้งหยา

    “ไม่มีอะไร แค่เหนื่อยนิดหน่อย จริงสิ เจ้าไปตามป๋ายจื่อมาหาข้าที ข้ามีเรื่องต้องถามนาง”

    พระสนมเต๋อเฟย…จะพูดอย่างไรดีนะ บางทีอาจเพราะเป็นคนในราชวงศ์ ดังนั้นจึงมักออกอาการโมโหอย่างเปิดเผยโดยไม่เลือกหน้าได้ แต่เมื่อครู่พระสนมเต๋อเฟยทำเกินเหตุจนผิดสังเกต

    ป๋ายจื่อกลับมารายงานหลินเมิ้งหยาว่าอาหารการกินของพระสนมเต๋อเฟยปกติดีทุกอย่าง

    ไม่มีสิ่งไหนผิดปกติเลย หรือนางจะคิดมากจนเกินไป?

    “อีกสองวันก็จะถึงวันงานแล้ว พวกเจ้าต้องตั้งสติให้ดี อย่าให้เกิดข้อผิดพลาดอันใด เข้าใจหรือไม่?”

    “เจ้าค่ะ นายหญิง”

    วันงานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันประสูติของพระสนมเต๋อเฟย หลงเทียนอวี้จึงรีบร้อนกลับมา

    เขาเอ่ยว่าออกไปตามหาของขวัญวันเกิดล้ำค่าให้กับพระสนมเต๋อเฟย ทว่าหลินเมิ้งหยากลับไม่เชื่อ

    วันงานเลี้ยงฉลอง ภายในจวนอวี้คลาคล่ำไปด้วยแขกผู้มีเกียรติและญาติสนิทมิตรสหาย ดังนั้นคนของจวนจึงยุ่งวุ่นวายมากเป็นพิเศษ

    เหตุเพราะเป็นถึงพระชายาอวี้ หลินเมิ้งหยาจึงสวมใส่ชุดสีแดงปักดิ้นทองลายดอกไม้และคอยยืนต้อนรับแขกผู้มาเยือน

    ศีรษะประดับด้วยปิ่นปักผมพลิ้วไหว ยิ่งได้เห็นใบหน้างดงามรูปไข่ ยิ่งทำให้ผู้คนหลงใหลในตัวนาง

    ขณะเดียวกัน แขกเหรื่อที่เป็นชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียดาย

    หากรู้แต่แรกว่าบุตรสาวคนโตของเจิ้นหนานโหวที่เคยถูกโจษจันว่าสติเลอะเลือนจะงดงามมากถึงขนาดนี้ พวกเขาคงพยายามสุดชีวิตเพื่อขอนางแต่งงาน

    ล้วนพูดกันว่าสินสอดในวันแต่งงานมีของที่บรรจุอยู่เต็มกล่องขนาดใหญ่ราวสี่สิบกว่ากล่อง

    ตอนนี้ถึงจะพูดไปก็ไร้ประโยชน์ แต่ถึงอย่างนั้นก็อดที่จะอิจฉาหลงเทียนอวี้ไม่ได้

    เหตุใดเขาจึงโชคดีขนาดนี้กันนะ?

    “พระชายา ฮูหยินหลินและคุณหนูรองมาถึงแล้วเจ้าค่ะ”

    ผอจื่อที่ทำหน้าที่ต้อนรับแขกนำบัตรอวยพรจากสกุลหลินมาส่งมอบให้

    หลินเมิ้งหยาแค่นหัวเราะเสียงเย็น สุดท้ายสองแม่ลูกที่น่ารังเกียจและไร้ยางอายก็มาที่นี่สินะ

    “ในเมื่อมาแล้วก็เชิญเข้ามาเถิด ให้จัดสรรตามธรรมเนียมของแขกหญิง ไม่ต้องมาหาข้า”

    หลินเมิ้งหยาไม่แม้แต่จะมองบัตรอวยพรใบนั้นแล้วโยนทิ้งไป

    ผอจื่ออดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา ดูท่าคุณหนูใหญ่แห่งสกุลหลินจะไม่ถูกกับแม่เลี้ยงสินะ

    “พวกเจ้าคอยดูแลให้ดี อย่าให้เกิดเรื่องวุ่นวายอันใดขึ้น ข้าจะไปเชิญท่านอ๋อง”

    ผอจื่อที่มีความสามารถหลายคนพยักหน้าลงแล้วรีบเข้าไปทำงานของตนเอง

    หลินเมิ้งหยาพาป๋ายจื่อไปพบหลงเทียนอวี้

    คิดไม่ถึงเลยว่ายังไม่ทันที่เท้าจะถึงหน้าประตู นางจะได้ยินเสียงหวานใสออดอ้อนดังออกมาจากภายใน

    “ท่านพี่อวี้ ท่านไม่ได้มาหาหรูฉินนานแล้วนะเพคะ หรูฉินคิดถึงท่านเหลือเกิน”

    พี่? หลินเมิ้งหยาหยุดฝีเท้ากะทันหัน หวังว่าจะไม่ใช่พี่น้องที่สลักชื่อร่วมสาบานลงบนก้อนหินหรอกนะ

    ไม่เช่นนั้น หากมีเรื่องเพื่อนสมัยเด็กเติบโตมาด้วยกันจนก่อเกิดเป็นความรัก นางคงจะกลายเป็นมือที่สามใช่หรือไม่?

    “หรูฉิน นี่หาใช่ที่ที่เจ้าควรมา” คิดไม่ถึงเลยว่าหลินเมิ้งหยาจะได้ยินเสียงหมดความอดทนจากปากของหลงเทียนอวี้

    เอ๋? นี่ท่านอ๋องของนางมิได้สนใจหญิงสาวผู้นั้นหรอกหรือ?

    หากหลงรักเพียงฝ่ายเดียว เช่นนั้นนางควรแสดงตัวเพื่อเข้าไปช่วยเขาหรือเปล่านะ

    หลินเมิ้งหยาครุ่นคิด ก่อนที่จะเดินเข้าไปในสวนฉินอู่

    “ท่านอ๋อง แขกมากันครบแล้วเพคะ ท่านจะเสด็จหรือยัง?”

    หลินเมิ้งหยาส่งยิ้มหวาน ราวกับมองไม่เห็นหญิงสาวที่อยู่ข้างกายของเขา

    ทั้งที่เป็นเด็กสาวหน้าตาสวยงาม แต่กลับกล้าเสนอตัวก่อน เห็นได้ชัดว่ากำลังคิดจะวางแผนทำมิดีมิร้ายท่านอ๋อง!

    “ท่านนี้คงเป็นพี่สะใภ้สินะ ที่แท้ก็สวยมากขนาดนี้ พี่สะใภ้ หรูฉินขอถวายความเคารพ”

    หลินเมิ้งหยาแอบหัวเราะเสียงเย็นในใจ นางยังคิดจะเคารพกันอีกหรือ ทั้งที่นางคิดไม่ซื่อกับท่านอ๋อง แต่ปากกลับยังร้องเรียกพี่สะใภ้

    หรือนางมิได้เห็นหลินเมิ้งหยาผู้นี้อยู่ในสายตาเลย

    “น้องหรูฉินไม่ต้องมากพิธี วันนี้เป็นครั้งแรกที่ได้เจอกัน ท่านอ๋องนี่จริงๆ เลย เหตุใดมีญาติผู้น้องงดงามอ่อนโยนถึงขนาดนี้แต่กลับไม่เคยเล่าให้หม่อมฉันฟัง ตอนแรกหม่อมฉันเผลอคิดเอาเองว่ามีสาวๆ จากสกุลอื่นมาหว่านเสน่ห์ใส่ท่านอ๋องเสียอีก”

    หลินเมิ้งหยามองหรูฉินด้วยท่าทางใจกว้างพลางลอบประเมินในใจ เด็กคนนี้หน้าตาไม่เลว มีส่วนคล้ายคลึงกับพระสนมเต๋อเฟย โดยเฉพาะช่วงขนคิ้วที่ดูจะเหมือนมากเป็นพิเศษ

    แต่ก็มีส่วนที่ไม่คล้ายเช่นกัน อย่างเช่นความสง่าและน่าเคารพนับถือที่เทียบไม่ได้กับพระสนมเต๋อเฟยเลย

    หน้าตาสวยงาม แต่กลับมิได้ดูฉลาดเลยแม้แต่น้อย

    “พี่สะใภ้พูดอะไรน่าขันเหลือเกิน ข้ากับท่านพี่มีความรู้สึกดีๆ ให้กันมาตั้งแต่เด็ก พี่สะใภ้คงมิได้หึงใช่หรือไม่?”

    ปิดปากหัวเราะ ทว่าเจียงหรูฉินกลับแอบดูถูกพี่สะใภ้คนนี้ในใจ

    มองขึ้นมองลงเพื่อสำรวจ รูปร่างสวยงาม แต่พี่ชายเคยบอกว่าพี่สะใภ้คนนี้เป็นคนใจดำอำมหิต

    จะปล่อยให้นางทำร้ายท่านพี่อวี้ไม่ได้เด็ดขาด

    “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร ล้วนเป็นญาติพี่น้องกันทั้งนั้น ข้าไม่มีทางใจแคบเช่นนั้นหรอก จริงสิเพคะท่านอ๋อง หม่อมฉันยังมีเรื่องต้องการจะปรึกษากับท่าน ถ้าเช่นนั้นเชิญน้องหรูฉินกลับเข้าไปภายในงานเลี้ยงก่อนเถิด”

    หลินเมิ้งหยาเข้าไปคล้องแขนของหลงเทียนอวี้อย่างเป็นธรรมชาติ ก่อนจะส่งยิ้มอ่อนโยนให้กับเขา

    สีหน้าของหลงเทียนอวี้เริ่มแปลกไปเล็กน้อย แต่กลับไม่ได้สีหน้ารำคาญใจเหมือนอย่างที่มีต่อหรูฉิน

    “หรูฉิน เจ้ากลับเข้าไปก่อนเถิด ข้ายังมีเรื่องต้องคุยกับหยาเอ๋อร์”

    เจียงหรูฉินกระทืบเท้า แต่สุดท้ายต้องจำยอมทำตาม

    พาผู้หญิงของตนเองเดินออกจากสวนฉินอู๋

    “ดูเหมือนท่านอ๋องจะรับมือกับสาวสวยยากมากนะเพคะ” หลินเมิ้งหยารีบคลายมือออก หลบไปอีกด้าน ก่อนจะส่งยิ้มซุกซน

    หลงเทียนอวี้ถลึงตาใส่นาง แต่ถึงอย่างนั้นก็กล่าวคำอธิบาย

    “หรูฉินเป็นลูกสาวของท่านอาคนโตของข้า เป็นน้องสาวของเจียงเฉิง นางมักจะมาเที่ยวเล่นที่นี่และอยู่เป็นเพื่อนคุยกับหมู่เฟยตั้งแต่เด็ก”

    สำหรับหลงเทียนอวี้แล้ว หรูฉินเป็นเพียงน้องสาวเท่านั้น

    อีกอย่าง แม้ท่านอาคนโตจะอยากให้หรูฉินขึ้นเป็นพระชายาของเขา แต่เขากลับไม่เห็นด้วย

    “ที่แท้ก็เป็นแบบนี้ จริงสิเพคะท่านอ๋อง ข้ามีเรื่องต้องบอกท่าน”

    หลินเมิ้งหยาเล่าเรื่องเจ้าแม่กวนอิมและพระราชโองการให้ฟัง

    “ศพของผอจื่อคนนั้นเล่า?” คิ้วของหลงเทียนอวี้ขมวดเข้าหากันแน่น มือเรียวยาวกำเข้าหากัน คิดไม่ถึงเลยว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้กับจวนของเขา

    คนเหล่านั้นอยากตายใช่หรือไม่!

    “หม่อมฉันส่งคนให้นำไปเก็บรักษาเอาไว้ในโรงน้ำแข็งเก่าแล้วเพคะ”

    หลินเมิ้งหยาขยับขึ้นมาหนึ่งก้าว นิ้วมือทั้งสองข้างนวดหว่างคิ้วที่ขมวดเข้าหากันแน่นของหลงเทียนอวี้เบาๆ

    “หม่อมฉันจะขจัดอุปสรรคทั้งหมดเพื่อพระองค์เอง ฉะนั้นพระองค์โปรดวางพระทัย”

    ทั้งสองอยู่ใกล้กันจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่าย