บทที่ 56 เกราะพลังสายเลือด

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

บทที่ 56 เกราะพลังสายเลือด

จ้าวฮั่นได้พูดออกมาประหนึ่งดังพูดกับตัวเองอยู่คนเดียวอยู่ไม่กี่นาที เมื่อเห็นว่าเฉินเฉียงนั้นไม่ตอบสนอง เขาก็ได้พูดออกมาด้วยคำดูถูกตรงๆแทน

“ฮึ่ม ไอ้ขี้ขลาด ลานประลองแห่งนี้ไม่ได้ใหญ่มากมาย ข้าอยากรู้เหมือนกันว่าแกจะซ่อนตัวอยู่ได้อีกนานแค่ไหน”

เมื่อพูดจบ จ้าวฮั่นก็ได้สะบัดข้อมือก็ได้ปรากฏกระบี่หนึ่งขึ้นมา

กระบี่ลมเฉือน

เฉินเฉียงเองในตอนนี้ยังคงสังเกตจ้าวฮั่นอยู่ในทุกอิริยาบถ ด้วยการจ้องมองนี้เขารับรู้ได้ว่าทักษะกระบี่ลมเฉือนของเขานั้นไม่ได้สูงขึ้นจากเดิมเลยแม้แต่น้อย

เพียงแค่ด้วยระดับการบ่มเพาะที่สูงขึ้น ทำให้กระบี่ลมเฉือนนี้ดูทรงพลังมากกว่าแต่ก่อน นี่ทำให้เข้าใจได้ว่า อานุภาพของทักษะนั้นขึ้นอยู่กับระดับการบ่มเพาะด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย

แม้แต่จ้าวฮั่นเองก็ยังไม่รู้เรื่องนี้ด้วยซ้ำ

ตัวเขานั้นคิดเพียงว่าทักษะของเขาในตอนนี้ได้พัฒนาขึ้นมาอย่างไม่อยากเย็นเพียงเพราะเขาตั้งใจฝึกฝนมากกว่าเดิมนิดหน่อยก็เท่านั้น และเมื่อเห็นว่าทักษะของตนพัฒนา อีกทั้งสนามประลองนี้นั้นถึงแม้จะมืดแต่ก็ไม่ได้ใหญ่ไปกว่าเดิม นี่ทำให้เขาเชื่อว่าไม่ว่าเฉินเฉียงจะหลบซ่อนไปยังไงแต่ก็ต้องได้รับบาดเจ็บไปอยู่ดี

ตราบใดที่เขาสามารถพบเจอเฉินเฉียงได้ ต่อให้ต้องแลกกับการบาดเจ็บมาเล็กน้อยก็ไม่มีปัญหา สำหรับจ้าวฮั่นแล้วนั้น เฉินเฉียงในตอนนี้ไม่ได้ต่างไปจากของเล่นที่เขาจะพังทิ้งเมื่อไหร่ก็ได้ ตราบใดที่เขานั้นต้องการ

อย่างไรก็ตาม เฉินเฉียงที่รู้จักจ้าวฮั่นดีเสียยิ่งกว่าตัวเขาเองนั้นก็ได้คาดการณ์ไว้ก่อนแล้วว่าเขาจะโจมตีออกมา นี่ทำให้เขานั้นสามารถหลบได้ตั้งแต่การโจมตีในครั้งแรก

หลังจากผ่านไปกว่าสิบนาที จ้าวฮั่นยังคงระดมโจมตีออกไปอย่างไม่ได้ผลอยู่อย่างนั้น เขายังคงไม่พบเจอตัวเฉินเฉียงแม้แต่ร่องรอยเลยสักนิด

“อ๊ากกกกก ไอ้ขยะ ไอ้ขี้ขลาด ออกมาสักทีสิโว้ย”

แน่นอนแล้วจ้าวฮั่นหมดความอดทนแล้ว

เขานั้นเป็นถึงคนที่มีระดับการบ่มเพาะอยู่ที่ระดับนายพลวิญญาณแล้วแต่กลับไม่สามารถกำจัดผู้มีระดับการบ่มเพาะระดับทหารอย่างรวดเร็วได้ หากยังคงเป็นแบบนี้ต่อไปล่ะก็ ผู้คนจะมองเขาเป็นตัวอะไรกัน

เมื่อเทียบกับการต่อสู้ครั้งก่อนแล้ว เขาพึ่งจะรู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่น่าอัปยศอดสูเสียยิ่งกว่าเดิม

ตัวเขาในตอนนี้นั้นเป็นถึงนักรบสายเลือดระดับนายพลวิญญาณที่เปิดจุดชีพจรหลักได้ครบทั้งสิบสองจุด และเปิดจุดลับได้แล้วหนึ่งจุด

เมื่อทุกครั้งที่จุดลับเหล่านี้ได้เปิดออกก็เปรียบได้ดั่งการเพิ่มพื้นที่ในร่างกายให้สามารถรองรับพลังงานสายเลือดได้มากกว่าเดิม

ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเทียบกับระดับทหารแล้ว พลังงานสายเลือดของระดับนายพลวิญญาณย่อมต้องมีสูงกว่าแถมสามารถดึงพลังพิเศษของสายเลือดออกมาใช้ได้อีก

และนี่เองที่ทำให้จ้าวฮั่นที่เริ่มสติแตก ตัดสินใจที่จะใช้พลังงานสายเลือดทั้งหมดให้สมกับการที่อยู่ในระดับนายพลวิญญาณถึงแม้จะเป็นการต่อสู้กับระดับทหารก็ตาม

และนี่ทำให้เฉินเฉียงสัมผัสได้ว่าในตอนนี้การโจมตีของดาบลมเฉือนที่จ้าวฮั่นกวัดแกว่งมีความเฉียบคมขึ้น

เมื่อมองปลายดาบลมเฉือนสีเขียวกระจ่างของจ้าวฮั่นในตอนนี้แล้วเขาก็พบว่าปลายดาบยาวกว่าเดิมเกือบหนึ่งฟุต นี่ทำให้เฉินเฉียงรู้สึกหน้าซีดขึ้นมาในเล็กน้อย

นี่คือผลจากการดึงพลังสายเลือดมาใช้อย่างนั้นเหรอ

ความแข็งแกร่งของระดับนายพลวิญญาณไม่ใช่อะไรที่เขาในตอนนี้จะจัดการได้ตรงๆเลยจริงๆ

เฉินเฉียงที่เฝ้ามองการเคลื่อนไหวของจ้าวฮั่นอยู่นั้นเมื่อพบว่าปลายดาบของอีกฝ่ายที่กำลังกวัดแกว่งอยู่นั้นได้มีระยะที่เพิ่มขึ้นและพุ่งตรงมายังเขา หากว่าเขาไม่หลบละก็แน่นอนว่าต้องโดนไปเต็มๆ

ด้วยการที่เขาเองก็คุ้นเคยกับทักษะนี้ไม่น้อยไปกว่าจ้าวฮั่น ทำให้เขานั้นสามารถหลบรัศมีดาบก่อนหน้านี้ได้อย่างสบาย แต่เมื่อได้เห็นว่ารัศมีดาบในตอนนี้เพิ่มขึ้นแล้วและกำลังพุ่งตรงมาที่เขา นี่ทำให้เฉินเฉียง ในที่สุดก็ต้องเริ่มเคลื่อนไหว

“ฮ่าฮ่าฮ่า เฉินเฉียง ในที่สุดก็โผล่หัวออกมาแล้ว”

“เอาล่ะ มาดูกันว่าขยะอย่างแกจะอยู่ได้อีกนานสักเท่าไหร่”

เมื่อเห็นว่าตนเองนั้นสามารถกดดันให้เฉินเฉียงเคลื่อนไหวได้แล้วก็ได้ทำให้จ้าวฮั่นรู้สึกมีความสุขขั้นสุดขึ้นมา พร้อมกับใช้ย่างก้าวเงาของเขาในทันที ตอนนี้เขานั้นกวัดแกว่งดาบได้อย่างไหลลื่นยิ่งกว่าเดิม นี่ทำให้เขานั้นมั่นใจว่าเฉินเฉียงไม่อาจหลบไปได้

ยังไม่รวมเรื่องที่ว่าระดับนายพลวิญญาณนั้นมีความอึดถึกทนที่มากกว่า

เห็นได้จากในครั้งนี้ แม้จะต้องกวัดแกว่งดาบไปมาร่วมครึ่งชั่วโมงแล้วแต่จ้าวฮั่นนั้นก็ยังคงดูมีพลังเหลือไม่จบไม่สิ้นไม่ต้องกินเม็ดยาคืนเลือดแต่อย่างใด

นี่ทำให้เฉินเฉียงเริ่มวางแผนการตอบโต้ในทันที

ดูเหมือนว่าจ้าวฮั่นนั้นต้องการที่จะสังหารเขาให้จงได้ในทันทีโดยไม่คิดจะหลบเลี่ยงเลยแม้แต่น้อยแต่กลับโจมตีมาตรงๆแบบนี้

ในด้านทักษะการเคลื่อนที่ เฉินเฉียงไม่เพียงจะมีก้าวย่างเงาเหมือนจ้าวฮั่นแล้ว เขานั้นยังก้าวย่างสวรรค์ขั้นต้นอีกด้วย

ในด้านทักษะวิชายุทธ ต่อให้เฉินเฉียงจะไม่ใช้ดาบ แต่เขาก็ยังคงหลบดาบลมเฉือนของจ้าวฮั่นได้อยู่ดี

แต่สิ่งที่กดดันเขาไว้นั้นนั่นก็คือร่างของจ้าวฮั่นที่ตอนนี้กำลังมีพลังสายเลือดปกคลุมอยู่

เมื่อวิเคราะห์มาถึงจุดนี้แล้ว เฉินเฉียงก็ใช้กลยุทธได้เพียงหนึ่งเดียวนั่นก็คือการยอมได้รับบาดเจ็บเพื่อที่จะได้มีโอกาสสวนกลับ

แต่ในที่สุด เมื่อคิดถึงเรื่องระดับการบ่มเพาะที่อยู่กันคนละขั้นชั้นแล้ว เฉินเฉียงจึงเลือกที่จะสร้างโอกาสโดยใช้การสะกดจิตจ้าวฮั่นแทน

จ้าวฮั่นในตอนนี้ที่กำลังรู้สึกเป็นต่ออยู่นั้นก็ไม่ได้ลืมคิดเรื่องนี้ไปและไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย นี่ทำให้ในตอนนี้หัวสมองของเขาต้องขาวโพลน

เป็นตอนนี้

เฉินเฉียงได้เห็นโอกาสก็ได้ดึงดาบดั้นเมฆออกมาและตัดคอจ้าวฮั่นด้วยการสะบั้นที่รุนแรง

“แก๊ง”

เสียงปะทะที่เล็กแหลมบังเกิดขึ้น เฉินเฉียงตกใจอย่างมากเมื่อพบว่าการฟันของเขานั้นทำอะไรจ้าวฮั่นไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

ในการโจมตีที่จ้าวฮั่นโจมตีออกมาก่อนหน้านี้เขาพบว่า ไม่ว่าตนจะไล่ล่าเฉินเฉียงไปเท่าไหร่ แม้จะคุ้นเคยกับเพลงดาบของตนเป็นอย่างดีก็ไม่อาจจะฟันโดนได้ นี่ทำให้เขารับรู้แล้วว่าไม่อาจโค่นล้มเฉินเฉียงได้ในช่วงเวลาสั้นๆ เขาจึงได้สร้างชั้นพลังงานขึ้นมาจากพลังสายเลือดของตนปกคลุมให้ทั่วร่างกาย

และด้วยเกราะที่ครอบคลุมได้ทั่วร่างกายนี้เองทำให้จ้าวฮั่นอุ่นใจมากขึ้นว่าจะไม่พ่ายแพ้

และเมื่อเห็นว่าเฉินเฉียงโจมตีมาตรงๆแบบนี้ทำให้จ้าวฮั่นมั่นใจว่าเฉินเฉียงในตอนนี้มองชั้นพลังนี้ไม่เห็น และเสียงนี้เองก็ทำให้จ้าวฮั่นได้สติกลับคืนขึ้นมา

“เฉินเฉียง ข้ายอมรับจริงๆว่าการสะกดจิตของแกนี่ทรงพลังพอที่จะมีผลกับข้า แต่ว่าขยะอย่างแกเนี่ยนะจะสร้างบาดแผลให้กับระดับนายพลวิญญาณ ฝันไปเถอะ”

เมื่อเห็นว่าจ้าวฮั่นหลุดจากการสะกดจิตแล้ว เฉินเฉียงก็ได้รีบถอยร่นออกมาเพื่อหาโอกาสใหม่

ถึงแม้ว่าเขาจะพลาดโอกาสไปต่อเขาก็ยังไม่ยอมแพ้

ถึงแม้ว่าด้วยระดับความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขานั้นจะไม่อาจทะลวงผ่านชั้นพลังของจ้าวฮั่นที่ใช้เคลือบร่างกายได้ แต่เขาก็ยังเชื่อว่ายังไงซะคนอย่างจ้าวฮั่นย่อมต้องมีจุดอ่อนอย่างแน่นอน

ด้วยการที่เขานั้นเป็นต่อในความมืดนี้เป็นอย่างดี และด้วยเทคนิคการเคลื่อนไหวและการคาดเดาการเคลื่อนไหวของศัตรูที่เฉียบคม ทำให้เขานั้นพบเจอโอกาสที่จะใช้การสะกดจิตอีกครั้ง โดยคราวนี้เขาเล็งเสียบไปที่ลำคอของจ้าวฮั่น

…ไม่เข้ารึ

หัวใจล่ะ

ไม่ได้เหมือนกัน

หลังจากพยายามอย่างหนักอยู่เกือบชั่วโมง เฉินเฉียงก็ยังไม่อาจจะทะลวงชั้นพลังที่เคลือบร่างกายของจ้าวฮั่นได้

อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ทั้งสองคนนั้นยังไม่มีท่าทีร้อนรนแต่อย่างใด แต่ทั้งสองกลับมีความรู้สึกที่ต่างก็มุ่งมั่นยิ่งกว่าเดิม นั่นก็เพราะทั้งสองไม่อยากจะเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายต้องทำให้ตนนั้นต้องพ่ายแพ้ลงกับคนแบบอีกฝ่าย

แต่สถานการณ์ที่ด้านนอกนั้น ในตอนนี้กลับแตกต่างกันโดยสิ้นเฉิง

“ผู้อาวุโสจ้าว นี่มันก็นานมากแล้วนะ แล้วทำไมศิษย์พี่จ้าวยังไม่ออกมาอีกล่ะครับ”

“ด้วยความสามารถของศิษย์พี่จ้าวในตอนนี้สมควรที่จะไม่ใช้เวลาในการต่อสู้กับเฉินเฉียงนานขนาดนี้นี่นา”

ผู้อาวุโสจ้าวได้ยิ้มขึ้นมาในขณะที่ยังคงจับจ้องในสนาม เขาพูดขึ้นมาช้าๆว่า “จะรีบไปทำไม ยังไงซะผลออกมาก็ยังคงเป็นเช่นเดิม เจ้าเด็กนั่นคงกำลังเล่นสนุกอยู่เท่านั้นเอง”

ด้วยการที่ทั้งสองเป็นปู่และหลานที่สนิทและรู้จักนิสัยกันดี แน่นอนว่าเขาย่อมรู้ดีว่าหลานของเขาเป็นคนยังไง เขาบอกได้เลยว่าจ้าวฮั่นนั้นไม่ต้องการฆ่าเฉินเฉียงให้ตกตายอย่างรวดเร็ว เขาจะต้องทรมานเฉินเฉียงจนกว่าจะสาสมแก่ใจอย่างแน่นอน

อีกฝากฝั่งหนึ่งนั้น ฮู่ต้าไฮ่กำลังร้อนรนแบบสุดๆ

“อาจารย์ ท่านว่าศิษย์น้องจะชนะรึเปล่า” กัวเหลียงในตอนนี้ถูหลังมือและใช้มือทั้งสองลากผ่านใบหน้าอยู่หลายหันจนทำให้เขาต้องถามออกมาด้วยความร้อนรุ่ม

แม้ฮู่ต้าไฮ่นั้นจะร้อนรนไม่แพ้กันแต่เมื่อได้ได้ยินสิ่งที่กัวเหลียงถามแล้ว เขาก็ตีหน้าสุขุมและหันไปเอ่ยถามออกมา “งั้น เจ้าอยากให้เฉินเฉียงนั้นแพ้หรือชนะกันล่ะ”

“แน่นอนว่าต้องชนะสิครับ” กัวเหลียงพูดออกมาโดยไม่ต้องคิด “เพียงแต่ว่านี่มันก็เกือบจะชั่วโมงแล้ว แต่ศิษย์น้องยังสู้ไม่เสร็จสักที ข้าไม่คิดว่าการต่อสู้ในครั้งนี้ของเขาจะล่วงเลยมานานขนาดนี้”

มีอีกสิ่งหนึ่งที่เขาไม่กล้าจะเอ่ยปากออกมา นั่นก็คือแต้มคะแนนแปดพันแต้มที่อาจารย์ของเขาได้ลงเอาไว้

หากเฉินเฉียงแพ้ แน่นอนว่าเขานั้นย่อมกลายเป็นยาจกอีกครั้ง