ตอนที่ 156 การเชื้อเชิญจากคุณชายหก

พันธกานต์ปราณอัคคี

มั่วชิงเฉินไม่ได้พูดสิ่งใด ตาสดใสคู่หนึ่งจ้องคุณชายหกไม่กะพริบ จนคุณชายหกเองก็รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง ถึงได้ยิ้มละไม ยื่นมือออกข้างหนึ่งว่า “เช่นนั้นข้าก็ขอน้อมรับแล้ว”

 

 

คุณชายหกชะงักอยู่ตรงนั้นทันที พูดไม่ออกบอกไม่ถูก

 

 

หญิงสาวปกติ มิใช่ควรเหนียมอายสักหน่อยหรอกหรือ? เขาแอบคิดเงียบๆ

 

 

“ในเมื่อคุณชายให้เปล่ามิได้ เอาเช่นนี้ลองบอกเงื่อนไขมาเถอะ” มั่วชิงเฉินล้อเล่นว่า กลับเพราะเสียงที่อ่อนโยนจึงไม่ทำให้คนรู้สึกอึดอัดใจเกินไป

 

 

คุณชายหกกระแอมอย่างกระอักกระอ่วนเสียงหนึ่ง ในที่สุดก็ทำสีหน้าจริงจังว่า “แม่นางช่างเป็นคนตรงไปตรงมา ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าน้อยก็หน้าหนาขอพูดถึงเสียหน่อยแล้ว”

 

 

ที่แท้ถุงหอมที่ผลิตเป็นพิเศษชนิดนั้น ตระกูลหวังมีเพียงผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานขึ้นไปถึงได้รับแจกปีละหนึ่งใบ ปล่อยให้พวกเขาจัดสรรเองตามสบาย

 

 

เพราะว่าถุงหอมนี้เป็นสิ่งจำเป็นในการข้ามน่านน้ำแห่งนั้น ย่อมเป็นของมีค่าหายากควรแก่การเก็บไว้ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานตระกูลหวังจึงใช้สิ่งนี้แลกประโยชน์มามากมาย

 

 

ฟังคุณชายหกพูดจบ มั่วชิงเฉินหลุบตาคิดๆ ดู จากนั้นถามว่า “เช่นนั้นไม่ทราบคุณชายหกคิดจะแลกสิ่งใดจากข้าล่ะ หากของที่อยากได้ล้ำค่าเกินไป เกรงว่าข้าคงได้แต่หาผู้อื่นช่วยเหลือแล้ว”

 

 

มองท่าทางระแวงของมั่วชิงเฉิน คุณชายหกยิ้มว่า “ไม่ปิดบังแม่นาง ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานตระกูลหวังทั้งหมดหลายสิบคน เท่าที่ข้ารู้ถุงหอมของคนส่วนใหญ่ได้มอบออกไปแล้ว กลับเป็นข้าน้อยเพราะหาบุคคลที่เหมาะสมไม่ได้เสียที จึงยังอยู่ในมือตลอดมา”

 

 

“บังเอิญเพียงนี้เชียว?” มั่วชิงเฉินถามว่า ในใจกลับครุ่นคิดอยู่ ตระกูลหวังมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานหลายสิบคน หากอนุมานจากเหตุการณ์ปกติ อย่างมากก็มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณหนึ่งถึงสองท่านเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว นี่จึงนับเป็นตระกูลบำเพ็ญเพียรระดับกลางตระกูลหนึ่ง

 

 

คุณชายหกยิ้มว่า “ไม่ใช่บังเอิญแต่อย่างใด เพียงแต่เพราะในตระกูลอีกไม่กี่วันจะมีเหตุการณ์สำคัญ ดังนั้นถุงหอมในมือเก็บไว้ไม่อยู่แล้ว เรื่องที่ข้าน้อยคิดจะบอกแม่นาง ก็มีความเกี่ยวข้องบ้างกับเหตุการณ์นั้นในตระกูล”

 

 

เสียงมั่วชิงเฉินเรียบลงมา “ข้าคนนอกคนหนึ่ง เกรงว่าไม่มีคุณสมบัติมีส่วนร่วมในเรื่องของตระกูลท่าน”

 

 

นางออกจากสำนักฝึกตนครั้งนี้แม้ตัดสินใจแล้วว่าจะสานสัมพันธ์กับบุคคลร่วมทางบ้าง เพื่อสะดวกในการแลกเปลี่ยนประสบการณ์เคล็ดลับเพิ่มพูนความรู้ แต่กลับไม่อยากเข้ามาพัวพันในเรื่องไม่เป็นเรื่องเช่นนี้

 

 

“แม่นางอย่าเพิ่งรีบร้อนปฏิเสธ ฟังข้าพูดให้จบก่อนก็ไม่สาย” คุณชายหกเห็นมั่วชิงเฉินท่าทีแน่วแน่ รีบอธิบายว่า “ในตระกูลเรามีโอสถลับสืบทอดกันมาชนิดหนึ่ง สามารถเพิ่มเป็นไปได้ของผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานในการทะลวงเขตแดนเล็ก

 

 

คุณชายหกพูดถึงตรงนี้ก็หยุดลง มองมั่วชิงเฉินตาไม่กะพริบ

 

 

มั่วชิงเฉินฟังแล้วตกใจตามคาดจริงๆ “ไม่นึกว่าจะมีโอสถวิเศษเช่นนี้?” ในใจกลับคิดว่า คุณชายหกผู้นี้เหตุใดจึงบอกข่าวลับเช่นนี้กับตนโดยไม่หลบเลี่ยง?

 

 

คุณชายหกดูเหมือนไม่แปลกใจปฏิกิริยาของมั่วชิงเฉิน เอ่ยต่อว่า “แม่นางอาจแปลกใจว่าเหตุใดข้าจึงบอกเรื่องเช่นนี้ต่อผู้อื่นตามอำเภอใจ ที่จริงพูดออกมาก็ไม่แปลก วัตถุดิบหลักและกระสายยาที่ใช้ในการหลอมโอสถชนิดนี้ ล้วนเป็นของที่มีเฉพาะในทะเลขนาบใจของเรา”

 

 

มั่วชิงเฉินพยักหน้า พูดเช่นนี้กลับฟังขึ้นแล้ว นี่เป็นเพียงโอสถที่มีฤทธิ์ต่อผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานเท่านั้น ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงพวกนั้นอยากให้รุ่นหลังกินโอสถชนิดนี้ละก็ ยังไม่สู้ใช้ของสิ่งอื่นแลกเปลี่ยนโดยตรง เพราะอย่างไรเสียตระกูลหวังก็ตั้งรกรากอยู่ที่นี่มาเป็นร้อยเป็นพันปี ขัดแย้งกับพวกเขาเพื่อโอสถนั่น รังแต่จะได้ไม่คุ้มเสีย

 

 

เห็นมั่วชิงเฉินไม่สงสัยแล้ว คุณชายหกเอ่ยต่อว่า “แม้จะพูดว่าโอสถนี้เป็นโอสถลับเฉพาะของตระกูลหวังข้า ทว่าอย่างไรเสียวัตถุดิบก็หายาก การหลอมไม่ง่าย ใช้เวลาประมาณสิบปีจึงสามารถรวบรวมวัตถุดิบได้ครบเปิดเตาหลอมโอสถ ยามที่ดีที่สุดก็เพียงได้โอสถมาสิบกว่าเม็ดเมื่อเปิดเตาเท่านั้น ต่อให้เป็นเช่นนี้ ยังต้องเอาออกมาครึ่งหนึ่งแลกเปลี่ยนวัตถุในการบำเพ็ญเพียรที่ไม่มีที่นี่กับขุมอำนาจอื่น เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เห็นชัดว่าไม่พอให้พวกเราแบ่งกัน ดังนั้นในตระกูลจึงตั้งกฎระเบียบไว้ข้อหนึ่ง ทุกครั้งที่รวบรวมวัตถุดิบได้ครบ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานก็จะต้องไปค้นหากระสายยา จากนั้นค่อยดูจากปริมาณกระสายยามาตัดสินที่ไปของโอสถ”

 

 

“กระสายยา?” มั่วชิงเฉินแม้ถูกจำกัดด้วยตบะทำให้หลอมโอสถชั้นสูงได้ค่อนข้างยาก ทว่าโอสถธรรมดาพวกนั้น เหล่านักหลอมโอสถชื่อดังเกรงว่ายังหลอมสู้นางไม่ได้ เพราะอย่างไรเสียชื่อเสียงอันเลื่องลือของเพลิงแก้วใจกระจ่างนั้นไม่ใช่การคุยโวส่งเดช นางรู้ว่าโอสถที่ต้องการกระสายยาปกติล้วนมีฤทธิ์อัศจรรย์บางอย่าง จึงยิ่งเกิดสนใจในโอสถที่คุณชายหกกล่าวมาทันที

 

 

เห็นมั่วชิงเฉินแววตาเป็นประกาย คุณชายหกหัวเราะคิกคักว่า “อืม โอสถนั้นหากขาดกระสายยาไป ไม่ว่าเช่นไรก็หลอมไม่สำเร็จ ดังนั้นที่พูดว่าตามหากระสายยาไม่เพียงแต่เพื่อตัดสินที่ไปของโอสถ ยิ่งเป็นเรื่องที่ไม่ทำไม่ได้ เพียงแต่คิดจะได้กระสายยานี้ กลับยากเย็นแสนเข็ญนัก ดังนั้นข้าน้อยอยากหาแม่นางช่วยเหลือ”

 

 

“คุณชายหก เจ้าลองพูดให้ชัดเจนอีกสักหน่อย” มั่วชิงเฉินเม้มปากยิ้มว่า

 

 

“ลึกลงไปในน่านน้ำทางเหนือของทะเลขนาบใจ มีอสูรปีศาจอยู่ชนิดหนึ่ง ครึ่งตัวบนเป็นหญิงสาวที่งดงามยิ่ง ครึ่งตัวล่างกลับเป็นหางปลา น้ำตาที่ไหลออกจากอสูรปีศาจนี้เมื่อต้องลมจะตกผลึกเป็นมุกใส มุกชนิดนี้ ก็คือกระสายยาที่โอสถนั้นต้องการแล้ว” คุณชายหกกล่าวเนิบนาบ

 

 

มั่วชิงเฉินตะลึง หลุดปากออกมาว่า “นางเงือกหรือ?”

 

 

คุณชายหกชะงักงัน จากนั้นหัวเราะหึๆ ขึ้นมาว่า “แม่นางช่างบรรยายได้ดีจริงๆ คนที่นี่เราต่างเรียกอสูรปีศาจนั่นว่าปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณ กลับไม่ได้นึกถึงชื่อที่สุนทรีย์เช่นนี้”

 

 

มั่วชิงเฉินเคลิบเคลิ้มเล็กน้อย มนุษย์มัจฉาที่งดงามไม่มีสิ่งใดเทียบได้ น้ำตาที่ไหลออกมากลายเป็นมุกเมื่อต้องลม หากสามารถเปิดหูเปิดตาสักครา ก็คุ้มค่ากับการเดินทางครั้งนี้แล้ว

 

 

ทว่าเมื่อนึกถึงน้ำตาของมนุษย์มัจฉาเกรงว่าต้องไม่ธรรมดาแน่นอน จึงถามทันทีว่า “ไม่ทราบว่าคุณชายหก เหตุใดจึงเลือกข้าล่ะ?”

 

 

คุณชายหกนิ่งเงียบครู่หนึ่ง ถึงเงยหน้าเอ่ยว่า “เสียงเพลงของปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณนั่นเพราะดั่งเสียงสวรรค์ กลับสามารถทำให้คนที่ได้ยินเคลิบเคลิ้มหลงใหล เดินเข้าสู่หลุมพรางแห่งความตายอย่างไม่รู้ตัว ตระกูลหวังเราหรือกระทั่งผู้บำเพ็ญเพียรทั่วทะเลขนาบใจ ต้องทิ้งชีวิตเพื่อการนี้ไม่รู้ตั้งเท่าไร เราสังเกตสืบข่าวมาหลายปี พบว่าหากเป็นหญิงสาวละก็ แรงต้านทานต่อเสียงเพลงเกี่ยววิญญาณนั่นต้องแข็งแกร่งกว่าผู้บำเพ็ญเพียรชายมาก”

 

 

“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง เช่นนั้นคุณชายหกเหตุใดไม่เชื้อเชิญพี่สาวน้องสาวในตระกูลเดียวกันล่ะ?” มั่วชิงเฉินถามต่อ

 

 

เห็นถึงความรอบคอบของมั่วชิงเฉิน คุณชายหกไม่โมโหกลับดีใจ มองดูนางแล้วเอ่ยอย่างจำใจว่า “หรือว่าแม่นางไม่เคยได้ยิน ว่าทั้งตระกูลหวังเราไม่มีผู้บำเพ็ญเพียรหญิงระดับสร้างรากฐานหรือ?”

 

 

“อ้อ ในหลายสิบคนไม่นึกเลยว่าจะไม่มีสักคนเลยหรือ?” มั่วชิงเฉินเอ่ยอย่างประหลาดใจ

 

 

คุณชายหกถอนใจว่า “เห็นท่าแม่นางเพิ่งมาทะเลขนาบใจได้ไม่นาน หากเจ้าอยู่ที่นี่นานแล้วก็จะรู้เอง ทางเรานี่หญิงสาวที่มีรากวิญญาณมีน้อยนัก สามารถบำเพ็ญเพียรถึงระดับหลอมลมปราณระยะปลายก็แทบนับได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงระดับสร้างรากฐานแล้ว”

 

 

มั่วชิงเฉินชะงักทีหนึ่ง จู่ๆ ก็หัวเราะขึ้นมา

 

 

“แม่นางหัวเราะอันใด?” คุณชายหกเลิกคิ้วถาม

 

 

มั่วชิงเฉินเม้มปากว่า “ได้ยินคำพูดของคุณชายหกแล้ว จู่ๆ ในใจข้าก็ได้รับการปลอบประโลมขึ้นมากมาย เดิมทีข้านึกว่านิสัยและโชคของตนแย่เกินไป นี่ถึงเพิ่งมาถึงก็ดึงความยุ่งยากมาใส่ตัว ที่แท้กลับเพราะสาเหตุนี้นี่เอง”

 

 

นางคิดเองเออเองว่าปลอมให้อยู่ระดับหลอมลมปราณระยะปลายก็เจียมเนื้อเจียมตัวพอแล้ว ใครจะรู้ว่าคนคำนวณหรือจะสู้ฟ้าลิขิต สถานที่แห่งนี้ไม่คิดว่าแม้แต่ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงระดับหลอมลมปราณระยะปลายก็ยังแทบนับได้หมด

 

 

เห็นท่าทางมั่วชิงเฉินเม้มปากยิ้มละไม คุณชายหกถามว่า “เป็นเช่นไรบ้าง แม่นางจะยอมลองพิจารณาดูหรือไม่?”

 

 

มั่วชิงเฉินกัดริมฝีปากว่า “ข้าจะรู้ว่าได้เช่นไรว่าที่เจ้าพูดจริงหรือเท็จล่ะ?”

 

 

หากว่าเขาเพียงแต่หลอกนางเพื่อไปหากระสายยาด้วยกันถึงได้พูดเช่นนี้ล่ะ ไม่แน่ว่านางหาคนอื่น เพียงแค่เสียหินวิญญาณก็สามารถซื้อถุงหอมได้แล้ว ไปหากระสายยา กลับต้องเสี่ยงอันตรายถึงชีวิต

 

 

คุณชายหกชะงักทีหนึ่ง แล้วยิ้มระทมว่า “แม่นางช่างรอบคอบจริงๆ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แม่นางไม่ลองไปถามดูสักหน่อย รอคิดดีแล้วค่อยตอบข้า เจ้าเห็นว่าเป็นเช่นไร?”

 

 

“เช่นนั้นก็ดี ข้าก็ขอตัวก่อนแล้ว ทว่าสองคนนี้…” มั่วชิงเฉินพูดพลางกวาดสายตามองหวังเสี่ยวลิ่วและหนวดเฟิ้มปราดหนึ่ง

 

 

คุณชายหกแม้มองก็ไม่มองทั้งสองคนสักปราดว่า “แม่นางวางใจได้ ข้าน้อยย่อมไม่ปล่อยให้พวกเขาไปสร้างปัญหาให้แม่นางอีก”

 

 

มั่วชิงเฉินพยักหน้า คำนับด้วยมารยาทของรุ่นเดียวกันแล้วหันหลังจากไป

 

 

มองดูทิศทางที่มั่วชิงเฉินจากไป คุณชายหกนิ่งงันไปชั่วขณะ จากนั้นหยิบขวดหยกใบเล็กใบหนึ่งโยนไปหน้าหวังเสี่ยวลิ่วว่า “กินมันซะ!”

 

 

หวังเสี่ยวลิ่วตกใจจนหน้าถอดสีทันที ร่างกายสั่นเป็นเจ้าเข้าว่า “คุณ…คุณชายหกไว้…ไว้ชีวิตต่ำต้อยของข้าน้อยได้เถอะ…”

 

 

จู่ๆ ก็ได้กลิ่นเหม็นสาบสายหนึ่ง ที่ที่หวังเสี่ยวลิ่วนั่งอยู่เปียกเป็นปื้น

 

 

คุณชายหกมองอย่างรังเกียจปราดหนึ่งว่า “ข้าไม่ใช่คนชอบการเข่นฆ่า โอสถที่อยู่ในนี้สามารถทำให้เจ้าลืมเรื่องที่เกิดขึ้นภายในสิบวันได้ แน่นอนหากเจ้าไม่กิน ข้าก็ไม่บังคับ”

 

 

“ข้ากิน ข้ากิน!” หวังเสี่ยวลิ่วโขกศีรษะเหมือนได้รับการปลดแอก เทโอสถออกมาเม็ดหนึ่งแล้วกลืนลงไป กินเสร็จก็นอนล้ม ‘ตึง’ ลงไปกับพื้น

 

 

คุณชายหกเห็นดังนั้นจึงตบมือ พูดกับบ่าวรับใช้สองคนที่ออกมาว่า “เอาเขาไปทิ้งที่ท่าเรือ”

 

 

จากนั้นก็ป้อนโอสถเม็ดหนึ่งให้หวังเฉาที่หมดสติอยู่อีก ครึ่งชั่วยามให้หลังหวังเฉาค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา เห็นคุณชายหกที่ยืนมือไพล่หลังแล้วชะงักงัน คำนับว่า “คุณชายหก ข้า เหตุใดข้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้?”

 

 

คุณชายหกที่ยืนตัวตรงสง่าดุจต้นสนหันหน้ามา เอ่ยนิ่งเรียบว่า “เจ้าไม่ต้องคิดมากปานนี้ ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการสิ่งใด มีเรื่องบางอย่างต้องการให้เจ้าช่วยสักหน่อย หากทำได้ดี รอข้าได้โอสถวิญญาณแล้ว ย่อมไม่ทำให้เจ้าต้องน้อยหน้า ส่วนเรื่องนอกลู่นอกทางพวกนั้น จงเลิกทำเสียจะดีกว่า”

 

 

หวังเฉาชะงักอยู่พักใหญ่ จนกระทั่งคุณชายหกเดินออกไปหน้าประตูถึงคารวะขอบคุณว่า “ขอบคุณคุณชายหก ขอบคุณคุณชายหก”

 

 

มั่วชิงเฉินมีเรื่องให้คิดในใจ จึงไม่มีกะจิตกะใจเดินเล่นอีก รีบกลับไปบ้านสองสามีภรรยาแซ่หยางโดยไว

 

 

“ท่านแม่ ท่านแม่ ท่านน้ากลับมาแล้ว” เสี่ยวไห่ที่อยู่ในลานบ้านเห็นมั่วชิงเฉิน หันหน้าตะโกนบอกเสียงใส

 

 

มั่วชิงเฉินอมยิ้มลูบศีรษะของเสี่ยวไห่ แล้วหยิบของเล่นที่ซื้อที่ถนนออกมาอันหนึ่งว่า “เสี่ยวไห่เก่ง เอาไปเล่นเถอะ”

 

 

“น้องมั่ว เหตุใดจึงให้เจ้าสิ้นเปลืองอีกแล้ว” นางหยางตู้ที่เดินออกมาเห็นดังนั้นก็ต่อว่าว่า

 

 

มั่วชิงเฉินยิ้มว่า “พี่สาวเกรงใจไปแล้ว ใช่แล้ว พี่หยางอยู่บ้านหรือไม่?”

 

 

นางหยางตู้พยักหน้าว่า “เขาบาดเจ็บที่ขา บัดนี้ก็อากาศหนาวเย็นอีก ข้าจึงกักเขาไว้ไม่ให้ออกไป มีอันใดหรือ น้องสาวหาเขามีธุระหรือ?”

 

 

มั่วชิงเฉินคิดๆ แล้วว่า “ข้ามีอยู่ธุระอยู่สองสามเรื่อง อยากรบกวนพี่หยางไปถามดูสักหน่อย ทว่าเกรงว่าเป็นเรื่องค่อนข้างลำบากใจ หากไม่มีหนทาง ก็อย่าฝืนเด็ดขาด”

 

 

นางหยางตู้รีบว่า “น้องสาวพูดอะไรกัน ชีวิตของสามีเจ้าเป็นคนช่วยไว้ ต่อให้ขึ้นเขาลงห้วย เขาก็ไม่ขมวดคิ้วสักที เจ้าตามข้ามา มีเรื่องอันใดลองพูดกับเขาดูก่อน”

 

 

นางหนางตู้พามั่วชิงเฉินไปห้องของหยางปี้อู่ ส่วนตนเองถอยออกไป

 

 

มั่วชิงเฉินจึงเล่าเรื่องที่ต้องการถามให้ฟังรอบหนึ่ง ว่า “เรื่องนี้เกรงว่าผู้บำเพ็ญเพียรทั่วไปจะไม่รู้ หากพี่หยางรู้จักคนที่รู้ตื้นลึกหนาบาง ก็ช่วยถามดู หากไม่รู้จัก ก็ช่างเถอะ”

 

 

หยางปี้อู่ฟังแล้วหัวเราะว่า “แม่นางมั่ววางใจได้ พอดีข้ามีเพื่อนเป็นบ่าวรับใช้อยู่ตระกูลหวัง เรื่องนี้ก็ไม่นับเป็นความลับ ข้าไปหาเขาลองถามดูทีหนึ่ง”